นที่ 38 การปรึกษาปัญหาของเทพโอสถและตำนานเทพโอสถ

ฟาร์มาได้กลับมาจากเขตมาร์เชลหลังจากใช้เวลาไปกับการวิจัยพัฒนายากับพวกเหล่าพนักงานที่โรงงานผลิตยา

ด้วยตัวเขานั้นมักจะไปมาระหว่างเมืองหลวงและมาร์เชลอยู่เป็นประจำเพื่อทำการตรวจสุขภาพ จ่ายยา และติดตามการดำเนินกิจกรรมงานภายในโรงงาน

และเขาก็ไม่ลืมที่จะนำเสนอกล้องและรูปถ่ายให้กับจักรพรรดินี

ชื่อเสียงภายในวังของเขาตอนนี้เหมือนจะเป็นที่รู้จักกันในนามของนักประดิษฐ์มากกว่าแพทย์โอสถหลวงเสียมากกว่า

องค์จักรพรรดินีชอบพวกรูปถ่ายเป็นอย่างมากจนบอกให้เหล่าข้าราชบริพารเตรียมการถ่ายรูปเหล่าเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นก็คงจะเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นที่เหล่าอัลบัมรูปจะเปิดตัว

ฟาร์มาได้ยินว่าองค์ชายหลุยส์นั้นชอบกล้องกับรูปภาพเอามากๆ จนขนาดอยากจะสร้างหนังสือภาพเองภายใต้การดูแลของแม่ของเขา

ไม่แน่ว่าตัวของจักรพรรดินีอาจจะกลายเป็นช่างภาพอย่างเต็มตัวเลยก็ได้ แต่ความจริงช่างน่าเศร้าเพราะเธอคงไม่อาจจะทำเช่นนั้นอย่างเดียวได้

ขั้นแรกนั้นเธอได้เริ่มทำการบันทึกภาพทิวทัศน์ของเมืองหลวงจักรวรรดิ

ในประวัติศาสตร์โลกเดิมของเขานั้น ทันทีที่กล้องถ่ายรูปถูกประดิษฐ์ขึ้น พวกเขาก็นำมันไปถ่ายรูปถนนของฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน

จากเรื่องที่ลอตเต้บอกมา ดูเหมือนว่านั่นจะทำให้เวิร์คช็อปของเหล่าจิตรกรหลวงภาพเหมือนถูกปิดไปจากการมาของกล้องถ่ายรูป แน่นอนว่ามันสร้างความขุ่นเคืองให้กับเหล่าจิตรกรอยู่แล้ว และมันก็มุ่งตรงไปยังฟาร์มา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรต่อฟาร์มาต่อหน้าจักรพรรดินีได้

[เรื่องที่เราทำมันถูกแล้วหรือเปล่านะ….จิตรกรเหล่านั้นคงเจอเรื่องร้ายๆ น่าดู]

นับตั้งแต่ที่เขานำเสนอสิ่งประดิษฐ์ให้กับจักรพรรดินีเอลิซาเบท เธอก็ได้ใช้อำนาจในการสั่งการประดิษฐ์ไปยังส่วนกลางเพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวทันที เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่ทันตั้งตัว ฟาร์มาจึงได้รู้สึกขอโทษต่อเหล่าจิตรกรภาพเหมือน แต่อย่างไรก็ตามมันก็ได้กำเนิดภาพถ่าย อิมเพรสชันนิสม์ โพสต์อิมเพรสชันมิสม์ คิวบิสม์ และอื่นๆ อีกมากมาย ในโลกเดิมของเขานั้นเรียกได้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงศิลปะบนโลกเลยก็ว่าได้

เนื่องจากความสามารถและข้อดีของกล้องนั้นถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากในการสร้างสรรค์

ส่งผลทำให้รูปแบบการวาดเซอร์เรียลของจิตรกรต้อหินอย่างจิตกรหลวงเดล และ สไตล์อาร์ต นูโวของลอตเต้ได้รับความสนใจและถูกประเมินค่ามากยิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้เหล่าจิตรกรภาพเหมือนได้เปลี่ยนแนวทางการค้นคว้าภาพเหมือนให้มีความแปลกใหม่และเหนือจริงไปแทน ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ฟาร์มาทำนายไว้แล้วเกี่ยวกับอนาคตของลอตเต้ เมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนาและเปลี่ยนไป ศิลปะก็จะเปลี่ยนไปตามเช่นกัน แต่พอมาคิดว่าเป็นเพียงช่วงเวลาเพียงสองปี ก็ดูอาจจะเร็วเกินไป

[น่าจะหยุดสร้างกล้องถ่ายภาพสีไปก่อนละกันแบบนี้]

ถ้าเกิดไปสร้างภาพถ่ายสีขึ้นมาอีกเหล่าจิตรกรคงจะแทบไม่เหลือที่ยืนกัน เราก็ไม่อยากจะไปทำร้ายพวกเขาเร็วๆ นี้ด้วยสิ

… ━━ … ━━ … ━━ …

เนื่องจากการเปลี่ยนกำหนดการของกิจกรรมภายในเมืองหลวง ฟาร์มาจึงได้มีวันหยุดของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมจะออกเดินทางไปข้างนอกคนเดียว

“ท่านฟาร์มาจะไปไหนเหรอคะ?”

“อ่ะ คือ”

เพราะลอตเต้นั้นเป็นคนตื่นเช้าอยู่แล้ว เธอจึงมาหาเขาพร้อมกับชุดสาวใช้ของเธอ โดยปกติแล้วเธอนั้นจะรับใช้ตระกูลเมดิซิส และงานเสริมของเธอตอนนี้ก็คือการแบ่งเบาภาระงานของฟาร์มาและบลานช์ไปด้วย เธอมักจะตื่นขึ้นมาปลุกฟาร์มาและนำชุดมาเปลี่ยนให้กับเขาอยู่ประจำ จึงเป็นเรื่องยากมากที่ฟาร์มาจะอยู่ในสภาพที่ดูสมบูรณ์พร้อมได้เมื่อปราศจากลอตเต้

ลอตเต้ได้ทำการช่วยฟาร์มาเปลี่ยนชุดของเขา

[จริงๆ เราก็ใส่ชุดอะไรเองได้….แต่เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่าชนชั้นสูงจะสวมเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือจากผู้อื่นไปด้วยนี่สิ]

ขณะที่ลอตเต้กำลังขัดรองเท้าของเขาและสวมโค้ตให้ ฟาร์มาก็กำลังคิดว่าจะสลัดเธอให้หลุดได้อย่างไร เพราะลอตเต้ก็ดูเหมือนเป็นคนเอาการเอางานมากกว่าข้ารับใช้คนอื่นเสียด้วย

“ดูเหมือนบลานช์จะงัวเงียอยู่เลยนะเนี่ย”

บลานช์ที่เดินเข้ามาด้วยความงัวเงียกับชุดนอนพร้อมตุ๊กตาที่เธอกอดอยู่

“ได้โปรดรอสักครู่นะคะท่านบลานช์ เดี๋ยวฉันจะไปเปลี่ยนชุดให้ แล้วเราค่อยไปทานอาหารเช้ากันนะคะ ฉันเตรียมลาสซี่ของโปรดให้กับท่านด้วย”

ลอตเต้ยิ้มให้กับบลานซ์

“ค่าาา”

[ดูท่าบลานช์จะยังง่วงๆเพราะตาของเธอยังดูแดงๆ ตอนผงกหัวอยู่เลย]

“แล้วท่านพี่จะไปไหนเหรอคะ?”

บลานช์ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฟาร์มาจะไปไหนเพราะเขายังไม่ได้บอกถึงปลายทางนั้นเลย

“ก็ไปเดินเล่นนิดหน่อย ว่าจะกลับมาช่วงบ่าย”

“ว้าว! งั้นหนูก็จะไปด้วย!”

“ขอโทษด้วยนะ แต่ว่าคงจะไม่ได้”

“งื้อออออออ”

“รักษาตัวด้วยนะคะ”

ลอตเต้ลาฟาร์มาที่อยู่หน้าประตูพร้อมกับโค้งคำนับ

[เอาล่ะทีนี้ก็สลัดสองคนนี้ทิ้งได้แล้ว]

“เตรียมรถม้าให้ด้วยนะครับ ผมจะไปที่โบสถ์ผู้พิทักษ์ของเมืองหลวงจักรวรรดิ”

หัวหน้านักบวชนั้นมักจะไปยังร้านขายยาอยู่ทุกวัน และเขามักจะสร้างความสับสนให้กับผู้คนเล็กน้อยพอเจอกับฟาร์มา เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ค่อยอยากจะไปโบสถ์เท่าใดนัก แต่วันนี้เขาได้ตัดสินใจที่จะเดินทางไปพบพวกเขาเพื่อปรึกษาปัญหาของตัวเอง

ส่วนปัญหานั้นคือ

“ลำบากจริงๆ พอไปไหนก็ถูกเรียกว่าเทพโอสถ” ฟาร์มาถอนหายใจ

มันเป็นเรื่องจริง

แม้ว่าฟาร์มาจะมีความสามารถที่หลากหลายแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองคือ “เทพโอสถ”

ถึงจะมีความสามารถที่ทำประโยชน์ได้มากขนาดนี้ แต่การที่ถูกปฏิบัติราวกับตนเป็นเทพโอสถมันก็ทำให้เจ็บปวดได้เหมือนกัน

ไหนจะเรื่องของลอตเต้ บลานช์ แล้วก็แม่ของเขาที่ ปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงใกล้ชิดกับพวกเธอมากเกินไป เพราะหากเป็นแบบนั้นพวกเธออาจจะรู้ว่าฟาร์มาคนเดิมได้จากไปแล้ว ส่วนทางด้านของจักรพรรดินีเอลิซาเบทกับเอเลนนั้นเข้าใจในสถานการณ์ของเขาอยู่แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจในตัวของเขา

[เราต้องการหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าตัวเองไม่ใช่เทพโอสถ แต่ถึงจะเป็นจริงๆ เราก็ต้องจัดการกับทัศนคติ มุมมองคนในประเทศนี้นั่นคงจะดีที่สุด]

โบสถ์ผู้พิทักษ์นั้นตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของเมืองหลวงจักรวรรดิ ซึ่งใกล้กับราชวังของจักรพรรดินี

“อรุณสวัสดิ์ครับ~”

“โอ้! ท่านฟาร์มา ยินดีต้อนรับครับท่าน”

หัวหน้านักบวชซาโลม่อนกำลังเตรียมแท่นบูชากับของจุกจิกสำหรับพิธีกรรมตอนเช้าอยู่ แต่เขาก็ออกมาต้อนรับฟาร์มา การที่ฟาร์มามาเยือนที่นี่นับว่าเป็นความสุขของเหล่านักบวช แต่การเทิดทูนกันมากเกินไปก็สร้างความรำคาญให้กับฟาร์มาได้เช่นกัน

“วันนี้ผมอยากจะคุยกับคุณหัวหน้านักบวชครับ”

เมื่อฟาร์มาเข้ามายังภายในโบสถ์ พื้นของโบสถ์นั้นจะยังคงเปล่งแสงจางๆ ออกมา

[รับมือยากจริงๆ เลยนะ พอมาโบสถ์ทีไร……]

ฟาร์มาได้ถูกพาไปยังอีกห้องหนึ่ง แล้วหัวหน้านักบวชก็นำชากับขนมมาให้กับเขาด้วยตัวเอง

“ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้นะครับ”

ฟาร์มาได้หยุดเขาก่อนที่เขาจะนำ “เครื่องบูชา” มามอบให้มากกว่านี้หากเขายังเงียบอยู่

“แล้ววันนี้ท่านประสงค์จะพูดสิ่งใดกันหรือครับ?”

“ผมมาที่นี่เพราะอยากรู้เรื่องของเทพโอสถนะครับ”

“ช่างน่าแปลกนะครับที่ท่านเทพโอสถไม่รู้ถึงเรื่องราวของตัวเองเช่นนี้”

เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ซาโลม่อนจะมีความรู้เรื่องนี้มากกว่าฟาร์มาที่รู้แค่เรื่องชาติก่อนของเขา

“บอกแล้วไงครับว่าผมไม่ใช่แบบนั้น”

อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานที่ได้พบเห็นนั้นมันก็เริ่มมารวมตัวกัน

[เรามีความสามารถของเทพโอสถสุดโกง แล้วก็ยังไม่มีเงา แต่เราก็ไม่เห็นจำได้เลยว่าตัวเองถูกเลือกให้เป็นเทพโอสถไปด้วยตอนไหน แน่นอนว่าเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่]

“ตอนที่ผมเจอกับท่านครั้งแรกแล้วถูกคุกคามด้วย “คำสาป” ท่านจะให้ผมคิดว่าอะไรได้อีกล่ะครับ”

แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“ตอนนั้นบรรยากาศมันพาไปเฉยๆ ครับ แล้วก็นั่นมันเรียกว่าบลัฟฟ์ต่างหากครับ”

ฟาร์มาที่ถูกขุดประวัติศาสตร์อันดำมืดออกมาเริ่มรู้สึกอาย

“แบบนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไงครับ?”

หัวหน้านักบวชยังคงเชื่อมั่น

“ตามความเชื่อแล้ว เทพโอสถเป็นเทพเจ้าแบบไหนเหรอครับ? แล้วก็ทำไมเทพโอสถถึงไม่มีเงากันล่ะครับ?”

“ตามที่โบสถ์ผู้พิทักษ์อธิบายในพระคัมภีร์ระบุไว้ว่าพวกท่านเป็นดังแสงสว่าง เพราะเหตุนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้หากจะปราศจากเงา”

“อย่างงี้นี่เอง”

หัวหน้านักบวชนำพระคัมภีร์เล่มหนาจากห้องอื่นและวางไว้ด้านหน้าของฟาร์มา มีการกล่าวไว้ว่าพระคัมภีร์ที่ถูกสร้างไปด้วยความวิจิตรศิลป์นี้มีความหนาเท่ากับพจนานุกรม เนื่องจากมันเป็นหนังสือที่เขียนด้วยมือและไม่ใช่ต้นฉบับ หัวหน้านักบวชจึงได้สรุปส่วนสำคัญของพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับเทพโอสถให้

เทพโอสถนั้นจะปรากฏตัวในหนึ่งปีก่อนจะเกิดโรคระบาดร้ายแรง

พระองค์ได้ขอยืมร่างหญิงสาวผู้หนึ่ง เป็นร่างสถิตของ”เทพโอสถ” และบอกกับเหล่าผู้คนถึงโรคภัยที่จะมาถึงแล้วเธอก็มอบยารักษาให้กับผู้ที่ป่วย

ตัวของเธอนั้นก็มีตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์เป็นรูปสายฟ้าเหมือนกับที่แขนของฟาร์มาและสามารถบินไปยังบนท้องฟ้าได้ด้วยคทา

ร่างของเทพโอสถนั้น คงกระพันและเป็นอมตะ ร่างกายสามารถทะลุผ่านสิ่งต่างๆได้

เธอนั้นมีความสามารถในการเดินทางระหว่างสวรรค์และโลก บางครั้งเธอก็กลับมายังโลกด้วยพลังแห่งอันศักดิ์สิทธิ์

โดยเทพโอสถนั้นไม่ได้ไปมาระหว่างโลกเป็นประจำ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกลับไปยังสวรรค์แล้วไม่กลับมาบนโลกนี้อีกเลย

จนพอจะสรุปกันไปว่าเทพโอสถนั้นจะปรากฏตัวเพียงปีละครั้ง

แล้วก็คงเหลือเพียงแค่คทาแห่งเทพโอสถเป็นสมบัติเอาไว้บนโลกนี้

“เรื่องราวมันเป็นแบบนี้นี่เอง….ขอบคุณมากนะครับ”

[นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้วตั้งแต่เรากลับชาติมาเกิด แล้วจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าเราจะหายไปไหนเลย]

“แล้วเทพโอสถอายุเท่าไหร่กันเหรอครับ?”

ฟาร์มาที่ได้ยินเรื่องราวมาจากจักรพรรดินี คาดการว่าหญิงสาวที่ปรากฏตัวคนนั้นอาจจะอายุประมาณ 10 ปี

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เพราะส่วนตัวก็ไม่มีโอกาสได้พบกับเธอ”

สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นหรือเทพโอสถได้เดินทางมายังอาณาจักรแห่งนี้หรือไม่

[สถานการณ์การกลับชาติมาเกิดของเราก็ค่อนข้างตรงกับตำนานของเทพโอสถ เพราะเราก็ได้เผยแพร่ความรู้ของโรคให้กับคนที่นี่แล้วก็รักษาพวกเขา แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องที่ว่าตัวเธอเป็นอมตะนั่นด้วยสิ]

ฟาร์มาเข้าใจเหตุผลของคนที่เห็นตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์และความสามารถของเขาแล้วเชื่อว่าเขานั้นเป็นเทพโอสถแล้ว อีกทั้งเพราะเขาก็แสดงความสามารถนี้มานานแล้ว จะให้หนีก็คงไม่รอด

[นอกเหนือจากเรื่องความเป็นอมตะของเราแล้ว เรื่องการเดินทางไปสวรรค์อะไรนั่นอีกที่ยังไม่ชัดเจน]

ก็ได้แต่หวังว่า”แดนสวรรค์” นั้นจะเป็นโลกของเรา

พระเจ้าที่มายังโลกแห่งนี้ได้กลับไปยังโลกเดิม

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นตัวฟาร์มาก็มีความหวังที่จะกลับไปยังโลกเดิมได้

“อ่ะ จริงสิ ถ้าเป็นแบบนี้ก็หมายความว่าเทพผู้พิทักษ์องค์อื่นก็ต้องมายังโลกแห่งนี้เหมือนกันสินะครับ?”

[คงจะดีถ้าเราได้พูดคุยกับเทพองค์อื่นๆ บ้าง บางทีพวกเขาอาจจะเป็นคนโลกเดียวกับเราก็ได้]

“ตั้งแต่ท่านจุติมายังโลกแห่งนี้ ก็ไม่มีเทพองค์ใดลงมาหรอกครับ”

“อะไรกัน!?”

ฟาร์มาถอนหายใจด้วยความผิดหวัง

เทพผู้พิทักษ์นั้นจะสามารถจุติมาบนโลกนี้ได้เพียงทีละองค์ เมื่อเทพโอสถลงมาแล้วเทพองค์อื่นก็ไม่สามารถตามมาได้ กระทั่งเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหล่าเทพเจ้าที่มักจะหมุนเวียนกันลงมาได้หายไปเหลือเพียงสมบัติที่แต่ละองค์ทิ้งเอาไว้ให้ นั่นจึงทำให้บนโลกนี้มีสมบัติเหล่านี้อยู่มากมายเหมือนเป็นของที่ระลึก แต่มนุษย์ทั่วไปก็สามารถใช้งานได้อยู่ดี

“เพราะแบบนั้น จึงมีเพียงท่านฟาร์มาหรือก็คือท่านเทพโอสถผู้เดียวเท่านั้นที่ลงไปยังโลกแห่งนี้ ช่างน่าดีใจที่ได้อยู่ร่วมบนผืนแผ่นดินเดียวกับท่าน ทั้งความเข้าใจในมนุษย์แท้จริงของท่านและปาฏิหาริย์ที่ท่านได้สร้างขึ้นมาให้พวกเราได้เห็นถึงวิถีชีวิตของท่าน”

“สิ่งที่ท่านทำและผลงานของท่านบนโลกใบนี้นั้นจำเป็นต้องได้รับการบันทึกโดยเหล่านักบวชครับ คงถึงเวลาที่ต้องเขียนหน้าใหม่ของพระคัมภีร์แล้วสิ”

การบันทึกผลงานของฟาร์มาที่ทำไว้ ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในงานของซาโลม่อนด้วย

“นอกจากนี้ถึงจะแปลกไปบ้างที่คุยกับเทพเช่นนี้ แต่ท่านช่างมีบุคลิกที่ดีจนน่าประหลาดใจเลยนะครับ”

ซาโลม่อนบอกว่าเทพเจ้าที่ลงมาบนโลกใบนี้ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเทพที่ดี บ้างก็เลยทำให้ประเทศหนึ่งกลายเป็นดินแดนแห่งเปลวเพลิงที่เผาไหม้ บ้างก็ไม่สนใจผู้คนเลย แต่หากตามที่หัวหน้านักบวชพูดการมาของเหล่าเทพเจ้านั้นเป็นที่ต้อนรับอยู่เสมอ

“ถ้าเป็นแบบนั้น คุณคิดว่าเทพโอสถจะเป็นคนแบบไหนเหรอครับ?”

“ก็เหมือนกับที่ท่านเป็นตอนนี้แหละครับสร้างยาเป็นจำนวนมากและรักษาผู้คน”

ซาโลม่อนเหมือนจะเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ฟาร์มาทำนั้น “เป็นงานของเทพโอสถ”

“ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ผมทำได้เองครับ”

“ถ้าจะให้พูด…ท่านจะบอกว่าเห็นผู้คนเจ็บป่วยแล้วปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้สินะครับ หืมมมม”

ท้ายที่สุดหัวหน้านักบวชก็ดูเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาเพียงนิดหน่อยเกี่ยวกับ

ฟาร์มา

“ไม่จะว่าเป็นเช่นไร ผมก็อยากให้ท่านอยู่บนโลกใบนี้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะครับ หากท่านไม่ขัดข้อง”

“ผมก็ไม่ได้อยากจะตายอีกครั้งหรอกครับ ผมยังอยากจะมีชีวิตที่สุขภาพสมบูรณ์บนโลกใบนี้เหมือนกันนะครับ”

นั่นเป็นเสียงร้องจากใจจริงของฟาร์มา

“แม้จะยากไปบ้าง แต่ผมคิดว่าท่านไม่ต้องกังวลพอถูกเรียกว่าเทพโอสถหรอกนะครับ ถ้าถูกเรียกก็คิดว่าเป็นชื่อเล่นของท่านก็พอแล้วนี่ครับ”

“แบบนั้นก็เหมือนกับว่าผมยอมรับไม่ใช่หรือไงกันครับ?”

ดูเหมือนว่าหัวหน้านักบวชนั้นแสร้งเหมือนจะทำเป็นช่วยคิดชื่อที่สองของ

ฟาร์มาให้ เหมือนกับที่ผู้คนบนโลกก่อนเคยเรียกเขาว่าหมอเทวดา

“นั่นชื่อเล่นเหรอครับ?”

แต่การพูดคุยแบบนี้ก็ทำให้ฟาร์มารู้สึกสบายใจขึ้น

“ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกเหมือนได้ปลดภาระออกจากบ่าเลย”

“โบสถ์แห่งนี้ยินดีจะทำตามเสียงเรียกของใจท่านและเมื่อใดก็ตามที่ท่านมีปัญหา กรุณามาที่แห่งนี้ได้เสมอครับ”

ซาโลม่อนหัวเราะออกมาเพราะยังไงโบสถ์นั้นก็เป็นที่ไว้สำหรับช่วยผู้คนที่มีปัญหาอยู่แล้ว

ซาโลม่อนสัญญาว่าจะไปบอกเหล่านักบวชไปให้ทำเสียงอึกทึกกันเกินไปแล้วก็ปฏิบัติกับฟาร์มาเหมือนปกติ แน่นอนว่าซาโลม่อนก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

“นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วที่ แบบจำลองสมบัติลับชิ้นนั้นจะเดินทางมาถึงยังโบสถ์ ประมาณการว่าน่าจะเป็นพรุ่งนี้นะครับ”

“ไว้เดี๋ยวผมจะมาดูนะครับ”

“ไม่จำเป็นเลยครับ เดี๋ยวทางนี้จะนำไปให้ท่านเอง”

แล้วฟาร์มาก็เดินผ่านห้องรับแขกออกไปยังโถงของโบสถ์

“นี่มันอะไรกัน!?”

ฟาร์มาเห็นเหล่าผู้ศรัทธาภายในโบสถ์มากกว่า 50% มีดวงตาสีแดงเข้ม ซึ่งก็ดูเหมือนบางคนจะไม่รู้ตัวและได้ใช้มือจับไปยังที่นั่งและประตูของโบสถ์ซึ่งดูแออัดกันมาก นี่มันเป็นแหล่งแพร่เชื้อชั้นดีเลย

“ดวงตาของทุกคนเป็นสีแดงกันหมด”

เป็นอาการที่ชัดเจนแม้จะไม่ใช้ดวงตาวินิจฉัย

“เยื่อบุตาอักเสบจากเชื้อไวรัส”

เหล่าผู้ศรัทธานั้นมีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก โอกาสติดเชื้อจึงค่อนข้างสูง

“ได้โปรดขยายช่วงเวลาเทศนาออกไปด้วยนะครับ แล้วก็กันให้ผู้คนไม่ให้ออกไปไหนด้วย”

“ท่านพบอาการเจ็บป่วยงั้นหรือครับ?”

แล้วหัวหน้านักบวชก็พบว่าดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้ว

“มันเป็นโรคระบาดทางดวงตาครับ”

“อย่าให้พวกเขากลับบ้านไปคนเดียวนะครับ”

แล้วหัวหน้านักบวชก็ได้ประกาศ “ห้ามให้ใครออกไปจนกว่าพิธีจะเสร็จ”

ระหว่างพิธีดำเนินไปนั้น ฟาร์มาก็กลับไปยังร้านขายยาของเขาโดยใช้รถม้าแล้วเตรียมยาต้านจุลชีพตามจำนวนคนภายในนั้น

เมื่อพิธีจบลง ฟาร์มาก็ได้ไปถึงยังโบสถ์และค้นหาผู้ติดเชื้อภายในนั้นก่อนพวกเขาจะกลับบ้าน ฟาร์มาก็ได้แจกยาหยอดตาที่คล้ายกับของที่ระลึกวันแต่งงานให้พวกเขา

โดยมีคำแนะนำการใช้ยาหยอดตาติดเอาไว้ด้วย ว่าควรใช้เวลาไหน ตอนดวงตาของคุณเป็นสีแดง แล้วก็ช่วงนั้นควรหลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้อื่นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ควรเอามือที่สัมผัสกับดวงตาไปจับที่อื่น

โรคเยื่อบุตาอักเสบนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้ออะดีโน และการแพร่ของมันนั้นรวดเร็วจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก และหากตัวยานี้ไม่มีผลต่อเชื้ออะดีโนเขาก็สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปลูกถ่ายยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์เข้าไป หลังจากระบุอาการของผู้ป่วยที่สาหัสได้แล้ว ฟาร์มาก็เริ่มแจกจ่ายยา

“นี่คืออะไรเหรอคะ?”

หญิงชราผู้มีดวงตาสีแดงถาม

“นี่เป็นยาหยอดตาครับ ที่ผมให้เพราะว่าคุณกำลังป่วยเป็นโรคจากเชื้อทางดวงตาครับ และสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นด้วย หากคุณไปนำยานี้ไปใช้”

“จะว่าไป ภรรยาของข้าก็ตาสีแดงเหมือนกันนี่นา”

ฟาร์มาก็ได้มอบยากับเอกสารให้กับชายผู้นั้น

“ตาผมก็ดูเหมือนจะแดงเหมือนกันนะครับ”

เนื่องจากยาหยอดตานั้นเป็นของทั่วไปที่มีขายอยู่ในร้านยาของจักรวรรดิอยู่แล้ว พวกเขาจึงสามารถหามันได้โดยไม่ยาก

“ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับที่ช่วยพวกเราไว้”

แล้วซาโลม่อนก็ได้กล่าวขอบคุณเหล่าผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมือ ส่วนฟาร์มาก็โล่งใจกับเหตุการณ์นี้ที่ผ่านไปได้ด้วยดี

“ผมต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่ต้องให้ผู้ป่วยอยู่ภายในโบสถ์กันหมดแบบนี้” ฟาร์มาตอบ

“ไม่เห็นท่านจะต้องโทษตัวเองแบบนั้นเลยก็ได้นี่ครับ?”

หัวหน้านักบวชอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็นใจต่อเขา

“ท่านก็แค่ทำในสิ่งที่ตนพอทำได้เหมือนกับพวกผมเท่านั้นเอง”

“ยังกับบทสอนอะไรสักอย่างเลยนะครับ?”

หนทางนั้นยังอีกยาวไกล….

และในวันต่อมา

“ขอบพระคุณท่านมากสำหรับเรื่องเมื่อวันก่อนนะครับ แล้วก็ตอนนี้ผมได้แบบจำลองนี้มาแล้วครับ”

และเวลานี้หัวหน้านักบวชก็ได้นำแบบจำลองของสมบัติลับชิ้นดังกล่าวมายังร้านขายยาต่างโลกโดยไม่ได้บอกเหล่านักบวชชั้นสูงก่อน หากคิดถึงเรื่องความปลอดภัยแล้วก็ควรจะนำคนคุ้มกันมาด้วย แต่เนื่องจากมันเป็นแค่แบบจำลองจึงไม่มีปัญหาใดๆ

“นี่มัน……”

ฟาร์มาเปิดกล่องไม้ที่บรรจุสิ่งจำลองเอาไว้ออกมา และเขาก็มองมันก่อนจะบิดแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ

“เราไม่สามารถหาวัตถุดิบมาสร้างแบบจำลองที่สมบูรณ์ได้ แต่มันก็คล้ายที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ซึ่งมันถูกขุดขึ้นมาจากดินชั้นทางธรณีวิทยาประมาณ 3000 ปีก่อนครับ”

[ล้อกันเล่นหรือเปล่า…นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?]

“สมบัติลับชิ้นนี้แฝงไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากเลยสินะครับ?”

“ครับดูเหมือนว่าสิ่งนั้นมันจะบรรจุพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แต่พวกเราไม่ทราบถึงวิธีใช้มัน”

หัวหน้านักบวชส่ายหัวและถอนหายใจ ตั้งแต่ที่ฟาร์มาบอกว่าอยากจะเห็นสมบัติลับชิ้นนี้ ตัวเขาก็มีความหวังว่าฟาร์มาอาจจะรู้วิธีใช้ ส่วนทางด้านของเอเลน ลอตเต้ และเซดริก ต่างก็เข้ามาสลับกันดูแบบจำลอง

ฟาร์มาคิดว่านี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ

แบบจำลองนั้นถูกเขียนอักษรภาษาญี่ปุ่นตัวคันจิและอังกฤษลงไปว่า คายุทานิ

นอกจากนี้ยังมีคำที่เขียนไว้ว่า “หลักสูตร×” ของบัณฑิตวิทยาลัยเภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนานาชาติ

สมบัติลับที่ซาโลม่อนว่านั้นก็คือบัตรประจำตัวมหาวิทยาลัยของฟาร์มาในชาติที่แล้ว

แน่นอนว่าในบัตรนั้นมีข้อมูลประจำตัวของเจ้าของบัตร และยังมีข้อมูลอนุญาตการเข้าออกในแต่ละพื้นที่ของมหาวิทยาลัยอีกด้วย

“โอ้ แล้วตัวอักษรภายในสมบัติลับนี้กล่าวถึงสิ่งใดหรือครับ?”

หัวหน้านักบวชคอยติดตามการอธิบายถึงสิ่งที่เขียนอยู่ในบัตรพนักงาน

“เอ่อ… ผมรู้สึกเหมือนเคยเห็นมันมาก่อนด้วยสิ…ขอเวลาให้ผมสักหน่อยนะครับ”

[ความสามารถพิเศษของมันคงไม่มีอะไรหรอก เพราะยังไงมันก็มีแค่ชื่อ]

“ขอบพระคุณมากครับ!”

หัวหน้านักบวชส่งแบบจำลองให้กับเขาแล้วก็กลับไป

[บอกว่าพบมันในชั้นฐานธรณีวิทยาเมื่อ3000ปีก่อนงั้นเหรอ…ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้กันนะ?]

พอเอเลนได้เข้ามาใกล้ แล้วพยายามปิดตาข้างหนึ่งเพื่อดูรูปภายในบัตรนั้น ซึ่งมันคล้ายกับตัวของฟาร์มาในชาติก่อนมากและสิ่งที่พวกเธอพูดออกมามันก็ทำให้ฟาร์มาแทบจะเป็นบ้า

“หายากนะเนี่ยผมสีดำแบบนี้ หรือเขาจะเป็นหนึ่งในเทพเจ้าเหมือนกันนะ?”

“ดูเหมือนกับรูปปั้นของเทพเจ้าเลยนะคะ”

เมื่อลอตเต้เห็นสิ่งนี้เธอก็รู้สึกประหลาดใจจนเอามือป้องปากตัวเองไว้

“ขึ้นอยู่กับเวลาอย่างเดียวแล้วสินะ..”

[บัตรประจำตัวใบนี้คือสิ่งเดียวที่เชื่อมเบาะแสระหว่างโลกทั้งสองใบเอาไว้]

ฟาร์มาคิดว่าตัวเขาจำเป็นต้องไปดูของจริงด้วยตาตัวเองเสียแล้ว

———-

Note : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913