บทที่ 145 ป้ายพาหนะ

บทที่ 145 ป้ายพาหนะ

“หัวหน้าก็ได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ? เป็นอะไรหรือไม่?” เห็นอู๋ฝานนั่งลง หนิวเอ้อจึงเข้ามาสอบถามอาการ

“ไม่เป็นไร แค่บาดแผลเล็กน้อย” อู๋ฝานตอบรับ “จะว่าไป นำยาพวกนี้ไปให้สองคนที่บาดเจ็บด้วย”

อู๋ฝานนำขวดขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ และส่งให้กับหนิวเอ้อ

ยาขวดเล็กนี้อาจารย์ปรุงยาหลี่เตรียมไว้ให้อู๋ฝานตอนก่อนจะออกจากหมู่บ้านเร้นลับ มันสามารถห้ามเลือดและรักษาบาดแผลในเวลาอันสั้นได้ เมื่อครู่นี้เขาเองก็ใช้ไปส่วนหนึ่งแล้ว

เพราะมีปริมาณไม่มาก อู๋ฝานจึงไม่อาจให้คนจำนวนมากทราบและใช้งาน แต่สำหรับคนในหน่วยทั้งสองคนที่ได้รับบาดเจ็บนั้น เขายินดีให้ใช้

“หัวหน้า มันคืออะไรกัน?” หนิวเอ้อเอ่ยถามพลางรับเอาไว้

“ยารักษาบาดแผล” อู๋ฝานตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ได้ผลดีเลยทีเดียว”

ยาของอาจารย์ปรุงยาหลี่ ย่อมไม่ใช่แค่ดีอยู่แล้ว

หนิวเอ้อพยักหน้าตอบ ก่อนจะรับขวดยานำไปใช้กับพรรคพวกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บ

ตอนนี้นี่เองที่อู๋ฝานมีเวลาและโอกาสจะได้นำเอาป้ายโลหะที่เก็บจากร่างราชาหมาป่าเนตรสีชาดออกมาตรวจสอบ

[ป้ายพาหนะ สามารถเปลี่ยนสัตว์เป็นพาหนะขับขี่ประเภทใดก็ได้ สถานะของพาหนะสามารถฟื้นฟูด้วยตัวเองภายในป้าย]

เป็นสัตว์พาหนะ?!

อู๋ฝานแทบตะโกนออกมาด้วยความยินดี

ก่อนหน้านี้ ตอนเห็นโจวซานและคณะขี่ม้าเดินทาง อู๋ฝานนึกอิจฉาอยู่สักพักหนึ่ง แต่โชคร้าย ม้าศึกเป็นทรัพยากรที่หาได้ยาก หัวหน้าหน่วยเช่นเขายังไม่มีคุณสมบัติพอ ทำได้เพียงมองอย่างนึกอิจฉา

ทว่าขณะนี้ มันกลับดร็อปมาจากราชาหมาป่าเนตรสีชาดแล้วอันหนึ่ง ทั้งยังมาในเวลาอันเหมาะสม

เพียงแต่ เขาจะอธิบายที่มาที่ไปของม้าได้อย่างไร?

อู๋ฝานเกิดรู้สึกคิดมากขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

จะบอกว่าเสกม้าออกมาอย่างกะทันหันงั้นหรือ? บอกไปแล้วใครจะเชื่อกัน?

“มีม้าแต่ขี่ไม่ได้ ช่างน่าโมโหเสียจริง” อู๋ฝานรำพึงกับตัวเอง

เพียงแต่ มันก็ดีกว่าไม่ได้รับอะไรมา ในยุคสมัยเช่นนี้ที่ม้ายังเป็นปัจจัยทางยุทธศาสตร์ ต่อให้มีเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถซื้อหา แต่หากได้มาครอบครองเมื่อใด เมื่อนั้นย่อมต้องมีโอกาสให้ได้ใช้งาน

“อาการเป็นยังไงบ้าง?” โจวซานเข้ามานั่งข้างอู๋ฝานพลางถาม

“ไม่ได้ร้ายแรงอะไรตั้งแต่แรกแล้วขอรับ” อู๋ฝานยิ้มตอบรับ “ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วด้วย”

“งั้นก็ดีแล้ว” โจวซานตอบรับ “พูดตามตรงนะ ศักยภาพที่เจ้าแสดงให้เห็นก่อนหน้านี้ทำข้าทึ่งมาก ที่แท้ข้าก็ปรามาสเจ้ามาโดยตลอดนี่เอง”

ตอนที่โจวซานเอ่ยคำนี้ออกมา เขาก็มีความรำพึงรำพันเล็กน้อย

โจวซานได้ตระหนักมาก่อนแล้วว่าอู๋ฝานสามารถเรียนรู้ทุกเรื่องได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่เมื่อถึงคราวต้องต่อสู้จริง เขายังได้ตระหนักว่าตนเองยังปรามาสอู๋ฝานเกินไป ความแข็งแกร่งแท้จริงของชายหนุ่ม มันแข็งแกร่งกว่าที่ตนคิดเอาไว้มากนัก

“หัวหน้า ชมกันขนาดนี้ ข้าก็อายขึ้นมาแล้วสิ” อู๋ฝานหัวเราะตอบ

“ไม่ต้องถ่อมตัวไป ในกองทัพ ความแข็งแกร่งคือสิทธิ์การออกเสียง หากเจ้าแข็งแกร่ง ผู้อื่นจะนับถือเจ้า หากเจ้าไม่แข็งแกร่ง ต่อให้ถ่อมตัวเพียงใด ก็ไม่มีใครฟังคำของเจ้าเป็นจริงจัง” โจวซานตอบรับ

แท้จริงแล้วอู๋ฝานเองก็รู้สึกได้ว่าหลังสังหารราชาหมาป่าที่เป็นจ่าฝูงของพวกหมาป่าได้ หน่วยที่เหลือมองเขาเปลี่ยนไป เป็นความรู้สึกเกรงขามปนกับความนับถือ

ปัจจุบัน อวี่เฟยมาพร้อมกับหัวหน้ากองพันอื่น พร้อมกับมองอู๋ฝานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้ามีนามว่าอะไร?”

อู๋ฝานหันไปมองยังโจวซาน ถัดจากนั้นจึงมองอวี่เฟย

“คนนี้คือขุนพลอวี่ นามว่าอวี่เฟย เป็นผู้นำค่ายวิหคของพวกเรา” โจวซานกล่าวแนะนำตัวอีกฝ่ายให้กับอู๋ฝาน เพียงแต่น้ำเสียงนั้นหาได้มีความเคารพคงอยู่ไม่

ค่ายวิหคถือเป็นกองทัพสำรองที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราว หัวหน้าที่เป็นขุนพลก็เป็นเพียงขุนพลลำดับที่ห้า ต่อหน้าขุนพลแท้จริง ขุนพลเช่นนี้ไม่อาจนับเป็นอะไร เพียงแต่ต่อหน้าชาวบ้านในค่ายวิหค อวี่เฟยมักยกย่องตนเองเป็นนายพลอยู่เสมอ

“ยินดีที่ได้พบขุนพลอวี่ ชื่อของข้าคือ อู๋ฝาน” อู๋ฝานลุกขึ้นยืนพร้อมประสานหมัดกับฝ่ามือ

“อู๋ฝาน? เป็นชื่อที่ดี” อวี่เฟยยิ้มตอบรับ “เมื่อครู่นี้เจ้าแสดงศักยภาพได้ดี ตอนนี้เป็นอย่างไร? สนใจคิดติดตามข้าเป็นทหารส่วนตัวหรือไม่?”

ด้วยฐานะขุนพลลำดับที่ห้า อวี่เฟยมีคุณสมบัติที่สามารถชักชวนทหารเข้าร่วมได้

ทหารส่วนตัวไม่นับว่าเป็นกำลังทหารทางการ ไม่อาจได้รับเงินเดือนจากกองทัพ เงินเดือนของพวกเขาจะมาจากขุนพลที่ขึ้นตรง อีกทั้งขุนพลเหล่านั้นยังต้องมอบการฝึกฝนที่ดีที่สุดให้แก่ทหารส่วนตัว อย่างไรก็ตามทหารส่วนตัวก็ถือเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ปกป้องคุ้มครองเคียงข้างกายของพวกเขา กล่าวคือเป็นบุคคลที่ไว้ใจที่สุด ทหารส่วนตัวจึงถือได้ว่าเป็นองครักษ์ของเหล่าขุนพล ไม่ใช่สังกัดกองทัพแต่อย่างใด

ดังนั้นแล้ว การดูแลที่ทหารส่วนตัวได้รับจึงดีกว่าทหารประจำการทั้งหลาย อีกทั้งขุนพลจะยังไม่คิดส่งพวกเขาออกไปแนวหน้าที่สมรภูมิ เพราะตัวตนดังกล่าวจำเป็นต้องคอยอยู่เคียงข้างขุนพล หากเทียบเปรียบกับทหารทั่วไปแล้ว เรียกได้ว่าทั้งเงินเดือนและความปลอดภัยล้วนดียิ่งกว่า

เป็นทหาร?

อู๋ฝานชะงักไปเล็กน้อยยามได้ยินคำชวนของอวี่เฟย

มันเทียบเท่ากับให้ไปเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว

ขณะอู๋ฝานคิดปฏิเสธ โจวซานกลับเป็นฝ่ายเอ่ยคำขึ้นเสียก่อน

“ขุนพลอวี่ อู๋ฝานเป็นหัวหน้าหน่วยภายใต้กองพันที่สามของข้า และข้ากำลังจะแนะนำเขาให้กับกองทัพประจำการ เกรงว่าคงไม่อาจเป็นทหารส่วนตัวให้ได้”

โจวซานปฏิเสธคำเชิญชวนของอวี่เฟยแทนอู๋ฝาน เป็นการปฏิเสธที่แข็งทื่อและตรงไปตรงมา

โจวซานไม่ต้องการเห็นอู๋ฝานเป็นทหารรับใช้อวี่เฟย แม้ว่าการดูแลของทหารส่วนตัวจะดีกว่าทหารทั่วไป แต่หนทางความก้าวหน้านั้นเล็กแคบ และโอกาสสร้างความดีความชอบก็มีน้อยนิด ทั้งยังต้องคอยรับใช้ขุนพลอยู่ข้างกายตลอด เป็นคนของขุนพล เพราะอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารองครักษ์ส่วนตัว เว้นแต่ขุนพลจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ก้าวหน้า หากไม่แล้วพวกเขาก็เป็นได้เพียงทหารองครักษ์ส่วนตัวไปจนเกษียณ

จากมุมมองของโจวซาน อวี่เฟยไม่มีดีถึงขนาดนั้น และหากอู๋ฝานติดตาม อนาคตของชายหนุ่มคงไม่สดใสอย่างแน่นอน

อวี่เฟยที่เดิมเผยสีหน้ายิ้มแย้ม กลับกลายเป็นแข็งทื่อเย็นชายามได้ยินคำของโจวซาน

“หัวหน้าโจว ข้ากำลังเอ่ยถามกับอู๋ฝาน ไม่ใช่เจ้า อย่าได้เอ่ยแทรกคำของข้า” อวี่เฟยกล่าวย้ำเตือน “อีกทั้ง ข้ายังไม่ได้สะสางเรื่องราวกับเจ้าเลย”

“ความหมายของขุนพลอวี่คือ?” โจวซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ความหมายงั้นหรือ?” อวี่เฟยแค่นเสียงเย้ยพลางตอบ “เพราะเจ้าเอาแต่ใจบุกโจมตีโดยไม่สนคำสั่งการของข้า ทำให้ผู้คนมากมายของกองพันที่สามได้รับบาดเจ็บ เสียหายอย่างหนัก ส่วนกองพันอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน กระทั่งเกิดผู้เสียชีวิตในกองพันอื่นเสียด้วยซ้ำ ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! เจ้าคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ!”

“รับผิดชอบ? คิดให้ข้ารับผิดชอบอย่างไร?” โจวซานเอ่ยถามกลับทันควัน

“นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าไม่ใช่ผู้บังคับบัญชากองพันที่สามอีกต่อไป แต่จะถูกลดขั้นไปเป็นหัวหน้ากองร้อย และข้าจะเข้าควบคุมกองพันที่สามด้วยตนเอง” อวี่เฟยกล่าวตอบ

อวี่เฟยไม่ชอบใจโจวซานมานานแล้ว ครั้งนี้สบโอกาส ย่อมไม่มีทางปล่อยให้รอดพ้น

“ท่านขุนพล เกรงว่าจะมีเรื่องราวเข้าใจผิดเกิดขึ้น” อู๋ฝานเอ่ยคำขึ้นมา “สถานการณ์ในตอนนั้นคับขัน หัวหน้าโจวบุกโจมตีออกไปเพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของทุกคน ข้ามองว่าไม่ใช่ความผิดของหัวหน้าโจว แต่เป็นความดีความชอบ หากหัวหน้าโจวไม่เลือกเปิดฉากลงมืออย่างทันท่วงที จำนวนของหมาป่าเนตรสีชาดคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดยั้ง สุดท้ายจะยิ่งยากขับไล่ให้พวกมันถอยกลับ และราคาที่พวกเราต้องจ่ายตอนจบเรื่องราวนั้นจะยิ่งสูงกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้”