ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 90 บุปผาบานบุปผาโรยรา โลกมนุษย์สามเดือน

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 90 บุปผาบานบุปผาโรยรา โลกมนุษย์สามเดือน

ในช่วงเวลาที่หนิงอี้ฝึกบำเพ็ญอย่างสงบในจวน เด็กสาวอยู่ข้างกายตลอด

เส้นทางการบำเพ็ญ มีเครียดและผ่อนคลาย

หนิงอี้แม่นยำในตำแหน่งของตนมาก เขาไม่ใช่อัจฉริยะการตระหนักรู้ที่ปิดประตูไม่ออกมาแบบโจวโหยว และไม่ใช่คนกวนบาทาไม่วิวาทจะคันมืออย่างสวีจั้ง

ศึกความเป็นตาย ศึกของคนเดนตาย หนิงอี้มีความทรหดที่พอกับสวีจั้งในตอนนั้น เขาจะไม่ให้เกิดความผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญเด็ดขาด ยามที่หายนะระหว่างความเป็นตายมาเยือน อย่างเช่นทหารเงามืดปิดล้อมที่ทุ่งหญ้าราชาราชสีห์ อย่างเช่นศึกแห่งปราณกระบี่ในจวนภูเขาคราม เส้นสายนั้นในกายก็ตึงเปรี๊ยะ หนึ่งหาวหนึ่งหลี แม่นยำไม่มีผิดพลาด จะไม่พลาดเด็ดขาด

ความจริงนี่เป็นพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด

แต่หลังจากศึกใหญ่จบลง เส้นนั้นในกายเขา ตึงเกินไปก็ต้องผ่อนคลายลง จุดนี้ หนิงอี้สู้สวีจั้งไม่ได้

ไม่มีใครเป็นเหมือนสวีจั้งได้ อยู่ในสภาวะตึงเครียดระดับสูงทุกคืนวันและยังจับกระบี่เหล็กพูดคุมยิ้มแย้มได้ ก้าวไปสู่ยุทธภพ เดินทางทีหนึ่งคือสิบปี

หลังบรรลุขอบเขตที่หก หนิงอี้เสริมความมั่นคงให้พลังบำเพ็ญขอบเขตแสงดาราของตนไม่หยุด เขารู้ว่าระหว่างขอบเขตกลางกับขอบเขตหลังต่างกันอย่างยิ่ง ราวกับร่องน้ำธรรมชาติ หากไม่มีโชควาสนายิ่งใหญ่ เกรงว่าเขาคงก้าวสู่พลังบำเพ็ญแสงดาราขอบเขตที่เจ็ดในเวลาอันสั้นได้ยากมาก

ใต้ดินจวนภูเขาครามยังมีสมบัติฟ้าดินอีกเป็นกอง ใช่ว่าหนิงอี้ไม่เคยคิด เพียงแต่ตอนนี้…ตนยังไม่ทะลวงพลัง อีกทั้งสามสำนักศึกษาอย่างจวนขานฟ้าถูกลงโทษอย่างหนัก ตอนที่ซูมู่เจอดำเนินการตัดสิน น่าจะจำหน่ายสมบัติในสุสานสำนักศึกษาออกไปแล้ว การปล้นสุสานโบราณเป็นเรื่องที่ไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง…หากไม่ใช่เพราะบุญคุณความแค้นถึงระดับฝังรากลึกมาก หนิงอี้จะไม่ทำเรื่องนี้เด็ดขาด

ดีที่แดนประจิมยังมีเขาอนันต์เล็ก หนิงอี้จำได้ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์นั่นมีบุญคุณความแค้นกับตนถึงขั้นไม่อาจแก้ไขได้ หากถึงช่วงที่ตนทะลวงพลัง ต้องการทรัพยากรจริงๆ ก็จะไปแดนประจิมสักครั้ง

การฝึกปราณกระบี่ของหนิงอี้ก้าวสู่โลกใหม่อย่างแท้จริง

ปราณกระบี่ขอบเขตที่หนึ่ง กำลังรบเทียบเท่าแสงดาราขอบเขตที่เจ็ด ถ้าอาศัยปราณกระบี่ที่กำเนิดในปอดนี้ หนิงอี้จะยกระดับกำลังรบไปถึงขั้นสู้กับผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังได้ นักกระบี่ฝึกฝน ต้องอาศัยโชคชะตาและการตระหนักรู้ หากตระหนักรู้ได้ เช่นนั้นการฝึกวิถีกระบี่จะเหมือนยกน้ำชาดื่มน้ำ พลังบำเพ็ญสูงขึ้นเร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ปราณกระบี่ขอบเขตที่สามไปแล้วจะเท่ากับขอบเขตที่เก้าของผู้บำเพ็ญแสงดารา มีคนก้าวสู่การฝึกกระบี่แล้วเคยหนึ่งวันข้ามสามขอบเขต เป็นปลากระโดดข้ามประตูมังกร คนที่มีพรสวรรค์วิถีกระบี่สูง ตระหนักรู้เช้าก็เอาชนะทุกคนในผู้บำเพ็ญแสงดาราขอบเขตที่สิบได้ แทบจะไร้พ่ายในใต้หล้า ประเภทนี้น่าจะเป็นอัจฉริยะแข็งแกร่งที่ตระหนักรู้ปราณกระบี่ถึงขอบเขตที่หก

หนิงอี้ไม่ฝืน ปราณกระบี่ถึงเวลาก็ย่อมสำเร็จเอง

คัมภีร์กระบี่ของเผยหมิน คัมภีร์พลิกกลับของเจ้าหรุย เขาท่องจำได้จนขึ้นใจ คำพูดพวกนั้นที่เคียงกระบี่เอ่ยบนยอดภูเขาคราม ตอนนี้ดูแล้วยังงุนงง หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่งหรือกระบี่ซ่อน นี่เป็นคำถามที่ต้องเลือก

บนฟ้าทะเลสาบจิตของหนิงอี้ รูปปั้นหินหนุ่มที่มีรอยยิ้มอบอุ่นนั่งขัดสมาธิอยู่ ใต้รูปปั้นหินเคียงกระบี่กดกระบี่ยาวสามเล่ม ตอนนั้นยอดผู้บำเพ็ญสามท่านที่มีพลังบำเพ็ญนิพพานเคยใช้ ‘หนวดมังกร อักษรเต๋าและรุ้งขาว’ สังหารปีศาจสุดยอดของโลกเผ่าปีศาจ ตอนนี้กระบี่ล้ำค่าสามเล่มนี้ลอยอยู่เหนือทะเลสาบจิตของหนิงอี้

เคียงกระบี่เคยบอกว่า

หากหา ‘หนึ่ง’ ของทุกสรรพสิ่งพบ หนึ่งของภูเขาคราม หนึ่งของเม็ดข้าว คือใหญ่เหมือนกัน

นี่ก็คือหลักการเดิมของ ‘หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง’ หากจะเดินวิถีนี้ เช่นนั้นหนิงอี้แค่มีกระบี่เล่มเดียวก็พอแล้ว ในสุสานสำนักศึกษา ในแดนเทวาใหญ่ของเคียงกระบี่ถ้ำกวางขาว เขาชิงกระบี่ของศัตรูทั้งหมด วางไว้ในห้องลับ พันปีร้อยปีผ่านไป กระบี่โบราณอมฝุ่น กระบี่พวกนี้ถูกเขาทิ้งไว้เหมือนรองเท้า บางชิ้นมีระดับสูง แต่เคียงกระบี่ก็ไม่สนใจ

เพราะเหตุใด

เพราะเขาต้องการแค่กระบี่เดียว

กงล้อกระบี่ยาวสิบสองเล่มนั้นกลายเป็นด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ที่แท้จริงไร้รูป

นี่คือขอบเขตปราณกระบี่ที่ตอนนี้หนิงอี้ยังตระหนักรู้ไม่ถึง เหนือว่าขอบเขตที่หก หากขอบเขตที่เจ็ดสอดคล้องกับดาราชะตา หนึ่งขอบเขตดาวหนึ่งดวง เช่นนั้นวิถีกระบี่ขอบเขตที่สิบก็สอดคล้องกับราชันดารา นักกระบี่โบราณของจวนขานฟ้า พวกเฉาผีเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบเอ็ดสิบสองได้ เช่นนั้นพลังบำเพ็ญวิถีกระบี่ของเคียงกระบี่ต้องสูงกว่าพวกเขาขอบเขตใหญ่

พวกนี้เป็นเพียงการคาดเดาของหนิงอี้ เขายังไม่บรรลุถึงความสูงนั้น ได้แต่ใช้จินตนาการร่างโลกของ ‘นักกระบี่’ ขึ้นมาคร่าวๆ น่าจะเป็นแบบใด

ส่วนวิถีแบบ ‘กระบี่ซ่อน’ เคียงกระบี่แสดงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งให้หนิงอี้เห็น เขาใช้ ‘คุมกระบี่ดรรชนีสังหาร’ ควบคุมสามกระบี่สู้กับบุตรสู่ฟ้าบรรพจารย์ชราขอบเขตนิพพานในระยะห่างหลายสิบจั้ง สู้จนอีกฝ่ายคับอกคับใจอย่างยิ่ง พลิกตัวไม่ได้ ไม่มีกำลังโต้กลับเลย

หากท่านเผยหมินสำแดงเองล่ะ

หนิงอี้นึกไปถึงใน ‘กระบี่ซ่อน’ ของเด็กสาวเงียบๆ กระบี่ที่เผยหมินสะสมมาหลายปีพวกนั้นมีเป็นพันเล่ม ระดับต่างกัน ในนั้นยังมีกระบี่ตารางหนา ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ และยังมีกระบี่ยาวที่แปะยันต์วิชาลับโบราณเต็มไปหมด และยังมีกระบี่ไม้เก่าแก่และเรียบง่ายที่มีการแกะสลักอักขระภายใน กระบี่หยกที่ปลายกระบี่กับด้ามกระบี่แยกกันใช้หยกสร้างขึ้น กระบี่สับม้าที่หนักและทื่อ หอกที่มีกลิ่นอายเย็นยะเยือก กระบี่ในแขนเสื้อที่กลางด้ามกระบี่มีสามร้อยหกสิบด้ามรวมเป็นหนึ่งเดียว…

กระบี่พวกนี้แทบจะมีอยู่ทั่วในสี่แดนเหนือใต้ออกตกของใต้ฟ้าต้าสุยตลอดพันปีมานี้ ปราชญ์กระบี่เผยหมินในตอนนั้น ท่องไปทั่วหล้า เตรียม ‘คลังสมบัติวิถีกระบี่’ ที่ล้ำค่าที่สุดในโลกให้กับบุตรสาวของตน

หากในจวนภูเขาครามคืนนั้น เปลี่ยนเป็นเผยหมินออกมือ

กระบี่หลายพันเล่มจะฟันบุตรสู่ฟ้ากลายเป็นฟองเลือดในพริบตา พายุพัดผ่านก็หายไป แม้แต่โอกาสรวมแสงดารายังไม่มี

ตอนนี้ เด็กสาวที่สืบทอดสมบัติจากเผยหมิน ต้องปล่อยกระบี่ออกมาส่วนหนึ่งทุกวัน ลอยในลานบ้านจวน ปล่อยให้พวกมันกระโดดโลดเต้นอย่างอิสระ ขอแค่ไม่ทำของในลานบ้านเสียหายก็พอ

ยุ่งยากยิ่งนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

หากไม่ทำเช่นนี้ กระบี่ที่กำเนิดสติปัญญาพวกนี้ หากมีเจ้านายแล้วก็ยังอมฝุ่น ก็จะทำให้เกิดความคับแค้นใจ ร้องโหยหวนในกระบี่ซ่อน

สิ่งนี้คือการ ‘เลี้ยงกระบี่’

เลี้ยงกระบี่เล่มเดียวง่าย แต่เลี้ยงพันเล่มยาก

เรื่องนี้ทำให้หนิงอี้ตกใจ…เส้นทางของกระบี่ซ่อน เดินไปเห็นทีจะต้องมีกำลังทรัพย์อย่างมาก ยามสังหารก็ต้องมีแสงดารากับเจตจำนงกระบี่มหาศาลสั่งสมไว้เตรียมรับมือภายหลัง แต่หากทุกอย่างครบ ใช้ได้อย่างเต็มที่ เช่นนี้ใครจะต่อต้านได้ ต่อให้ข้ามพลังบำเพ็ญสู้ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย

…….

เมื่อก้าวสู่วิถีกระบี่ขอบเขตที่หนึ่ง แม้เส้นทางจากนี้จะยังอีกยาวไกล แต่ก็ต้องเลือกก่อน

จะเป็น ‘หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง’ หรือ ‘กระบี่ซ่อน’

หนิงอี้ติดขัดในปัญหานี้เล็กน้อย เขาจึงพาเด็กสาวไปเยือนสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ขอคำชี้แนะจากสุ่ยเยวี่ยเกี่ยวกับปัญหาการฝึกวิถีกระบี่

สุ่ยเยวี่ยออกความเห็นเล็กน้อย ความจริงสองเส้นทางนี้ ก่อนขอบเขตที่หกไม่ได้มีความขัดแย้งมากเท่าไร เพราะ ‘กระบี่ซ่อน’ ที่ท่านเคียงกระบี่พูดถึง คือการคุมกระบี่บินหลายพันเล่ม นี่เป็นวิถีกระบี่ขอบเขตที่สิบแล้ว ส่วน ‘หนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง’ ถึงขั้นผ่าภูเขาครามได้ เกินจริงยิ่งกว่านั้นอีก สองสิ่งนี้คือทิศทางสุดขั้วที่อยู่สูงสุดหลังจากฝึกวิถีกระบี่ถึงช่วงสุดท้าย ก่อนขอบเขตที่หก ไม่ว่าจะกระบี่ซ่อนหรือหนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง ล้วนไม่มีอานุภาพอะไรมากนัก

หนึ่งแสวงหาจำนวน อีกหนึ่งแสวงหาคุณภาพ

หนิงอี้ครุ่นคิด

กระบี่ซ่อนเคียงกระบี่พวกนั้นที่ปล่อยมาในจวนภูเขาคราม สุดท้ายแต่ละเล่มถูกสำนักศึกษาเก็บกลับมา เพื่อเป็นการขอบคุณ สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจึงจะมอบให้หนิงอี้ส่วนหนึ่ง ให้หนิงอี้เลือก

แต่หนิงอี้ปฏิเสธเจตนาดีของพวกนางอย่างสุภาพ เขาไม่รับของขวัญนี้ ไม่ใช่ว่าดูถูก แต่กระบี่พวกนี้ ในสายตาศิษย์สำนักศึกษามีระดับที่ใช้ได้เลย แต่ความจริงไม่อาจเทียบกับพินิจเหมันต์ได้

ในทะเลสาบจิตของหนิงอี้ ยังมีอาวุธสังหารสำนักศึกษาที่ไม่แพ้ให้กับพินิจเหมันต์อีกสามเล่ม

เขาอยากลองเดินสองเส้นทางไปพร้อมกัน

ในเมื่อก่อนขอบเขตที่หกไม่มีผล เช่นนั้นอย่างมากก็แค่เหนื่อยขึ้นอีกหน่อย

เคียงกระบี่บอกว่า…วิถีกระบี่คือเส้นทางที่สุดท้ายจะมาบรรจบกัน

หนิงอี้ไม่อยากทิ้งคุมกระบี่ดรรชนีสังหารของกระบี่ซ่อน และไม่อยากทิ้งท่วงทำนองทำลายล้างของหนึ่งกระบี่ทุกสรรพสิ่ง ตอนนี้เขาอยู่เพียงขอบเขตที่หนึ่ง คุมกระบี่ก็คุมได้แค่เล่มเดียว ตนเดินทั้งสองเส้นทาง เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรตกหล่นจากการเลือก รอจนพลังบำเพ็ญวิถีกระบี่สูงอีกหน่อย บางทีความต่างด้านพรสวรรค์ก็อาจจะช่วยหนิงอี้เลือกได้

……..

เวลาผ่านไปทีละวัน

เงียบสงบดุจสายน้ำ ไม่เกิดคลื่น

หนิงอี้พาเด็กสาวขี่กระบี่บิน ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว ต้นใบไม้ผลิมาเยือน ถนนใหญ่ตรอกเล็กของโลกมนุษย์ ดอกไม้ไฟเสียงมีความสุข คึกคักมาก คนโตกับคนเล็ก บุรุษแบกกระบี่ยาวข้างหลัง ภายในฝักขึ้นสนิมเก่าและเรียบง่าย ซ่อน ‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ คำนี้ ตัวเหยียดตรง สตรีถือร่มกระดาษมัน ในนั้นซ่อนตัวกระบี่สีขาวหิมะละเอียดดุจหิมะ รอยยิ้มพัดผ่าน ใจคนก็ดึงตึง

เซียนกระบี่เยาว์วัยในโลกอนาคตสองคนเผ่านความลำบากมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็มีโอกาสได้เอ้อระเหย ได้เดินไปพร้อมกัน เสพความเจริญของใต้ฟ้าต้าสุย เดินผ่านตรอกดินหินครามที่ห่างไกลผู้คน ถนนใหญ่ที่ผู้คนสัญจรคับคั่ง เจ้าของร้านอัธยาศัยดีที่ขายซาลาเปาร้อนๆ คนชราที่วาดมนุษย์น้ำตาล หญิงที่แบกขนมถังหูลู่

ฟังงิ้วเกาะเวทีร้องเพลง ร้องเพลงสุขทุกข์ลาจากและพบกัน บอกความผิดปกติในโลกมนุษย์

ดูผู้คงแก่เรียนศึกษาอย่างยากลำบาก ปลาหลีฮื้อโดดข้ามประตูมังกร โดดเข้าไปในตระกูลจักรพรรดิ

เคยเห็นความอยุติธรรมจึงเข้าช่วย เคยให้ทานครึ่งตำลึงเงินข้างทาง

ในชีวิตคนตรงหน้า หนิงอี้มีเพียงฤดูหนาว ไม่มีใบไม้ผลิ

ในอารามโพธิ์เทือกเขาประจิม ทุกวันมีแต่อากาศหนาวจัด

ตอนนี้ไม่เหมือนกัน

บุปผาบานบุปผาโรยรา โลกมนุษย์สามเดือน

หนิงอี้ถือพินิจเหมันต์ และยังจับมือเด็กสาว

บุปผาบานบุปผาร่วงโรยในโลก เวลาผ่านไปนานมาก แต่คำสัญญาในเยาว์วัยยังอยู่

นับจากนี้

หนิงอี้จะคว้ากระบี่ทุกเล่มที่ควรคว้า

และจะไม่ปล่อยมือที่ไม่ควรปล่อยเด็ดขาด