ตอนที่ 13-2 อดกลั้น

แม้ว่าฮูหยินใหญ่ จะมิพอใจเว่ยหยางมากยิ่งขึ้น แต่จะปล่อยให้ชื่อเสียงที่สั่งสมไว้ต้องมามัวหมองมิได้

เมื่อทุกคนรู้ว่านางมีเจตนาทำร้ายบุตรสาวของเมียน้อย

อำมาตย์หลี่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง และอยู่ในสังคมคนชั้นสูง และด้วยเหตุผลนี้ ท่านย่าใหญ่จึงต้องมีส่วนร่วมอย่างแน่นอน

เหวินชิหัวเราะเสียงดัง และกล่าวออกมาว่า

“พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่ ที่ท่านหาช่างตัดเย็บเสื้อผ้าของเว่ยหยางยังมิได้ ทั้ง ๆ ที่นางกลับมาได้ตั้งหนึ่งเดือนแล้ว”

เมิงชิมองยังสะใภ้ใหญ่ด้วยความอดทน

แม้ว่าฮูหยินใหญ่จะเป็นผู้ที่มีนิสัยดุร้าย แต่ใบหน้าของนางนั้นก็ยังคงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอายในขณะนี้

หลี่จางเล่อรีบกล่าวปกป้องมารดาอย่างรวดเร็วว่า

“หลายวันก่อนท่านแม่เคยบอกว่าจะมีคนส่งชุดใหม่ของเว่ยหยางมาให้สี่ชุด

แต่ตอนนี้ผ่านมาหลายวันเเล้ว เหตุใดยังมิมาอีก ต้องมีอันใดผิดพลาดอย่างแน่นอน!”

จางเล่อมองไปยังเว่ยหยาง แม้ว่ามารดาของนางจะถูกตำหนิ แต่น้ำเสียงนั้น ก็ยังคงมีความสงสารเช่นเดิม ขณะที่จ้องมองไปยังเว่ยหยาง

ราวกับว่า นางกำลังจ้องมองน้องสาวสุดที่รักของตนเอง โดยปิดบังความร้ายกาจเอาไว้ภายใน

“น้องสามเจ้าน่าจะบอกกล่าวกับพี่ใหญ่ก่อน แทนที่จะสวมใส่ชุดเช่นนี้ออกมาให้ทุกคนได้เห็น

มันจะทำให้ท่านแม่รู้สึกลำบากใจ”

ปากของเว่ยหยางโค้งเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย โดยมิมีความกลัวเกรงอันใด

“ที่พี่ใหญ่กล่าวนั้นถูกต้องแล้ว แต่ขนาดเสื้อผ้าของเรานั้นแตกต่างกันมาก มิเช่นนั้นข้าคงจะรบกวนท่านไปแล้ว”

แม้จะเป็นเพียงบุตรสาวของเมียน้อย แต่นางก็ยังเป็นบุตรสาวของท่านอำมาตย์อยู่ดี

จะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะปล่อยให้บุตรสาวของท่านอำมาตย์สวมใส่เสื้อผ้าที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว?

หลี่เว่ยหยางรู้แน่นอนว่า หลี่จางเล่อมิมีเจตนาที่จะให้เสื้อผ้าที่ใช้แล้วแก่นางเช่นกัน

และเว่ยหยางมีเจตนาที่จะใช้ความหมายในคำกล่าวนั้น ทำให้จางเล่อมิสามารถโต้เถียงได้

ตามที่คาดไว้ จางเล่อถูกบังคับให้กลืนคำกล่าวที่ใช้ในการปกป้องตนเองเข้าไป ขณะที่ความโกรธเคืองกำลังเดือดพล่านอยู่ภายในหัวใจ

น้อง ๆ ทุกคนรับฟังและแสดงความเคารพต่อนางมาโดยตลอด แต่หลี่เว่ยหยางมิใช่หนึ่งในนั้น หลี่เว่ยหยางต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ !

ฮูหยินใหญ่มิได้แสดงอาการโกรธเคืองออกมา แม้ว่าจะแค้นใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มิสามารถแสดงสีหน้าหรือส่งเสียงดังออกมาได้

การทำเช่นนั้นจะทำลายภาพลักษณ์อันสง่างาม และความมีเมตตาของนาง

แต่วันนี้ มีความรู้สึกราวกับว่า ถูกหลี่เว่ยหยางตบหน้าอย่างแรง ต่อหน้าสาธารณะชน ด้วยเรื่องเครื่องแต่งกายนั้น

บัดนี้ภายในห้องนั้นเงียบสนิท มันเงียบมากจนสามารถได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้น

การเป็นศัตรูกับฮูหยินใหญ่ มิใช่การตัดสินใจที่ดีเลย แต่สิ่งนี้เว่ยหยางได้เลือกแล้ว?

ชาติที่แล้ว นางเคยเชื่อฟังและยอมจำนนทุกอย่าง แต่ก็ยังลงเอยด้วยการถูกใช้เป็นเครื่องมือ มิมีผู้ใดมองเห็นคุณค่าของมันเลย

ในตอนนี้ เว่ยหยางต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง

ตอนนี้นางกำลังเดิมพัน โดยใช้อำนาจของท่านย่าใหญ่ในการปกป้องชื่อเสียงของตระกูลหลี่

จื่อหยานสาวใช้ผู้ติดตามเว่ยหยางกำมือเป็นกำปั้นแน่นใต้แขนเสื้อของตนเอง ขณะที่ร่างของนางนั้นสั่นสะท้านด้วยความกลัว

ในทางกลับกัน เว่ยหยางยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า และมิมีความกลัวหรือความอ่อนน้อมในสายตาของนางเลย

เมิงชิมองไปยังลูกสะใภ้ใหญ่ด้วยความใจเย็น และกล่าวว่า

“เจ้าละเลยนางถึงเพียงนี้เลยหรือ.”

โดยทั่วไปแล้ว ท่านย่าใหญ่มิเคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในและสังหาริมทรัพย์ใด ๆ อีกทั้งยังมิเคยที่จะกล่าวตำหนินางเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยคำกล่าวเพียงประโยคเดียวนี้

แสดงให้เห็นว่า ท่านย่าใหญ่กำลังเข้าข้างเว่ยหยางอย่างเห็นได้ชัด

ความโกรธแค้นนี้ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างของฮูหยินใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว

ใบหน้าของนางแดงขึ้น และเริ่มมีลมออกหู ลมหายใจถี่และหอบมากขึ้น

จากนั้นได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตอนนี้นางมีความโกรธเป็นอย่างมาก จนมิสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อีกต่อไป

และด้วยเหตุที่อำมาตย์หลี่ให้ความสำคัญกับความกตัญญู และกฎเกณฑ์ของครอบครัว

ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินใหญ่จึงมิเคยแสดงความโกรธ หรือแสดงอารมณ์ที่รุนแรงต่อหน้าแม่สามีเลย

มิต้องกล่าวถึงเหวินชิ ที่มักจะมองนางด้วยสายตาเหยี่ยว และพร้อมที่จะจ้องมองความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นตลอดเวลา

เจียงชิมิสามารถทำอันใดได้อีกนอกจากอดทน และต้องอดกลั้นให้มากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น นางจะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ในฐานะภรรยา และมารดาที่มีจิตใจดี มีเมตตา และมีความเป็นธรรมต่อบุตรสาวของเมียนัอยทุกคน

หลี่เว่ยหยางเป็นเพียงบุตรสาวของเมียน้อย

และนางต้องการจะสอนเด็กผู้หญิงสักสองสามบทเรียน

สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ ตั้งสติ เเละทำจิตใจให้เยือกเย็น และจะต้องมิทำอันใดที่บุ่มบ่าม และบ้าบิ่น

ยังมีโอกาสอีกมากมายในวันข้างหน้า ที่จะจัดการกับนังเด็กผู้นี้ นังเด็กบ้า ‘เว่ยหยาง’

ดังนั้น ด้วยความโกรธแค้น ฮูหยินใหญ่จึงหันไปหาแม่นมหลินด้วยท่าทางที่จริงจัง และตะโกนออกมาว่า

“คุกเข่าลง!”

แม่นมหลินยืนแข็งทื่อด้วยความตกใจเป็นอันมาก และทุกคนในห้องก็มีความรู้สึกนี้เช่นเดียวกัน