ตอนที่ 404 ทักษะวิญญาณศพ

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 404 – ทักษะวิญญาณศพ

 

    กว่าครึ่งวัน ไม่มีคนพูดจา

    สีหน้าของเนี่ยอู๋ชางนิ่งมาก นางเตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้ว

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วกลับมีสีหน้าซีดเทา ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา

    เนิ่นนานให้หลัง เสียงแห้งผากของยงหรูอวี้ดังขึ้นมาว่า “สหายเต๋าฉิน ท่าน……ดึงดันเกินไปหรือไม่”

    โม่เทียนเกออ้าปากกล่าวช้า ๆ ว่า “อย่างแรก ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ผ่านเมืองซิงลั่วทั้งหมดล้วนถูกพวกเขาเชิญมายังจวนเจ้าเมือง ข้าจำได้ว่า ผู้อาวุโสเหลียงผู้นั้นเคยบอกว่า คนที่เชิญไม่มีใครปฏิเสธสักคน สถานการณ์นี้ผิดปกติมากเพียงไร ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานมีสักกี่คนที่เบื้องหลังไม่มีคนหนุนหลัง ทุก ๆ คนจะกรูมายังสถานที่ลับโบราณกาลที่ว่านี้แล้วรออยู่ที่นี่กันหมดได้อย่างไร นี่คือหนึ่งในข้อกังขา”

    สีหน้ายงหรูอวี้แปรเปลี่ยนกลับกลายเนิ่นนาน ในที่สุดจึงถอนหายใจ กล่าวว่า “สิ่งที่สหายเต๋าฉินพูด ถึงจะไม่แน่นอน แต่ก็มิใช่ไม่มีเหตุผล”

    โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “มิผิด ก็มิใช่จะบอกว่าเจ้าเมืองเหมยนี้จะต้องรั้งตัวผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่ไม่ตกลงเป็นแน่ เพียงแต่จะมากจะน้อยนี่ก็เป็นจุดกังขาอย่างหนึ่ง”

    “เช่นนั้นจุดกังขาที่สองเล่า” ฉิวเฉิงรั่วจ้องนางเขม็งแล้วถาม

    “ภายหลัง พวกเราตอบรับคำร้องของเจ้าเมืองเหมย แต่เจ้าเมืองเหมยผู้นี้ถึงกับไม่มีเจตนาจะให้พวกเราได้ทำความรู้จักกันเลยแม่แต่นิดเดียว ถึงขนาดเอ่ยเตือนอย่างตั้งใจแต่เสมือนไร้เจตนาว่า คนอื่นอาจจะลงมือสังหารในสถานที่ลับ”

    “มิผิด” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “ตอนนั้นข้าก็รู้สึกแปลกประหลาดอยู่บ้าง ถึงจะบอกว่าพวกเราผู้ฝึกตนก่อเกิดตานเหล่านี้ไม่รู้จักกัน แต่หากมีคนเต็มใจร่วมมือ มิใช่ว่าจะยิ่งผ่านด่านได้ง่ายหรอกหรือ ถึงสุดท้ายแล้วหักหลังกันก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเราเหล่านี้ ไม่ตกไปถึงศีรษะของพวกเขาหรอก สามารถพูดได้ว่า การให้พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนก่อเกิดตานทำความรู้จักกัน ต่างคนต่างเสาะหาพันธมิตร สำหรับเจ้าเมืองเหมยแล้วมีประโยชน์แต่ไร้โทษ แต่ว่าเขาไม่ใช่ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่มีความตั้งใจจะให้พวกเราทำความรู้จักกันเลย หากมิใช่ว่าสหายเต๋าทั้งสองมาเยือนถึงหน้าประตู เกรงว่าข้ากับสหายเต๋าฉินก็คงเป็นพวกพ้องสองคนเท่านั้น”

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสีหน้ากลายเป็นดำคล้ำ ลังเลชั่วครู่ ฉิวเฉิงรั่วเอ่ยว่า “อันที่จริง ก่อนที่ข้ากับซือเกอสองคนไปเสาะหาพันธมิตร ผู้อาวุโสเหลียงคนนั้นเคยโน้มน้าวพวกเราว่าในม่านพลังนี้ การเสาะหาพันธมิตรเฉพาะหน้ามิสู้การร่วมทางกับคนที่ไว้ใจได้เพียงเท่านั้น เพียงแต่ว่า หลังจากข้าและซือเกอตรึกตรองดู รู้สึกว่าด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราอยากจะผ่านด่านมันยังคงยากอยู่สักหน่อย ดังนั้นไม่ได้ฟังเขา……”

    โม่เทียนเกอถอนหายใจเบา ๆ ไร้พวกไร้มิตร การเตือนอย่างนี้มันจิตใจดีเกินไปแล้วล่ะ โดยเฉพาะเกี่ยวพันไปถึงผลประโยชน์ของเมืองซิงลั่ว จะคิดจะรู้สึกอย่างไรก็น่าระแวง

    “จุดกังขาที่สามกลับเป็นรายละเอียดมากมาย” โม่เทียนเกอกล่าวต่อ “หมอกหลงทิศ, วิธีที่พวกเขาปิดบังสถานที่ลับ การสูญเสียพลังวิญญาณ เป็นต้น…… หากจะพูดว่า จุดกังขาสองจุดแรกเป็นเพียงจุดกังขา รายละเอียดเหล่านี้ กลับเพียงพอจะพิสูจน์ว่า สถานที่ลับแห่งนี้มิใช่สถานที่ลับโบราณกาลอะไรเลย”

    “……” เงียบสนิท ไม่มีใครพูดจาอีก ทุก ๆ คนล้วนคิดหนักอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่าลำดับถัดไปควรจะทำอย่างไร ในเมื่อมีความกังขา ย่อมต้องออกไป แต่ต้องออกไปอย่างไรกันเล่า ในพวกเขามีเพียงโม่เทียนเกอที่เข้าใจวิชาม่านพลัง แต่กลับไม่เพียงพอที่จะทำลายม่านพลัง อีกทั้งความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแกร่งอีกแค่ไหน ก็เทียบผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่ได้

    “แย่แล้ว!” เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ คิดถึงอะไร สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง ล้วงหุ่นไม้เล็ก ๆ ออกมาจากในกระเป๋าเอกภพ “สิ่งของนี้……”

    เมื่อเห็นของเล่นชิ้นนี้ อีกสามคนก็สีหน้าเปลี่ยนไป โดยเฉพาะยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่ว

    ถึงจะบอกว่าแต่แรกเจ้าเมืองเหมยก็อธิบายแล้วว่าจะเตรียมวัตถุจำเป็นของการท่องสถานที่ลับให้ทุกคน แต่หนึ่งคนส่งอาวุธเวทหนึ่งชิ้น อดไม่ได้ที่จะรอบคอบเกินไป โดยเฉพาะปราณพิษนั้นไม่ได้ร้ายแรงจนเกินไปเลย ไม่มีความจำเป็นเช่นนี้เลย

    โม่เทียนเกอก็ล้วงหุ่นไม้นี้ออกมา มองดูอย่างละเอียด ใช้จิตหยั่งรู้สอดแนมเข้าไปด้วย แต่ค้นพบว่าข้างในมีเขตแดนหนึ่งชั้น ไม่อาจถูกจิตหยั่งรู้แทรกเข้าไป

    นี่เป็นวิธีการของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ นางยิ่งมั่นใจแล้ว สิ่งของนี้มีปัญหาอย่างแน่นอน

    “ทำอย่างไร” เนี่ยอู๋ชางถามนาง

    โม่เทียนเกอคิดแปบหนึ่ง หันหน้าไปถามยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วว่า “สหายเต๋าทั้งสองดูเหมือนว่าจะไม่ได้ฝึกสายอัคคีเป็นหลักกระมัง”

    “อืม” สิ่งที่ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วใช้เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาเวทหนึ่งชุด ขณะนี้ทั้งสองคนล้วนส่ายหน้า

    โม่เทียนเกอไม่รู้สึกเหนือคาดเลย โยนหุ่นไม้ในมือลงพื้น เปิดกระเป๋าอสูรวิญญาณเรียกเสี่ยวหั่วออกมา สั่งว่า “เสี่ยวหั่ว ใช้ไฟเผา”

    เสี่ยวหั่วไม่ได้ออกมานานมากแล้ว พอเห็นนางก็ส่ายหัวอยากจะมาอ้อน ผลคือถูกโม่เทียนเกอเอาฝ่ามือฟาดลงไป “มีธุระ!”

    เสี่ยวหั่วร้อง “งี๊ด” อย่างไม่พอใจสองคำ เห็นนางไม่หวั่นไหวก็ได้แต่หันกลับไปอย่างเชื่อฟัง พ่นไฟแท้ไท่หยางใส่หุ่นไม้เล็ก ๆ บนพื้น

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วเห็นเสี่ยวหั่วแล้วล้วนตกตะลึงอยู่บ้าง อสูรวิญญาณพบเห็นได้ไม่น้อย แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับก่อเกิดตานที่ข้างกายพกพาอสูรวิญญาณขั้นห้าขึ้นไปกลับเห็นไม่มาก โดยเฉพาะอสูรวิญญาณนี้พอดูก็รู้ว่าไม่ใช่พันธุ์ทั่วไป ถึงกับสามารถพ่นไฟแท้ไท่หยางออกมาตรง ๆ

    ภายใต้ไฟแท้ไท่หยาง หุ่นไม้นี้ยืนหยัดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดเริ่มหลอมละลายช้า ๆ ทั้งสี่คนมองเปลือกนอกที่ไม่มีความแปลกประหลาดเลยหายไปช้า ๆ เผยสิ่งของที่อยู่ข้างในออกมา — กลับเป็นหินผลึกสีดำหนึ่งก้อน มีกลิ่นอายลี้ลับไหลอวล

    “ผลึกมาร!” ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วเห็นวัตถุนี้ก็พากันส่งเสียงออกมา สีหน้าซีดขาว จากนั้นถอดหุ่นไม้ที่แขวนบนร่างตนเองออกมาโยนออกไปเหมือนกับเป็นเชื้อโรคระบาด

    “ผลึกมาร?” โม่เทียนเกอมองพวกเขาสองคน “ทั้งสองท่านรู้จักวัตถุนี้หรือ”

    ฉิวเฉิงรั่วริมฝีปากสั่นเทา พูดไม่ออก ยงหรูอวี้ถึงสีหน้าจะปั้นยาก จะดีจะร้ายก็ยังควบคุมตัวเองได้บ้าง ขณะนี้ตอบอย่างยากลำบากว่า “สิ่งของนี้ พวกเราผู้ฝึกตนของอวิ๋นจงไม่มีใครไม่รู้จัก พูดถึงวัตถุนี้กลับต้องพูดถึงทักษะลับหนึ่งอย่างของผู้ฝึกมารอวิ๋นจง: ทักษะวิญญาณศพ!”

    ชื่อนี้ฟังแล้วเมือนจะไม่ใช่สิ่งของที่ดีอะไร โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ถามว่า “ทักษะนี้สรุปว่าเป็นอย่างไร”

    ยงหรูอวี้สงบสติลงได้บ้างแล้ว จึงได้กล่าวว่า “ทักษะลับนี้ก็เป็นเหมือนชื่อของมัน เป็นทักษะลี้ลับอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนคนเป็น ๆ ให้กลายเป็นศพหลอมเป็นหุ่นเชิด” เขาหยุดชะงัก สูดลมหายใจ ยังไม่ได้สติกลับมาจากความตื่นตระหนก “ทักษะวิญญาณศพไม่เพียงแย่งชิงชีวิตคน แต่ถึงขนาดควบคุมวิญญาณมนุษย์ อำมหิตเป็นอย่างยิ่ง ในหมู่พวกเราผู้ฝึกตนถึงจะพอพูดไม่ตรงกันคำเดียวก็ลงมือต่อสู้เป็นการใหญ่ หรือแม้กระทั่งหยิบฉวยชีวิตคน แต่การหลอมหนุษย์เป็นหุ่นเชิดจนไม่สามารถเกิดใหม่ชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างนี้กลับเป็นสิ่งต้องห้าม ดังนั้น ถึงแม้ว่าทักษะวิญญาณศพก็เป็นทักษะพิสดารชนิดหนึ่ง ผู้ฝึกมารที่รู้แจ้งในเนื้อหากลับไม่มาก ผู้ที่กล้าใช้งานอย่างไม่ยำเกรงยิ่งมีน้อย ไม่ใช่แค่พวกเราผู้ฝึกตนสายสายธรรมะ แม้แต่ผู้ฝึกตนสายมารก็กริ่งเกรงถึงสิบส่วน”

    ฟังเขาพูดมาถึงตรงนี้ เนี่ยอู๋ชางบ่นพึมพำว่า “ที่แท้ เจ้าเมืองเหมยคนนี้ลวงพวกเรามายังที่นี่คือต้องการจะร่ายทักษะวิญญาณศพใส่พวกเราแล้ว?”

    “เป็นเช่นนี้เสียแปดส่วน……” ฉิวเฉิงรั่วเหงื่อเย็นผุดบนหน้าผาก แต่กลับไม่ได้ไปเช็ดมันเลย นางเอ่ยว่า “ผลึกมารนี้เป็นวัตถุสำคัญอย่างหนึ่งของการร่ายทักษะวิญญาณศพ วัตถุนี้จะดูดกลืนพลังชีวิตของผู้คน เปลี่ยนเราให้กลายเป็นตัวประหลาดที่คนก็ไม่ใช่มารก็ไม่ใช่!”

    พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของโม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางล้วนเปลี่ยนไป “อย่างพวกเราที่พกไว้ข้างกายก็จะเกิดผลไหม”

    ยงหรูอวี้พยักหน้า แล้วกลับส่ายหน้า อธิบายว่า “สหายเต๋าทั้งสอง เมื่อครู่พวกท่านล้วนเอาผลึกมารนี้ใส่ไว้ในกระเป๋าเอกภพ อย่างนี้ย่อมไร้ผล แต่ข้ากับซือเม่ย……สิ่งของนี้หลังจากถูกผู้ฝึกตนระดับสูงลงกำแพงอาคมก็จะดูดกลืนพลังชีวิตใกล้ ๆ ข้ากับซือเม่ยพกไว้พักใหญ่แล้ว”

    “เช่นนั้นพวกท่าน……”

    ยงหรูอวี้สีหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว ขบฟันอย่างรวดเร็วคล้ายตกลงใจได้แล้ว “ค้นพบตอนนี้ยังไม่สายไป เพียงเสียแก่นปราณจำนวนหนึ่งเท่านั้น……”

    แก่นปราณ เรียกอีกอย่างได้ว่าปราณแห่งจิตวิญญาณ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว คนประกอบไปด้วยร่างกายและจิตวิญญาณขั้นต้น โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่ใส่ใจวิญญาณ เพราะว่าวิญญาณเป็นสิ่งที่ผูกติดอยู่กับคน เกิดมาก็มีแล้ว จนกระทั่งตายจึงหายไป ไม่ว่าปุถุชนหรือว่าผู้ฝึกตนล้วนเป็นเช่นกัน อีกทั้ง วิญญาณไม่เหมือนจิตวิญญาณขั้นต้น มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อทั้งการฝึกตนและต่อสู้ของพวกเขา เจ้าสิ่งที่เรียกว่าแก่นปราณนี้ก็คือพลังงานของวิญญาณ หากสูญเสียแก่นปราณ วิญญาณก็จะนิ่งงันไปช้า ๆ สูญเสียพลังชีวิต สุดท้ายตายลงไป แต่ว่า ฟังจากการพูดของยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่ว บนผลึกมารนี้น่าจะยังติดทักษะลี้ลับอะไรเอาไว้ จึงทำให้คนที่ถูกดูดกลืนแก่นปราณตกลงสู่สภาวะไม่เป็นไม่ตายชนิดหนึ่ง

    โม่เทียนเกอมองผลึกมารบนพื้น แล้วมองดูหุ่นไม้อีกสามตัว หุ่มไม้นี้สลักได้ปราณีตยิ่งนัก ทุกอากัปกิริยามีชีวิตชีวาประดุจมีชีวิต เพียงแต่ขณะนี้สภาพจิตใจไม่เหมือนเดิม ดูแล้วยิ่งรู้สึกว่าหน้าตาชั่วร้ายเหมือนกำลังยิ้มเยาะ

    นางคิดแล้วถามว่า “ในเมื่อพวกเราค้นพบแล้ว ต้องทำลายอย่างไร”

    ยงหรูอวี้ยังคงสีหน้าซีดขาว เอ่ยอย่างอึ้งงันว่า “ไม่รู้ ทักษะลับนี้พวกเราเพียงรู้ผิวเผินเท่านั้น ในอวิ๋นจงไม่เคยได้ยินว่ามีใครร่ายทักษะวิญญาณศพมาตั้งนานแล้ว”

    “เผาดูเถอะ” เนี่ยอู๋ชางที่สังเกตการณ์มาตลอดเอ่ยขึ้น “ขอเพียงเป็นทักษะของสายมาร พอเจอกับทักษะเวทสายอัคคีล้วนจะอ่อนกำลังลง”

    โม่เทียนเกอพยักหน้า ความเชี่ยวชาญที่เนี่ยอู๋ชางมีต่อทักษะของสายมารเป็นสิ่งที่นางเทียบไม่ได้ ในเมื่อนางพูดว่าสามารถลองดูก็ลองดูเถิด

    สั่งเสี่ยวหั่วให้เผาหุ่นไม้เล็ก ๆ สามตัวนั้นต่อ อย่างรวดเร็ว หุ่นไม้สามตัวกลายเป็นผลึกมารสามชิ้น วางอยู่บนพื้นเงียบ ๆ

    ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว โม่เทียนเกอลูบหัวของเสี่ยวหั่ว ให้รางวัลมันเป็นโอสถหนึ่งเม็ด ถามเนี่ยอู๋ชางต่อว่า “ตอนนี้เล่า”

    เนี่ยอู๋ชางไม่ได้ตอบทันที ทว่ามองไปทางยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่ว “สหายเต๋าทั้งสอง ผลึกมารนี้พวกท่านต้องการไหม”

    เพิ่งจะพูดออกมา ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วก็ส่ายหน้าทันที พวกเขาเพิ่งจะประสบความสูญเสีย แล้วยังรู้จักวัตถุนี้น้อยยิ่ง ไม่กล้าเสี่ยง

    เนี่ยอู๋ชางคิดดูแล้วล้วงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนออกจากในอกเสื้อ ใช้มือที่สวมถุงมือหยิบผลึกมารทั้งสี่ชิ้นใส่ห่อผ้าเช็ดหน้า ยัดเข้ากระเป๋าเอกภพ

    “……สหายเต๋าเทียนฉาน?” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ

    เนี่ยอู๋ชางเอ่ยว่า “หากหนีรอด ข้าจะศึกษาดู”

    “อ้อ……” โม่เทียนเกอไม่พูดมากอีก เนี่ยอู๋ชางมีความสัมพันธ์กับสายมารไม่เบา ไม่แน่ว่าวัตถุนี้อาจจะช่วยเหลืออะไรนางได้

    “สหายเต๋าทั้งสอง!” ยงหรูอวี้มองพวกนาง ขมวดคิ้ว “ในเมื่อรู้ว่าพวกเราตกลงไปในกับดัก เหตุใดสหายเต๋าทั้งสองไม่ร้อนรนสักนิดเลย” ถึงกับยังมีแก่ใจเก็บรวบรวมผลึกมารอยู่ที่นี่!

    สายตาโม่เทียนเกอหันเหไปบนตัวเขา ยิ้มขึ้นมา “รีบแล้วมีประโยชน์อะไร พวกเรายังคลำไม่ออกเลยว่าหลุมพรางนี้เป็นอย่างไร รีบไปก็ได้แต่ก่อกวนตนเองให้ปั่นป่วนเท่านั้น”

    “อืม” เนี่ยอู๋ชางพยักหน้า เอ่ยเสียงหนักอึ้งว่า “คู่มือของพวกเราเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่คนหนึ่ง จุดนี้ไม่ต้องกังขา อีกทั้งพวกเรายังตกอยู่ในหลุมพรางของอีกฝ่ายแล้ว เป็นฝ่ายถูกกระทำ ข้อได้เปรียบเดียวของพวกเราในตอนนี้คืออีกฝ่ายอาจจะยังไม่รู้ว่าพวกเราค้นพบหลุมพรางอันนี้แล้ว หากสามารถหาแผนการของพวกเขาออกมาได้ทันเวลาก็อาจจะยังสามารถหนีเอาชีวิตรอด”

    ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วล้วนอดพยักหน้ามิได้ พวกพ้องสองคนที่ข้างกายล้วนสงบนิ่งมาก พาให้พวกเขาค่อย ๆ สงบใจลงไปด้วย

    “เช่นนั้นถามที่สหายเต๋าทั้งสองพูดมา ตอนนี้พวกเราควรจะทำอย่างไร”

    โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางสบตากันแล้วเบนสายตาไปทางพวกเขาสองคน โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “นี่กลับต้องถามพวกท่านแล้ว พวกท่านเป็นผู้ฝึกตนอวิ๋นจง แล้วยังเป็นศิษย์สำนักใหญ่ ความรอบรู้จะต้องไม่น้อย พวกท่านคิดดูให้ละเอียดว่าสถานการณ์นี้ตอบโต้ได้หรือไม่”

………………..

อยากจะร้องมากเลย แก่นปราณ (精气) พลังชีวิต (活力) ฯลฯ ตัวจีนต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่แปลแล้วได้เป็น “พลังชีวิต” เหมือนกันหมด ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไงกันแน่ วิญญาณก็มีวิญญาณแบบใน พลัง “วิญญาณ (灵)” แล้วก็วิญญาณ (魂魄) แล้วก็มี จิตวิญญาณ (灵魂) จิตวิญญาณขั้นต้น (元神) มันต่างกันยังไงเนี่ย……..

 

 

ตอนที่ 405 – ยืนยันและปฏิเสธ