บทที่ 105 ภรรยาผมก็ท้องเหมือนกัน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 105 ภรรยาผมก็ท้องเหมือนกัน

“ลูกชายคุณต่างหากที่มีลูกไม่ได้ ไม่รู้ว่าเด็กในท้องของแม่ม่ายนั่นเป็นลูกใครกันแน่ ลูกชายคุณไปใช้ประโยชน์จากบ้านใครกันถึงเอาลูกคนอื่นเขามาใช้ชื่อแซ่ตัวเอง!”

ครั้นยายหวังได้ยินคำพูดของเฉินจื่ออัน ไม่รู้ว่าตัวเองหูฝาดหรือเฉินจื่ออันพูดผิดกันแน่

แต่เธอก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

“คุณกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่? อย่าคิดว่าเป็นคนเมืองแล้วจะพูดจาซี้ซั้วได้นะ ลูกสะใภ้ของฉันตั้งท้องแล้ว” ยายหวังตะโกนเสียงดังราวกับว่าการที่เสียงดังนั้นมีมันเหตุผล

เฉินจื่ออันยิ้ม “เพราะภรรยาของผมก็ท้องเหมือนกัน!”

เพียงประโยคเดียวทำเอาดินถล่มฟ้าทลายมาก ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนตกตะลึง

ตระกูลซูยอมรับมานานแล้วว่าซูหม่านซิ่วมีลูกไม่ได้ แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็ได้ยินว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ ทุกคนจึงตะลึงไปด้วย

พวกเขาจ้องไปที่หญิงสาวราวกับจะมองจนทะลุปรุโปร่ง

คนทั้งสองแต่งงานกันมานานเท่าไร ยังไม่ถึงสองเดือนเลยด้วยซ้ำ เธอท้องแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?
ถ้าซูหม่านซิ่วมีลูกได้ งั้นคนที่มีลูกไม่ได้ก็คือไอ้หมาหวังน่ะสิ

หลังจากที่คุณย่าซูมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ ก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับยายหวังไร้ยางอายผู้นั้น

“ยายแก่แบบแกเอาแต่พูดว่าลูกสาวของฉันมีลูกไม่ได้ กดขี่ข่มเหงเธอต่าง ๆ นานา ที่แท้ก็เป็นลูกชายของแกต่างหากที่มีลูกไม่ได้ หึ ลูกสาวที่น่าสงสารของฉันแต่งงานเข้าบ้านแกมาตั้งหลายปี ทำตัวเป็นวัวเป็นม้าให้เขา แล้วต้องมารับใช้หญิงที่ท้องลูกบ้านใครก็ไม่รู้อีก”

ยายหวังตกใจกับเหตุการณ์นี้มาก ทั้งยังถูกตบจนสิ้นสติจึงสับสนไปหมด

ไอ้ลูกหมาคนรองมีลูกไม่ได้? ถ้างั้นเด็กในท้องของหลิวเสี่ยวชุ่ยเป็นลูกของใครกัน?

“ไม่ เป็นไปไม่ได้! พวกแกเพิ่งแต่งงานไม่ใช่หรือ?” ยายหวังเหมือนจะพบเหตุผลที่โน้มน้าวตัวเองขึ้น

“พวกเราแต่งมาเกือบห้าสิบวันแล้ว และเด็กคนนี้ก็เพิ่งจะเกิดมา ทำไม ยังไม่เชื่ออีกหรือ?” เฉินจื่ออันยืนเคียงข้างซูหม่านซิ่ว ดูแลอย่างระมัดระวัง

นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับเขาด้วย

เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าภรรยาของตนเองจะตั้งครรภ์ไวถึงเพียงนี้ ถึงช่วงเวลาจะไม่มาก แต่โดยพื้นฐานแล้วเขาก็มั่นใจ

เดิมทีเพราะเด็กอายุยังไม่ครบสามเดือนดี จึงยังไม่อยากบอกผู้ใด แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว

“ซิ่วเอ๋อร์ ลูกสาวที่น่าสงสารของแม่ เป็นแม่ที่ตาบอดมองคนผิดไป ทำให้ลูกหมั้นหมายกับตระกูลแบบนี้ ถ่วงชีวิตลูกไปตั้งหลายปี!” คุณย่าซูทุบใครสักคน และเริ่มร่ำไห้

“คุณแม่คะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว แถมชีวิตฉันตอนนี้ก็ดีขึ้นมาด้วยค่ะ ดีกว่าตอนที่อยู่บ้านหวังตั้งเยอะเลย” ซูหม่านซิ่วมองเฉินจื่ออัน

การปรากฏตัวของชายคนนี้เปลี่ยนชีวิตเธอไปอย่างสิ้นเชิง

หากอีกฝ่ายมาไม่ทัน เธอคงกลายเป็นวิญญาณเฝ้าแม่น้ำไปแล้ว

หากไม่ใช่เขาที่ช่วยเธอเอาไว้ เธอคงไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้

และถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายปล่อยวางเรื่องในอดีตและแต่งงานกับเธอ คงไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้เธอจะได้เป็นแม่คน

ซูเสี่ยวเถียนที่ถือไม้ในมือ ดวงตากลมโตจ้องมองผู้เป็นอา

เธอได้ยินอะไรอยู่นะ? อาใหญ่ท้องงั้นหรือ?

เรื่องราวทั้งหมดเปลี่ยนไปแล้ว?

ชาติที่แล้วไม่เห็นมีเรื่องราวมากมายเช่นนี้เลย

ดีจังเลย เช่นนี้อาใหญ่จะได้มีความหวังในชีวิตบ้าง

หลังจากผ่านเหตุการณ์โกลาหล ซูหม่านซิ่วไม่สามารถทำงานที่นี่ได้อีกต่อไป จึงขอลากลับบ้าน

ตอนที่เฉินจื่ออันพาคนบ้านซูออกไปด้วยกัน คนที่มาชมความคึกคักก็ต่างก็ตำหนิยายหวัง
คนพวกนี้ไม่สนหรอกว่าการทำแบบนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สนอีกว่าหญิงชราจะรับได้หรือเปล่า

ไม่ชอบที่ลูกสะใภ้มีลูกไม่ได้ ผลสรุปกลายเป็นว่าคนที่มีปัญหาคือลูกชายของตนเองต่างหาก!

เช่นนั้นแล้วสวรรค์จะยกโทษให้ใครกันแน่!

หากพวกเขาอยากมีชีวิตที่ดีก็รับเลี้ยงเด็กสักคนไว้ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ดี เพราะครอบครัวถูกทำให้แตกหักไปแล้ว

“ยายเฒ่า รีบกลับไปเสียเถอะ ไปดูซิว่าเด็กในท้องมันลูกใครกันแน่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยังไม่ได้เลี้ยงมันจนโต!”

บางคนทนไม่ไหวจึงเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค

ยายหวังตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน เก็บเศษหน้าที่แหลกละเอียดของตนวิ่งหนีกลับบ้านไป

วิ่งไปด้วยสบถสาปแช่งไปด้วย

แต่คราวนี้เธอไม่ได้ด่าซูหม่านซิ่ว แต่ด่าหลิวเสี่ยวชุ่ยแทน!

เฉินจื่ออันและคนอื่น ๆ ทีแรกตั้งใจจะกลับบ้านทันที แต่ใครจะรู้ว่าเดินผ่านสหกรณ์พอดี

“เข้าไปซื้อของกันเถอะ!” คุณย่าซูตะโกน

“คุณแม่คะ ไว้ตอนบ่ายค่อยมาซื้อเถอะค่ะ!” ซูหม่านซิ่วกล่าวเสียงเบา

เพราะการตั้งครรภ์จึงทำให้หญิงสาวยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น

ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความหมายของคุณย่าจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณย่าคะ หนูยังไม่เคยมาสหกรณ์ในอำเภอมาก่อนเลยค่ะ”

หลังจากได้ยินประโยคนั้น ซูหม่านซิ่วก็รีบกล่าวว่า “งั้นพวกเราก็เข้าไปข้างในกันเถอะ หลานเถียนของเราช่างโชคดีเหลือเกิน”

ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าชะตากรรมเดิมของตัวเองไม่น่าเป็นเช่นนี้ เดิมทีเธออาจจะตายอย่างอนาถไปแล้ว ทว่าเหตุผลที่ทำให้เธอยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็เพราะความโชคดีของซูเสี่ยวเถียน

ทั้งหมดเดินมาถึงสหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค แม้ครอบครัวซูจะไม่แต่งกายดูดีนัก แต่เพราะเฉินจื่ออันและซูหม่านซิ่วแต่งตัวไม่เลว คนที่นี่จึงไม่กล้าดูถูกพวกเขามากเกินไป

ในไม่ช้าก็มีคนก็จำได้ว่าเฉินจื่ออันคือหัวหน้ากองกำลังทหาร จึงเอาใจใส่อีกฝ่ายยิ่งขึ้น

คุณย่าซูถือปึกตั๋วและปึกเงินไว้ในมือแล้วเดินไปรอบ ๆ สหกรณ์ที่ใหญ่กว่าของตำบลมาก

“หลานรักของย่า สหกรณ์ที่นี่ไม่เหมือนของตำบลเลย ต้องเดินวนอยู่นานแน่เลยถึงจะได้ของครบถ้วน”

คำพูดของคุณย่าซูทำให้ซูเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ ขบขัน

“คุณย่าคะ หลังจากนี้จะมีที่ใหญ่กว่านี้อีกแน่ ๆ ค่ะ!”

ช่วงยุคหลัง ๆ มาตราส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตที่เทียบกับสหกรณ์ในปัจจุบันแล้วไม่รู้ใหญ่กว่าเท่าไร แต่มันก็แค่ห้างสรรพสินค้า ไม่ได้โดดเด่นอะไร

“เสี่ยวเถียนพูดถูก หลังจากนี้จะต้องใหญ่กว่านี้แน่” คุณย่าซูถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเชื่อที่ซูเสี่ยวเถียนพูดจริง ๆ หรือเพียงตอบรับไปงั้น ๆ

“แม่คะ งั้นให้แม่ดูก่อนแล้วกันค่ะ พวกเราค่อยกลับไปกินข้าวก็ได้” ซูหม่านซิ่วกังวลว่าคุณย่าซูตื่นเต้นที่ได้จับจ่ายใช้สอย เลยเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม

คุณย่าซูส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นี่เป็นครั้งแรกของคนแก่อย่างแม่ได้มาที่สหกรณ์ของอำเภอ จะให้เดินเสียเที่ยวไม่ได้หรอก”

คุณย่าซูเดินไปเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ซื้อน้ำตาลทรายขาวมาหนึ่งจินและน้ำตาลทรายแดงอีกหนึ่งจิน จากนั้นจึงเอาโถน้ำมันในตะกร้าที่ซูเหล่าเอ้อร์ใส่ไว้ ใส่น้ำมันถั่วเหลืองสี่จิน และอย่างสุดท้ายคือเนื้อหมูหันสามจิน