บทที่ 147 ถนนวั่งหยวน

บทที่ 147 ถนนวั่งหยวน

หลังพักผ่อนไปได้ชั่วระยะหนึ่ง ทั้งคณะจึงออกเดินทางต่อ

“หัวหน้า เมื่อครู่นี้ให้ยาอะไรมากัน ได้ผลชะงักเลยทีเดียว” หนิวเอ้อเข้าประชิดอู๋ฝานพลางกระซิบถาม ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยิน

“ก็แค่ยารักษา” อู๋ฝานตอบกลับ “เป็นยังไงบ้าง บาดแผลของสองคนนั้นดีขึ้นไหม?”

“ดีขึ้นมาก สรรพคุณยายอดเยี่ยมขอรับ” หนิวเอ้อตอบรับ “หัวหน้าเก่งกาจเกินไปแล้ว ติดตามหัวหน้า มีแต่เจริญรุ่งเรือง”

“ไม่ต้องชมแล้ว” อู๋ฝานหัวเราะตอบ

“ไม่ได้ชมเลยขอรับ เป็นความจริงทั้งสิ้น” หนิวเอ้อเผยสีหน้าจริงจัง “ท่านเลี้ยงอาหารพวกเราก่อนเดินทาง จัดเตรียมอาวุธให้ ขณะนี้ยังมียารักษาวิเศษ ติดตามหัวหน้าปลอดภัยยิ่งกว่าติดตามคนอื่นเสียอีก หัวหน้า ถ้าภายหน้าได้เป็นขุนพลเมื่อไหร่ ข้าขอเป็นทหารส่วนตัว คอยติดตามรับใช้ท่านไปจนชั่วชีวิตที่เหลือเลยขอรับ”

“ทหารส่วนตัว?” อู๋ฝานได้ยินคำที่คุ้นเคยอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าไม่อยากประสบความสำเร็จเป็นคนใหญ่คนโตแล้วหรืออย่างไร?”

“นั่นข้าก็เพียงพูดไปเรื่อยเปื่อย” หนิวเอ้อกระดากอายตอบรับ “โอกาสนั้นเป็นของคนเช่นหัวหน้า มีหรือจะตกเป็นของคนเช่นพวกเรา?”

“อย่าได้เสียกำลังใจ” อู๋ฝานตอบกลับ “บางทีภายหน้าเจ้าอาจจะทำได้ดียิ่งกว่าที่เคย การเป็นทหารส่วนตัวของใครสักคน คือการละทิ้งโอกาสเหล่านั้น นอกจากนี้ ตัวข้าในตอนนี้ก็แค่ทหารต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติจะรับทหารส่วนตัวอะไรนั่น”

“หัวหน้าต้องได้เป็นขุนพลอย่างแน่นอนขอรับ” หนิวเอ้อยืนยันอย่างมั่นใจ “หรือคิดอยากเป็นคนใหญ่คนโตก็ย่อมได้เช่นกันขอรับ”

เป็นคนใหญ่คนโต?

มันไม่ใช่เส้นทางฝันของอู๋ฝานแม้แต่น้อย เขาเพียงต้องการหาเงินให้มากขึ้น เป็นคนที่ร่ำรวยจึงจะถูกต้อง

เพราะมีผู้ได้รับบาดเจ็บ ความเร็วในการเดินทางของคณะลำเลียงขนส่งเสบียงจึงเชื่องช้าลง อวี่เฟยที่ไม่ได้เร่งรีบแต่แรก ตอนนี้เกิดรู้สึกว่าความเร็วปัจจุบันอาจไปไม่ทันกำหนด ดังนั้นจึงสั่งการให้ทั้งคณะเร่งรีบเดินทาง เพิ่มความเร็วให้มากขึ้น จึงเป็นเหตุให้ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหลายต่างรู้สึกไม่พอใจกันขึ้นมา

เพียงผ่านไปแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น หลายคนในค่ายวิหคก็เริ่มบ่นสบถต่ออวี่เฟย

ในช่วงเช้า หลังจากอู๋ฝานได้กลับมาโลกความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มออกกำลังกายเสร็จสิ้น แทนที่จะกลับบ้าน เขากลับเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังถนนวั่งหยวน

ถนนวั่งหยวนอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของใครหลายคน อู๋ฝานยังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าในเจียงโจวมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย แต่มันกลับเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงวัตถุโบราณของเจียงโจว เพราะทั้งถนนสายนี้ มีร้านรวงมากมายที่ขายของเก่าและโบราณ เขาได้ทราบว่ามีสถานที่เช่นนี้ในเจียงโจว ก็จากปากคำของหวังจื่อหมิง

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มยังกังวลเรื่องเงินสำหรับใช้ซื้อร้าน จึงต้องคิดหาทางทำเงินให้ได้โดยเร็วที่สุดขึ้นมา

โลกแห่งเกมในปัจจุบันไม่อาจช่วยเขาหาเงินได้เป็นการชั่วคราว ดังนั้นก็มีแต่จะต้องหาจากโลกความเป็นจริงเท่านั้น

เพียงแต่ในโลกความเป็นจริง อู๋ฝานไม่ได้มีหนทางทำเงินมากมายนัก แต่ภายหลังได้เข้าร่วมงานประมูลกับหวังจื่อหมิงเมื่อวันก่อน เขาจึงเกิดความคิดถึงหนทางการทำเงินขึ้นมาได้

ในเมื่อสามารถใช้วิชาตรวจสอบสืบหาความลับที่ซุกซ่อนโลกอีกใบในวัตถุไร้ค่าได้มาครั้งหนึ่งแล้ว สถานการณ์เช่นเดียวกันนั้นมีหรือจะไม่เกิดซ้ำขึ้นอีกครั้ง?

แม้ว่า มันอาจเกิดขึ้นได้ยากไปบ้างก็ตาม

แต่แล้วอย่างไร?

อู๋ฝานถือคติไม่ลองไม่รู้ มุ่งหน้าสู่ถนนวั่งหยวน อันเป็นถนนค้าขายโบราณวัตถุชื่อเสียงโด่งดังในเจียงโจว

ถนนวั่งหยวนค่อนข้างคึกคัก สองฟากฝั่งของถนน ประกอบด้วยร้านรวงและแผงลอยมากมายตามทาง แผงลอยเหล่านั้นจะมีวัตถุหลากหลายวางเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแจกันจีนโบราณ เหรียญทองแดง ภาพวาด ภาพคัดลายมือ หินหมึก และของอื่นอีกหลากหลาย บางอย่างกระทั่งนำมาพร้อมดินสดใหม่ ราวกับเป็นการพิสูจน์ว่าเพิ่งขุดค้นพบ

พ่อค้าแม่ค้าของร้านแผงลอยเหล่านี้ บางส่วนก็นั่งอย่างเงียบสงบด้วยท่าทีภูมิอกภูมิใจ ราวกับมั่นใจในสินค้าของตนว่าหากคิดจะขายมันออกก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก ขณะที่บางร้านก็กระตือรือร้นนำเสนอสินค้าของตนแก่ผู้สัญจร ตลาดแห่งนี้มีการค้าขายที่แทบจะไม่ต่างอะไรกับตลาดทั่วไป

ทั้งสองฟากฝั่งของถนน ยังมีหน้าร้านอยู่อีกมากมาย และร้านเหล่านี้คือร้านขายวัตถุโบราณ การจะสามารถเปิดหน้าร้านในบริเวณนี้ได้หมายความว่าต้องแข็งแกร่งพอสมควร

อู๋ฝานที่เพิ่งมาถึงสถานที่นี้เป็นครั้งแรกค่อนข้างมีความสงสัยอยู่พอสมควร

เพียงแต่ อู๋ฝานจำคำเตือนของหวังจื่อหมิงได้ดี กล่าวว่าแม้เป็นของที่ดูทั่วไปตามร้านแผงลอย บางทีก็มีของโบราณล้ำค่า ทว่าส่วนใหญ่เป็นของปลอม ของจริงมีน้อย เพียงแต่ก็มีบางคนที่รักชอบการกล้าได้กล้าเสียเสี่ยงทดลอง หากต้องการซื้อโบราณวัตถุของจริง ทางที่ดีที่สุดคือการใช้บริการหน้าร้านที่อยู่สองฟากของถนน ที่แม้จะดูเป็นทางการชวนราคาแพงไปบ้าง ทว่าส่วนใหญ่เป็นของแท้

โดยสรุปแล้วนั้น มันคือการทดสอบตาดีได้ตาร้ายเสีย ที่ต้องพึ่งพาโชคระดับหนึ่งเลยทีเดียว

และอู๋ฝานมาที่นี่วันนี้ ก็เพื่อ ‘ตาดีได้’ เท่านั้น!

เขาเริ่มใช้วิชาตรวจสอบกับโบราณวัตถุทั้งหลายตามร้านแผงลอย ผลลัพธ์ที่ได้จากการสำรวจราวเจ็ดร้านต่อเนื่องพบว่าทั้งหมดที่จัดแสดงเป็นของปลอม เพียงแค่มีการปลอมแปลงที่เหมือนจริงมากเท่านั้น แต่ไม่มีของแท้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว

“ก็นะ มันต้องไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ

โบราณวัตถุเหล่านี้ชัดเจนว่าเป็นของปลอม แต่จากปากคำของผู้ขาย พวกเขากล่าวว่าเป็นสมบัติล้ำค่าสืบทอดต่อกันมาอย่างนั้นอย่างนี้ ราคาขายก็ใช้ระบบการเสนอราคาเอาไว้ อู๋ฝานถึงกับต้องส่ายศีรษะ หากว่ามีใครเชื่อคำที่พวกเขาพูด ก็คงเป็นหน้าโง่แจกเงินแล้ว

แม้ว่าผิดหวังไปบ้าง ทว่าก็ถือว่าพอยอมรับได้ อย่างไรมาที่นี่ในครั้งนี้ในใจก็เพื่อทดสอบแต่แรกอยู่แล้ว ต่อให้ไม่พบเจอของล้ำค่าอะไรเข้า ก็ไม่มีประเด็นให้ต้องผิดหวังแต่อย่างใด

ตอนที่อู๋ฝานย้ายไปร้านแผงลอยอีกร้านหนึ่ง ในที่สุดก็ได้พบของจริงที่น่าสนใจ มันเป็นพัดพับจากราชวงศ์หมิง

ชายหนุ่มเกิดสนใจจึงนั่งยองลงเพื่อดู ทั้งหยิบพัดพับขึ้นมาทดลองคลี่กาง

ไม่ห่างจากอู๋ฝาน ยังมีชายชราอีกคนหนึ่งที่มารับชมสินค้าของร้านแผงลอยแห่งนี้ เพียงแต่สิ่งที่เขากำลังรับชมคือจานเครื่องเคลือบใบหนึ่ง

“สหายน้อย ชอบพัดด้ามนี้งั้นหรือ? มีสายตาที่ดีนะ ของนี้มาจากราชวงศ์หมิง เป็นพัดพกพาประจำตัวของหลี่เฟิงฮวาและหลี่ไฉจื่อ” เถ้าแก่ร้านพบเห็นอู๋ฝานตรวจสอบพัดจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าชอบก็ซื้อหาได้ที่ราคาหกแสน”

ราคาหกแสน!

อู๋ฝานถึงขั้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เป็นเหมือนที่คาดคิดเอาไว้ วงการของโบราณมักมีราคาสูง และพัดพับด้ามน้อยนี้มีมูลค่ามากถึงหกแสน!

อู๋ฝานที่ยินดีตอนได้พบเจอของจริงเข้า พลันต้องหมองหม่นลงในชั่วพริบตา

แม้ว่าได้เจอของแท้เข้าแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่ร้านเองก็ทราบแก่ใจดี จึงเปิดราคามาไม่ใช่ต่ำเตี้ย กล่าวคือคนทำการค้าย่อมไม่พลาดโอกาสทำกำไร

“ผมแค่มาดูน่ะครับ” อู๋ฝานวางพัดพับลงพลางตอบรับ

ได้ยินคำของอู๋ฝาน ท่าทีกระตือรือร้นของเถ้าแก่จึงกลายเป็นเย็นชืด “ดูก็แค่ดู ไม่ใช่มาจับส่งเดช หากว่าเสียหายไปจะจ่ายไหวงั้นหรือ ทั้งหมดนี่เป็นของโบราณทั้งสิ้น ถ้าไม่มีเงิน ก็อย่ามาเล่นของโบราณของคนอื่นส่งเดช”

“เถ้าแก่ พูดแบบนั้นก็เกินไป ต่อให้ไม่ซื้อ แต่การตรวจสอบดูหรือจับก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก อีกทั้งสหายน้อยคนนี้ก็กระทำอย่างระมัดระวังแล้ว” ชายชราอีกคนหนึ่งที่นั่งยองตรวจสอบของโบราณหน้าร้านพูดขึ้น

“ใช่ ใช่” เถ้าแก่ไม่ปฏิเสธคำของชายชรา เพราะตนได้เห็นว่าชายคนนั้นเป็นบุคคลที่มีศักยภาพในการซื้อและต่อนี้ก็สนใจจานเครื่องเคลือบ อีกฝ่ายคิดเห็นต่างออกไปเช่นไร เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนใจไม่ให้ขัดใจลูกค้าที่พร้อมจะซื้อหา