บทที่ 105 เยี่ยมหลุมฝังศพ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 105 เยี่ยมหลุมฝังศพ

บทที่ 105 เยี่ยมหลุมฝังศพ

หลังจากพูดจบ นางมองไปที่เด็ก ๆ และกระซิบว่า “พวกเจ้ารีบไปเถอะ”

เหลียงเหยาซื่อเป็นผู้พูดแทนพี่น้องกู้ นางเองก็อยู่ริมทะเลสาบเช่นกัน ในวันธรรมดามักไม่เคยสุงสิงกับกุ้ยซื่อและคนอื่น ๆ แต่ในวันนี้นางเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรังแกเด็กทั้งสอง นางจึงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป และพูดออกไปสองสามประโยค

สองพี่น้องกู้มองเหลียงเหยาซื่ออย่างซาบซึ้ง แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับถังน้ำที่อยู่ในมือ

กุ้ยซื่อเห็นพี่น้องสองคนของครอบครัวกู้จากไปแล้วโดยไม่ทันได้รู้ว่าพวกเขามีโชคอะไร ทั้งหมดต้องโทษเหลียงเหยาซื่อ นางจึงจ้องมองเหลียงเหยาซื่อด้วยความโกรธเคือง แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจนาง ต่อให้เห็นก็ทำเป็นไม่เห็น พอตักน้ำเสร็จแล้วก็จากไป

“ฮึ่ม แม่ไก่ไม่วางไข่ ช่างอวดดีนักนะ!” กุ้ยซื่อถ่มน้ำลาย พลางเอ่ยกระแหนะกระแหน

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงถือถังน้ำมุ่งหน้ากลับบ้าน ชาวบ้านรวมตัวกันและพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง เมื่อสองพี่น้องครอบครัวกู้มาถึง พวกเขาทั้งหมดก็พูดประโยคกันเดียวว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่สองพี่น้องของครอบครัวกู้หรอกหรือ? วันนี้อาสามของเจ้าจะพาอาสะใภ้สามไปหย่าแล้ว”

“ไม่ใช่หรือ อาสะใภ้สามของพวกเจ้าเจ้าถูกอาสามทุบตีจนจมูกฟกช้ำ ใบหน้าบวมเป่ง!” สิ่งที่ทุกคนพูดเรียกว่าน่าสนใจ และสิ่งที่พวกเขาพูดเรียกว่าพ่นน้ำลาย

กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงไม่สนใจพวกเขาและมุ่งหน้ากลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้หนิงผิงก็บอกกู้เสี่ยวหวานในสิ่งที่เขาได้ยินบนท้องถนน กู้เสี่ยวหวานถึงกับงุนงงเล็กน้อย อาสามห่วงใยอาสะใภ้สามเป็นอย่างมาก และแทบรอไม่ไหวที่จะถือมันไว้ในมือของเขา หรืออาจกล่าวได้ว่าเขากลัวอาสะใภ้สามอย่างยิ่ง

ทำไมคราวนี้เขาถึงบันดาลโทสะถึงขั้นแสดงอำนาจและทำลายจิตวิญญาณของเฉาซื่อกันนะ?

กู้เสี่ยวหวานคิดเกี่ยวกับมันเป็นเวลานาน หากแต่ก็ไม่สามารถคิดอะไรออก อย่างไรก็ตาม อาสามและอาสะใภ้สามจะหย่าหรือไม่หย่าก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกู้เสี่ยวหวานอยู่แล้ว

วันมะรืนนี้ก็วันที่ยี่สิบเก้าแล้ว กู้เสี่ยวหวานกำลังเตรียมสิ่งของสำหรับการไปเยี่ยมหลุมฝังศพในวันพรุ่งนี้

วันส่งท้ายปีเก่ากล่าวว่า ‘วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง จงไปหลุมฝังศพและขอบรรพบุรุษเพื่อถวายเครื่องบูชา’ ก่อนวันส่งท้ายปีเก่าทุกคนควรไปที่หลุมศพเพื่อเผาเครื่องหอมให้สมาชิกในครอบครัวของตน

กู้เสี่ยวหวานตื่นเช้ามากในวันนี้ เนื่องจากจะต้องไปที่หลุมฝังศพ นางจึงนึ่งซาลาเปาแป้งขาว ทำโจ๊กหม้อหนึ่ง ผัดผักดองกับหน่อไม้ฤดูหนาว แล้วปลุกน้องทั้งสามคน กู้หนิงอันและคนอื่น ๆ ต่างก็สวมเสื้อผ้าหนาเตอะ หลังจากอาบน้ำแต่งตัว ทุกคนก็ลงมือกินมื้อเช้า กู้เสี่ยวหวานนำตะกร้าที่มีเงินกระดาษมา และใส่ซาลาเปานึ่งลงในชามแล้วนำมารวมกันในตะกร้า

การไปเยี่ยมหลุมศพต้องเข้าไปในภูเขา ทั้งสี่พี่น้องออกเดินทางเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น เนื่องจากหิมะยังไม่ละลาย น้ำและโคลนจึงเจิ่งนองอยู่บนพื้น ในเวลาไม่นานรองเท้าของพวกเขาก็เปรอะเปื้อนด้วยโคลน กู้หนิงผิงจูงกู้เสี่ยวอี้อย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ากู้เสี่ยวอี้จะลื่นล้ม

นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เสี่ยวหวานไปเยี่ยมหลุมศพของบิดามารดา นางเดินตามหลังพี่น้องกู้หนิงอันสองคนอย่างตั้งใจ และหลังจากเดินมาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ในที่สุดพี่น้องทั้งสี่ก็ถึงที่หมาย

เมื่อพวกเขาไปถึงหลุมศพ เด็กทั้งสี่คนเงียบลงไปมาก แม้แต่กู้เสี่ยวอี้น้องคนสุดท้องก็ไม่ได้ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว

เด็กทั้งสี่ทำความสะอาดหิมะและวัชพืชแห้งบริเวณหลุมฝังศพอย่างเงียบ ๆ ยืนอยู่หน้าหลุมศพเล็ก ๆ โดยไม่รู้ว่าใครเสียน้ำตาก่อน

“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกเรามาเยี่ยมท่าน” กู้เสี่ยวหวานไม่สามารถระงับความเศร้าในใจของนางได้ นางไม่รู้ว่าเป็นตัวเองหรือกู้เสี่ยวหวานตัวจริงที่ร้องไห้กันแน่

กู้หนิงผิงคุกเข่าลงบนพื้นและร้องไห้เงียบ ๆ เมื่อคิดถึงความคับข้องใจในทุกวันนี้ ก็อยากจะร้องไห้ออกมา

ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานคิดถึงเพลงหนึ่งขึ้นมา มีเพียงแม่เท่านั้นที่ดีที่สุดในโลก เช่นเดียวกับในเนื้อเพลงที่ว่าเด็กไม่มีแม่ก็คือหญ้า และพวกเขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเศษสวะ

“ท่านแม่ขอรับ พวกเราไม่ได้อดตาย พวกเราหาเงินได้แล้ว ได้กินเนื้อแล้ว และพวกเราก็มีเสื้อผ้าสวมใส่ด้วย! ท่านแม่ ท่านได้ยินที่หนิงอันพูดไหมขอรับ?” กู้หนิงอันร้องไห้เสียงดังเมื่อนึกถึงความคับข้องใจที่แม่ของเขาได้รับเมื่อยังมีชีวิตอยู่ “ท่านแม่ จะดีแค่ไหนถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่?”

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานตกอยู่ในภวังค์ความโศกเศร้า นางไม่ได้พูดอะไรและร้องไห้เงียบ ๆ ก่อนนำของที่นำมาวางลงทีละอย่าง เอ่ยในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า ‘แม่ของเสี่ยวหวาน ฉันคือเสี่ยวหวาน ตอนนี้ลูกสาวที่แท้จริงของท่านถูกกู้ซินเถาฆ่า และกลายเป็นกู้เสี่ยวหวานอีกคน! แต่ไม่ต้องกังวล ในอนาคตฉันจะดูแลน้อง ๆ อย่างดี จะทำให้น้องชายและน้องสาวของฉันมีความสุข เพียบพร้อม พึงพอใจ’

คิดแล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ และไม่รู้ว่าตนกำลังร้องไห้กับให้ใคร

กู้เสี่ยวอี้รู้สึกถึงความเศร้าของพี่ชายและพี่สาว นางจึงร้องไห้ออกมา

กู้เสี่ยวอี้เผาเงินกระดาษ เม้มริมฝีปากและร้องไห้อย่างเจ็บปวด “ท่านแม่ เสี่ยวอี้จะเชื่อฟังพี่สาวและพี่ชาย เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะไม่ปล่อยให้พี่สาวถูกรังแก ท่านแม่ เสี่ยวอี้คิดถึงท่านแม่…”

เสียงร้องของเด็กสี่คนดังระงมควบคู่ไปกับเสียงลมพัดหวีดหวิวแผ่วดังไปในวงกว้าง

“เฮ้ พวกเจ้ากำลังขวางทางพวกข้า!” ขณะที่เด็กทั้งสี่ยังคงคร่ำครวญและร้องไห้ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาดังขึ้นจากด้านหลัง

กู้เสี่ยวหวานหันกลับมาและเห็นชายวัยกลางคนสองคนและเด็กชายตัวเล็กสองคนยืนอยู่ข้างหลังอย่างเย็นชา เสียงที่พูดเมื่อครู่เป็นเสียงเด็ก ๆ เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของเด็กชายสองคนนี้ พวกเขาก็มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดขวบเท่านั้น และไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด!

“ลุงใหญ่ อาสาม……”

เป็นอย่างที่คิด เมื่อดูจากรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกันหลายส่วนนี้แล้ว พวกเขาก็คืออาสามผู้เนรคุณและลุงใหญ่ผู้หน้าซื่อใจคด!

“ลุงใหญ่ อาสาม…” กู้เสี่ยวหวานขานรับ น้ำเสียงของนางไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ

กู้ฉวนลู่พ่นลมอย่างเย็นชา และมองดูกู้เสี่ยวหวานและพี่น้องทั้งสี่ด้วยดวงตาราวกับเปลวเพลิง

ยิ่งมองอย่างระมัดระวัง หัวใจของกู้ฉวนลู่ก็ยิ่งจมลง

ครั้งสุดท้ายที่เห็นเด็กทั้งสี่คนนี้ก็ผ่านมาได้ครึ่งเดือนแล้ว เพราะเขาจะกลับมาในช่วงปีใหม่ เลยเผื่อเวลาไว้ล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อพาซุนซื่อและกู้ซินเถากลับมาทำความสะอาดบ้าน แต่ไม่คาดคิดว่ากู้ซินเถาที่ยังเด็กและโง่เขลาจะผลักกู้เสี่ยวหวานลงไปในธารน้ำแข็งทั้งเป็น

เดิมทีเขาคิดว่าตกลงไปในแม่น้ำถ้าไม่แข็งจนตาย ก็คงจะจมน้ำตาย แต่ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะโชคดีจนรอดชีวิตมาได้ ไม่ตายก็ดีแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโชคดีแค่ไหน และยังมีเงินอีก

กู้เสี่ยวหวานมองดูท่าทางของกู้ฉวนลู่อย่างสงบและจดจำทุกอย่างในใจของนาง

ตอนนี้เด็ก ๆ เหล่านี้และกู้เสี่ยวหวานโชคดีจริง ๆ เสื้อผ้าบนร่างนี้ไม่ขาดรุ่งริ่งแล้ว พวกเขาทำเสื้อผ้าใหม่ และไม่รู้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้พวกเขากินได้ดีแค่ไหน ร่างกายที่ผอมและซีดเซียว ตอนนี้กลับถูกทดแทนด้วยใบหน้ากลมและแดงระเรื่อ

…………………………………………………………………………………………………………………… สารจากผู้แปล

น่าเศร้าเหลือเกินที่ต้องมาเยี่ยมหลุมฝังศพพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย

ลุงใหญ่กับอาสามจะมาหาเรื่องอะไรอีก

ไหหม่า(海馬)