ตอนที่ 105 ศัตรูของศัตรูคือมิตร (4)

หวนคืนชะตาแค้น

มู่หรงเสียขมวดคิ้ว คิดไตร่ตรองอยู่ภายในใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่ มู่หรงอานเป็นคนที่น่าขยะแขยงเพียงใดแน่นอนว่ามู่หรงเสียนั้นย่อมรู้ดี หากผู้ใดก็ตามที่มีความคิดที่ต้องการให้เขาตายก็อาจโดนขับไล่ออกจากวังไปได้ เสียดายเพียงแต่ว่าเขามีศักด์เป็นถึงองค์ชาย คนที่สามารถแตะต้องเขาได้แน่นอนว่ามีน้อยมาก บอกว่ามีความแค้นกับมู่หรงอาน แน่นอนว่าเหตุผลนี้จึงทำให้มู่หรงเสียเชื่ออยู่บ้าง

เมื่อเห็นท่าทางลังเลใจของมู่หรงเสีย มู่ชิงอีก็ยิ้มเล็กน้อย เหตุใดท่านอ๋องจึงมีท่าทางเช่นนั้น สิ่งที่กระหม่อมกล่าวเป็นจริงหรือเท็จก็ไม่มีผลร้ายกับพระองค์อยู่ดีไม่ใช่หรือ เป้าหมายของท่านและกระหม่อม เดิมทีก็คือสิ่งเดียวกัน หากท่านอ๋องจะไม่เชื่อกระหม่อม ท่านอ๋องก็น่าจะรู้จักคำกล่าวคำหนึ่งกระมัง

คำกล่าวใด

มู่ชิงอียิ้มและพูดว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร นางหยิบของสองชิ้นออกจากแขนเสื้อแล้วคลี่มันออกมา มู่หรงเสียมองดูสิ่งที่อยู่ในมือ สิ่งเหล่านี้เป็นที่ประดับผมสำหรับสตรีและหยกแขวนสำหรับบุรุษ หยกแขวนล้อมด้วยมังกรสี่ตัวอยู่ข้างๆ ตัวอักษรคำว่า ‘หนิง’ ซึ่งมู่หรงเสียก็มีหยกแขวนแบบเดียวกันอีกเส้นหนึ่ง มันเป็นหยกแขวนที่แสดงถึงสถานะจื้ออ๋องของเขา เดิมทีแล้วมันควรจะเป็นสิ่งที่มู่หรงอานเก็บไว้ไม่เคยให้ห่างกาย

นางมองไปที่มู่หรงเสียแล้วยืนขึ้นพลางยิ้ม ท่านอ๋องสามารถเก็บสิ่งนี้ไปไตร่ตรองก่อนได้ว่าจะร่วมมือกับกระหม่อมหรือไม่ แล้วกระหม่อมจะติดต่อพระองค์มาอีกครั้ง แล้วก็…คุณชายเว่ยและแม่ทัพใหญ่ดูเหมือนจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกัน

เป็นไปตามคาด สีหน้าของมู่หรงเสียพลันแปรเปลี่ยน มู่ชิงอียิ้มและหันหลังเดินออกไปนอกประตู

ทันทีที่มือของนางแตะที่ประตูก็มีเสียงของมู่หรงเสียดังขึ้นจากด้านหลัง คุณชายจัง ช้าก่อน

เมื่อได้ยินเสียงของมู่หรงเสีย มู่ชิงอีก็ก้มหน้าลง รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง หันหลังกลับไป ใบหน้าอ่อนวัยที่หล่อเหลาแสดงถึงความสงสัยอันใสซื่อออกมา ท่านอ๋องยังมีเรื่องอื่นอีกอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ

มู่หรงเสียจ้องไปที่มู่ชิงอีพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม ข้าขอบคุณคุณชายอย่างมากที่เตือนข้า หากคุณชายจังไม่รังเกียจ มีเวลาว่างก็สามารถมาที่เรือนกุ้ยหลินหรือจวนของข้าเพื่อนั่งเล่นได้ มู่ชิงอียิ้มและพยักหน้า หากท่านอ๋องมีเรื่องอันใดก็สามารถส่งคนมาหากระหม่อมที่นี่ได้เช่นกัน แน่นอนว่ามู่ชิงอีเป็นคนที่รู้จักการยื่นหมูยื่นแมว นางนำกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้บนโต๊ะแล้วเอ่ยยิ้มๆ กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ

กลับดีๆ ไม่ขอส่ง

เสียงฝีเท้าของมู่ชิงอีหายไปที่นอกประตู ผ่านไปสักพัก ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปีที่มีใบหน้าผอมซูบและซีดเซียวก็เปิดประตูเข้ามา กล่าวด้วยความเคารพ ท่านอ๋อง

มู่หรงเสียเงยหน้าขึ้นพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม ท่านเจิ้ง ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ชายผู้นั้นหรี่ตาพร้อมกล่าวว่า คุณชายจังผู้นี้…ไม่เหมือนเด็กอายุสิบสามสิบสี่ปี มู่หรงเสียพยักหน้าเห็นด้วย ที่จริงแล้วเด็กชายชุดขาวนั้นมีท่าทางที่ดูโตกว่าและใจเย็นกว่าผู้ใหญ่อายุยี่สิบสามสิบปีเสียอีก ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า เรื่องในครั้งนี้…เหมือนเขาจะไม่ได้กล่าวความเท็จพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องยังจำสิ่งที่พระชายากงกล่าวไว้ได้หรือไม่…คนที่ลักพาตัวนางไปอ้างว่าตนคือกู้หลิวอวิ๋น ภายในจวนกงอ๋องแน่นอนว่าต้องมีเส้นสายของจื้ออ๋องอยู่

กู้หลิวอวิ๋น มู่หรงเสียพยักหน้า หากเป็นกู่หลิวอวิ๋น…ไม่สิ หากตอนนี้กู้หลิวอวิ๋นยังมีชีวิตอยู่เขาก็น่าจะอายุได้สิบหกปีแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังไม่ได้ข้อสรุปเลยว่ากู้หลิวอวิ๋นเสียชีวิตไปแล้วนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เด็กหนุ่มผู้นี้ อาจจะไม่ใช่กู้หลิวอวิ๋นก็เป็นได้

ชายวัยกลางคนยิ้มพลางกล่าวว่า เขาจะใช่กู้หลิวอวิ๋นหรือไม่นั้นไม่สำคัญ แต่หากไม่ใช่แน่นอนว่าย่อมดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วหากเข้าไปพัวพันกับคนเช่นนี้ต้องไม่ดีกับท่านอ๋องเป็นแน่ แต่…คนผู้นี้ต้องรู้เรื่องราวภายในของตระกูลกู้อย่างแน่นอนและอาจถึงขั้นมีสายสัมพันธ์กับตระกูลกู้ก็เป็นได้

มู่หรงเสียหลับตาลงพลางครุ่นคิด เดิมตระกูลกู้หากนอกจากกู้ซิ่วถิงที่หายสาบสูญแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก พี่รอง…ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน บางทีอาจจะเป็นตระกูลเครือญาติของตระกูลกู้? แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะค่อยๆ ห่างกันไปนานแล้ว แต่สำหรับตระกูลที่มีประวัติยาวนานอย่างตระกูลกู้ อาจจะมีบุคคลที่ยังไม่เป็นที่รู้จักก็ได้

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า เขาบอกว่าตนมีแซ่ว่า จัง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ในตอนนั้นฮูหยินใหญ่ของตระกูลกู้ก็แซ่จังเช่นกัน คนที่สามารถเรียกได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับสองแซ่นี้ก็มีเพียงแค่กู้ซิ่วถิงและ… มู่ชิงอีคุณหนูสี่แห่งจวนซู่เฉิงโหวเท่านั้น เมื่อคิดอย่างจริงจัง นอกจากมู่ชิงอีแล้วก็มีแต่มารดาของนางเท่านั้นที่มีแซ่จัง เดิมทีตัวนางเองก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลกู้เลย และคงไม่มีความสามารถมากพอที่จะมาเกี่ยวข้อง

เนื่องจากมีฐานะเป็นถึงที่ปรึกษา เขาจึงอดดูถูกสตรีไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่รู้เลยว่าครั้งหนึ่งตนนั้นเกือบเข้าใกล้ความจริงของเรื่องนี้เพียงใด

กู้ซิ่วถิงตายแล้วหรือไม่ มู่หรงเสียเอ่ยถาม

ชายวัยกลางคนส่ายหัวแล้วกล่าวว่า กระหม่อมไม่ทราบ ในวันนั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เรือนของกงอ๋อง ทุกคนในเรือนนั้นตายหมดไม่เหลือแม้สักคน พวกเขาสามารถคาดเดาได้เพียงไม่กี่เรื่อง ทว่าการหายสาบสูญของกู้ซิ่วถิงก็ยังไม่มีผู้ใดทราบได้

มู่หรงเสียเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า อย่างไรก็ตามนี่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุดสำหรับเรา หลังจากที่มู่หรงอวี้อภิเษกกับจูหมิงเยียน จวนกงอ๋องในช่วงสองปีมานี้ก็เฟื่องฟูขึ้นและฮ่องเต้ก็ทรงให้ความสนใจเขาอย่างมากจนถึงขั้นที่ดูราวกับเป็นองค์ชายอันดับหนึ่ง แต่มู่หรงอวี้ผู้นี้กลับยังระมัดระวังตัวกับผู้อื่นอย่างมาก แม้ว่าเสด็จพ่อจะเห็นความสำคัญแต่เขาก็ไม่เคยหยิ่งผยองจึงทำให้ผู้คนไม่สามารถจับผิดเขาได้เลยแม้ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย มีครั้งหนึ่งที่มู่หรงเสียถึงกับคิดว่า หรือเสด็จพ่อนั้นตั้งใจจะให้มู่หรงอวี้ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท แต่คราวนี้หลังจากที่ได้เห็นการจัดการอย่างไร้ความปราณีของเสด็จพ่อต่อจวนกงอ๋อง ในใจมู่หรงเสียก็พลอยมีความหวังริบหรี่ขึ้นมา

ท่านอ๋องพูดถูก กงอ๋องไม่เพียงได้รับการสนับสนุนจากผิงหนานจวิ้นอ๋องและซู่เฉิงโหวเท่านั้นแต่ยังมีผู้สนับสนุนในราชสำนักอีกมากมาย นอกจากนี้ในปีนั้น…กองกำลังส่วนใหญ่ภายใต้ผิงอ๋องยังถูกกลืนไปโดยเขา ก็มีแค่พวกเราเท่านั้น หากต้องการจัดการกับเขาเกรงว่าคงจะลำบากอยู่เสียหน่อย

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นพูดถูก ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร

ท่านอ๋อง องครักษ์ด้านนอกประตูกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เข้ามา ผู้ที่กลับมานั้นคือองครักษ์ที่ส่งไปจับตามองมู่ชิงอี สีหน้าขององครักษ์ดูค่อนข้างย่ำแย่ เขาเอ่ยเสียงเบา กระหม่อมไร้ความสามารถ กระหม่อมคลาดกับเขาพ่ะย่ะค่ะ ดวงตาของมู่หรงเสียหรี่ลง แค่กับผู้ที่ไม่มีวรยุทธ์ เจ้ายังคลาดกันได้?

องครักษ์กัดฟันเอ่ยด้วยความละอาย เด็กหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับพื้นที่ของเมืองหลวงเป็นอย่างมาก กระหม่อมกังวลว่าจะถูกเขาจับได้ จึงไม่กล้าเข้าประชิดเขามากพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่เขาเลี้ยวเข้าไปในมุมของตรอกซอย คนผู้นั้นก็ได้หายตัวไปแล้ว

ไร้ประโยชน์! ไสหัวไป! มู่หรงเสียพูดด้วยความโกรธจัด

พ่ะย่ะค่ะ! องครักษ์รีบถอยกลับไปนั่งข้างๆ ชายวัยกลางคน มองดูจื้ออ๋องที่ครุ่นคิดอย่างโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีดีจริงๆ ท่านอ๋องโปรดระงับโทสะ หากแม้ความสามารถเช่นนี้เขายังไม่มี เขาก็คงจะไม่มีความกล้าไปต่อกรกับกงอ๋องได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ

มู่หรงเสียระงับความโกรธของตนลงและพยักหน้าเห็นด้วย ท่านเจิ้งมีความเห็นอย่างไร

ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้น ความร่วมมือเป็นสิ่งที่ดี แต่…ท่านอ๋องต้องระวังไม่ให้เขาจัดการท่านได้เช่นกัน

มู่หรงเสียพยักหน้าแล้วกล่าวว่า ข้ารู้แล้ว

ปิดกั้นจุดอ่อนต่อผู้อื่น นี่คือสิ่งที่ขาดไม่ได้ที่สุดสำหรับพวกเขาในการเป็นองค์ชาย เพราะในท้ายที่สุด ชะตากรรมของบุคคลที่ขาดสิ่งนี้นั้นจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ตอนต่อไป