บทที่ 105 ระดับรวมกายาขั้นแปด หินวิญญาณมรรคาสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 105 ระดับรวมกายาขั้นแปด หินวิญญาณมรรคาสวรรค์
หกปีต่อมา

ในที่สุดหานเจวี๋ยก็ทะลวงถึงระดับรวมกายาขั้นแปด!

เขาลืมตาขึ้น ถอนหายใจยาว

คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ แต่ก็นับว่าใกล้มากแล้ว

หลังจากระดับฝ่าด่านเคราะห์ถึงจะเป็นระดับมหายาน สูงมากกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นระดับไท่อี่หรือไม่ หานเจวี๋ยมักจะคิดว่าจูเชวี่ยเป็นศัตรูในจินตนาการมาตลอด เพราะอย่างนั้นเขาจึงรู้สึกว่าระดับรวมกายานั้นไม่แข็งแกร่งพอ

หนทางอีกยาวไกลนัก!

หานเจวี๋ยเรียกดูค่าความสัมพันธ์และตรวจสอบจดหมายด้วยความเคยชิน

[หยางเทียนตงศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x8499

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสัตว์ปีศาจ] x14923

[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x233

[นักพรตเต๋าชิงเสียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากราชาปีศาจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[ซูฉีศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x74

[นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก ได้รับบาดเจ็บสาหัส]

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านรู้แจ้งขณะถกมรรค พลังมรรคเพิ่มพูน]

…..

สัตว์ปีศาจมากมาย!

ราชาปีศาจมากมาย!

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว ที่แท้โลกภายนอกวุ่นวายขนาดไหนกัน

เขาลุกขึ้นเดินออกจากถ้ำเทวาฟ้าประทาน ออกมายืดเส้นยืดสายที่หน้าต้นฝูซัง

สวินฉางอันลุกขึ้นคารวะ ไก่คุกรัตติกาลยังคงนอนหลับพังพาบอยู่บนต้นฝูซัง

หานเจวี๋ยพิจารณาต้นฝูซัง เห็นว่ามันเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงมาก เถาน้ำเต้าพิภพเซียนที่อยู่บนลำต้นเองก็เติบโตได้ดี

ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่เถาน้ำเต้าพิภพเซียนจะออกผลน้ำเต้า

“อาจารย์ มู่หรงฉี่ไม่ได้กลับมาระยะหนึ่งแล้ว ข้าอยากออกไปตามหาเขา ได้หรือไม่” สวินฉางอันเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ต้องไปหรอก ระวังจะถูกสัตว์ปีศาจกินเอา เขาไม่เป็นอะไร ดวงชะตาของเขาไม่ธรรมดา สามารถเปลี่ยนเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้”

ตามตบะที่เพิ่มมากขึ้น ร่างกายของสวินฉางอันไม่ต่างอะไรกับของล้ำค่าฟ้าดิน เริ่มแผ่กระจายพลังวิญญาณออกมาด้วยตนเองเช่นกัน ก่อนหน้านั้นอาจจะทำให้สวินฉางอันตกใจจนแทบเสียสติ ทว่านานวันเข้าเขาถึงค่อยคุ้นชินขึ้นมาบ้างแล้ว

โชคดีที่ได้วิชากระบี่บินไร้หัวใจ ไม่เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างมากที่เจ้าหมอนี่จะใช้สิ่งนี้ไปก้อร่อก้อติกกับเชี่ยนเอ๋อร์

“ระยะนี้แดนบำเพ็ญพรตไม่ค่อยสงบนัก ข้าได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าศิษย์ที่ผ่านไปผ่านมา ต่างพูดถึงพญาอสรพิษหยกกันทั้งนั้น มีความเป็นไปได้มากที่เจ้าปีศาจตัวนี้จะกลายเป็นมหันตภัยของใต้หล้า แม้ว่ายังจะไม่กระทบกระเทือนมาถึงต้าเยี่ยนในเวลานี้ แต่ภายภาคหน้าก็ไม่แน่ ข้าเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฉี่เอ๋อร์” สวินฉางอันขมวดคิ้วเอ่ย

ฉี่เอ๋อร์?

หานเจวี๋ยได้ยินแล้วรู้สึกขนลุกขนพองไปหมด

ความสัมพันธ์ของอาจารย์และศิษย์คู่นี้ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เจ้ามีพลังดึงดูดปีศาจสูงมาก ระวังว่ายังไม่ทันจะตามหามู่หรงฉี่พบ ตนเองจะถูกจับเข้าเสียก่อน พอถึงเวลานั้นก็ยังต้องให้ศิษย์ของเจ้าไปช่วย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่สามารถไปช่วยพวกเจ้าได้ ข้าก็บอกพวกเจ้าไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้วว่าอย่าออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก ให้ตั้งใจฝึกบำเพ็ญ พวกเจ้าก็ไม่ฟัง”

สวินฉางอันได้ยินก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงทำได้เพียงยอมแพ้

ไม่รู้ว่าไก่คุกรัตติกาลตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด เอ่ยถามว่า “นายท่าน สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นยังไม่กลับมาเลย คงไม่ใช่ว่าไปตายอยู่ข้างนอกแล้วกระมัง”

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “ยังไม่ตาย แต่ก็มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย ถูกโจมตีทุกวัน”

“นายท่านสามารถคำนวณได้หรือ”

“อืม”

“โชคดีที่ข้าไม่ได้ออกไป นายท่านก็ไม่ได้โกหกข้าจริงๆ ด้วย หากพญาอสรพิษหยกนั่นบุกโจมตีเข้ามาแล้วพวกเราสู้ไม่ไหวก็หนีกันเถอะ”

ไก่คุกรัตติกาลถอนหายใจเอ่ย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัว หรือเป็นเพราะกำลังห่วงสุนัขสวรค์ฮุ่นตุ้น

มันเฝ้ารอให้สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นกลับมาอยู่ตลอด และหากสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นตายอยู่ข้างนอกจริง มันคงเสียใจอย่างแน่นอน

อย่างไรเสียนั่นก็เป็นลูกสุนัขที่มันฟักออกมาด้วยตัวเองนี่นะ

หานเจวี๋ยเอ่ย “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ หากสู้ไม่ได้ก็คงต้องหนี”

เขาอยู่ในระดับรวมกายาขั้นแปดแล้ว ถึงแม้พญาอสรพิษหยกจะทะลวงขั้นได้สำเร็จก็คงจะสู้เขาไม่ได้กระมัง

ระยะห่างระหว่างระดับฝ่าด่านเคราะห์และระดับรวมกายาขั้นแปดคงไม่ถึงขั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดินหรอก

หลังพูดคุยกันราวครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยจึงกลับเข้าไปในถ้ำเทวาเพื่อฝึกฝนต่ออีกครั้ง

หนึ่งเดือนต่อมา

หลี่ชิงจื่อมาเยี่ยมเยียน

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “หรือพญาอสรพิษหยกจะไล่สังหารมาถึงแล้ว”

หลี่ชิงจื่อตามหาเขา ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“เขตต้นกำเนิดบรรพกาลจวนจะถูกข้าศึกยึด จำนวนของทหารปีศาจของพญาอสรพิษหยกมีถึงสิบล้าน และมีราชาปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ใต้บังคับบัญชา แม้แต่เขตแก่นประจิมและต้าเว่ยเองก็เผชิญกับการโจมตีจากกองทัพปีศาจเช่นกัน เกรงว่าอีกไม่นานก็คงมาถึงสำนักหยกพิสุทธิ์ของเรา” หลี่ชิงจื่อกล่าวอย่างกังวล

“ผู้อาวุโสหาน กล่าวกันว่าพญาอสรพิษหยกได้ทะลวงสู่ระดับฝ่าด่านเคราะห์ในตำนานแล้ว ราชาปีศาจระดับรวมกายาและราชาปีศาจระดับสุญตาที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขามีมากกว่าร้อยตน ท่าน…”

หลี่ชิงจื่อกล่าวขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน ปล่อยให้หานเจวี๋ยสู้กับราชาปีศาจจำนวนมากเพียงลำพัง ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ

หานเจวี๋ยตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “มากมายขนาดนี้เชียว? เหตุใดแดนบำเพ็ญพรตของเผ่ามนุษย์ถึงไม่ร่วมมือกัน”

“ตามที่ข้าเข้าใจก่อนหน้านี้ สิบเขตเก้าราชวงศ์ที่อยู่ใกล้เคียงกับต้าเยี่ยนไม่มีผู้ฝึกบำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพิ่งจะถึงระดับรวมกายา เมื่อสองปีก่อน พรมแดนของเขตต้นกำเนิดบรรพกาลมีผู้บำเพ็ญระดับฝ่าด่านเคราะห์ลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น คิดอยากจะต้านทานพญาอสรพิษหยก แต่สุดท้ายเกือบถูกพญาอสรพิษหยกสังหาร ยามนี้เขตต่างๆ ล้วนหวาดกลัว หลายสำนักถูกกดดันให้ต้องอพยพ ท่านคิดว่าพวกเราควรอพยพดีหรือไม่ หลี่ชิงจื่อเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

หากแม้แต่หานเจวี๋ยยังไม่มีความมั่นใจ เช่นนั้นก็ควรหาโอกาสหลบหนีโดยเร็วที่สุด

[เมื่อเผชิญหน้ากับพญาอสรพิษหยกที่มาคุกคาม เจ้าสำนักหลี่ชิงจื่อหวาดกลัวในความตาย ต้องการโยกย้ายสำนัก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง เห็นด้วยกับท่านเจ้าสำนัก ติดตามสำนักหยกพิสุทธิ์หลบหนี จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[สอง ปฏิเสธท่านเจ้าสำนัก เลือกอยู่รอคอยพญาอสรพิษหยก จะได้รับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]

อักขระสามแถวลอยปรากฏขึ้นตรงหน้าของหานเจวี๋ย

เขาขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “จะย้ายไปที่ใด”

“ต่างแดน ไปขอพึ่งพาอาจารย์ปู่”

“ช่วงนี้เขาก็มักจะถูกโจมตีอยู่ตลอด จะไปขอพึ่งพิงเขาหรือ”

“หืม? ผู้อาวุโสหานทราบได้อย่างไร”

“ข้าสามารถคำนวณได้ อีกอย่างระหว่างทางเราจะสามารถหลีกเลี่ยงกองทัพปีศาจของพญาอสรพิษหยกได้หรือ”

“คงไม่ได้ เขตและราชวงศ์รอบๆ ต้าเยี่ยนล้วนถูกโจมตีจากปีศาจ ไม่ว่าพวกเราจะไปที่ใด ก็ต้องเผชิญกับปีศาจ…”

“เรียกศิษย์ทุกคนให้กลับมารวมตัวเถอะ”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ย ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ต้องเผชิญกับปีศาจเหล่านั้นอยู่ดี ไม่สู้อยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนดีกว่า

หากศิษย์ทั้งหมดมารวมตัวกันในสำนักหยกพิสุทธิ์ หานเจวี๋ยก็ไม่ต้องไปช่วยคนจากทุกสารทิศ เพียงรออยู่ที่นี่ เมื่อถึงเวลานั้นก็สังหารพญาอสรพิษหยกเป็นอันดับแรก ส่วนราชาปีศาจที่เหลือย่อมจะสูญเสียกำลังใจไปเอง

หานเจวี๋ยเคยคิดว่าควรจะออกไปตามหาพญาอสรพิษหยกดีหรือไม่ แต่เมื่อหวนคิดอีกที โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่นัก เขาจะไปหาที่ใดกัน

หากออกไปแล้วบ้านถูกขโมย เช่นนั้นคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก!

สำนักอื่นในแดนบำเพ็ญพรตจะถูกทำลายก็ให้ถูกทำลายไป หายเจวี๋ยไม่สนใจอยู่แล้ว

สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาสนใจได้คือสำนักหยกพิสุทธิ์

ตราบใดที่สำนักหยกพิสุทธิ์ยังคงอยู่ ฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลายแล้วอย่างไร

หานเจวี๋ยไม่ได้ต้องการเป็นผู้กอบกู้โลก เมื่อเขากลายเป็นผู้กอบกู้โลกแล้ว ภายภาคหน้าคงวุ่นวายไม่หยุด

มากไปกว่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่พญาอสรพิษหยกจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้บำเพ็ญระดับมหายานที่หานเจวี๋ยได้พบก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียว

[ท่านปฏิเสธท่านเจ้าสำนัก เลือกที่จะอยู่ต่อ ได้รับหินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน]

[หินวิญญาณมรรคาสวรรค์: แฝงไว้ด้วยพลังแห่งมรรคาสวรรค์ เมื่อผสานรวมกับของวิเศษ สามารถทำให้ของวิเศษนั้นมีระดับสูงขึ้นหนึ่งระดับ]

เอ๋?

ของเล่นนี่ก็ไม่เลวเลย!

หานเจวี๋ยเริ่มสนใจหินวิญญาณมรรคาสวรรค์แล้ว

หลี่ชิงจื่อพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้!”

เอ่ยจบ หลี่ชิงจจื่อก็ลุกขึ้นจากไป

รอกระทั่งเขาออกจากถ้ำเทวาไปแล้ว หานเจวี๋ยถึงนำหินวิญญาณมรรคาสวรรค์ออกมา

หินวิญญาณก้อนนี้มีสีม่วง ลักษณะคล้ายกับก้อนอิฐ เมื่อพลังจิตของหานเจวี๋ยแทรกซึมเข้าไปด้านในก็ถูกพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งผลักออกมาทันที

พลังแห่งมรรคาสวรรค์?

หานเจวี๋ยจมอยู่ในห้วงความคิด ควรผสานกับของวิเศษชิ้นใดดี

แน่นอนว่าต้องเลือกของวิเศษขั้นสูง ไม่เช่นนั้นคงเสียของแย่

กระบี่พิพากษาอนธการ?

หรือว่า…

หนังสือแห่งความโชคร้าย?

………………………………………………………………..