ตอนที่ 145 พบหน้าผู้เฒ่าเซี่ย
ตอนที่ 145 พบหน้าผู้เฒ่าเซี่ย
หลินจินซานพาหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนไปที่อาคารพักอาศัยของโรงงาน ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในลานกว้างก็ได้ยินเสียงดนตรีดังลั่น ลุงหลี่และลุงหนิวเริ่มเต้นแอโรบิกกันอีกครั้ง
ลานด้านล่างค่อนข้างมีชีวิตชีวามากในตอนเช้า จนหลินเยี่ยนเกิดความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยมและมองไปรอบ ๆ
หลิวกุ้ยอิงมองไปที่ตัวอาคาร ก็พบว่ามันเป็นอาคารทั่วไปที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจ จึงติดตามหลินจินซานอย่างสงบและเดินไปข้างหน้า
“บ้านของเซี่ยเซี่ยอยู่บนชั้นสอง ขึ้นไปกันเถอะ”
หลินเซี่ยได้ยินเสียงเคาะประตูจึงรีบเปิดประตูให้
“แม่ เสี่ยวเยี่ยน เข้ามาก่อนค่ะ”
หลินเยี่ยนเห็นทีวีสีในห้องก็อุทานออกมา “ว้าว ทีวีสีเครื่องนี้จอใหญ่มากเลย”
ครั้งแรกที่หล่อนเห็นทีวีสีคือที่บ้านของเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ แต่ขนาดจอของพวกเขากลับเล็กกว่าโทรทัศน์เครื่องนี้มาก
หลินจินซานบอกว่า “พี่เขยเธอเป็นคนซื้อสิ่งนี้ให้เซี่ยเซี่ย ฉันกับพี่เฉิงเป็นคนยกมาส่งด้วยตัวเอง”
“ทั้งแม่และเสี่ยวเยี่ยนต่างก็ได้เจอน้องเขยแล้ว แต่ฉันยังไม่เคยเจอเขาเลย”
“รอเขากลับมาจากธุระนอกสถานที่ก็ได้เจอกันแล้ว”
หลินเซี่ยพาหลิวกุ้ยอิงเดินสำรวจเยี่ยมชมภายในบ้าน
“แม่ ดูสิคะ ที่นี่ยังมีเครื่องซักผ้าและจักรเย็บผ้าด้วย ผู้เฒ่าเฉินเป็นคนซื้อมาให้ฉันทั้งคู่เลย”
หลิวกุ้ยอิงพยักหน้าอย่างมีความสุข “เซี่ยเซี่ย ลูกไม่ได้แต่งงานผิดคนจริง ๆ”
หลินเซี่ยพาพวกเขาเดินไปรอบ ๆ บ้าน จากนั้นทุกคนก็รีบออกไปที่ร้าน
หลินเซี่ยเริ่มบริการตัดผมให้ลูกค้า ตั้งเตาถ่านต้มน้ำร้อน ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องกังวลกับการเติมถ่าน เพราะไม่ต้องต้มน้ำให้เดือดตลอดเวลา น้ำเดือดหม้อใหญ่สามารถผสมกับน้ำเย็นเพื่อใช้สระผมได้ หลิวกุ้ยอิงจึงไม่มีอะไรทำอีก
“เซี่ยเซี่ย ลูกอยากให้แม่ไปตั้งแผงขายของตรงไหน? แม่จะแวะไปดูสถานที่จริงก่อน แล้วค่อยไปที่ตลาดสดเพื่อหาซื้อแป้งและสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดให้ครบ แม่จะลองคุยกับพี่ชายของลูกดูว่าพอจะหาซื้อรถสามล้อสักคันได้ไหม สมมุติกิจการตรงนั้นไม่ดีจะได้ย้ายแผงลอยได้ง่าย ๆ”บราวนี่ออนไลน์
หลินเซี่ยคิดตำแหน่งตั้งร้านไว้แล้ว “เราจะไปตั้งแผงขายของที่สี่แยกหน้าร้านนี่แหละค่ะ เนื่องจากทำเลนั้นเป็นสี่แยกที่มีโรงงานตั้งอยู่หลายแห่ง คนงานต้องเดินผ่านไปตรงนั้นแน่หลังจากเลิกงาน ตราบใดที่เราทำอาหารอร่อย กิจการต้องเฟื่องฟูแน่นอน อย่าเพิ่งคิดย้ายแผงลอยไปถนนเลย”
“ได้ งั้นเราไปกันเถอะ ให้พี่ชายพาไปดูหน่อย”
หลิวกุ้ยอิงแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะเริ่มต้นอาชีพใหม่
หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนเดินนำหน้า หลินเซี่ยล็อกประตูและเดินตามหลังหลินจินซานไป
หลินจินซานกระซิบกับหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย ฉันจะบอกอะไรให้ รู้สึกว่าหลังจากที่แม่ของเราเข้ามาในเมือง บุคลิกของท่านก็เริ่มเปล่งประกายเหมือนเป็นคนละคนเลย”
“จริงเหรอ?” หลินเซี่ยมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“เธอคงไม่รู้ว่าตอนที่ท่านยังอยู่บ้านนอก ท่านเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวมาก แทบจะเข้ากับผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านไม่ได้เลย แถมตอนคุณย่ารังแกโขกสับ ท่านก็ไม่เคยพูดอะไรเลย จนลูก ๆ อย่างเราคิดว่าท่านมีนิสัยอ่อนแอ ไม่กล้าสู้คนมาโดยตลอด แต่ดูตอนนี้สิ ท่านอาจไม่เหมาะจะใช้ชีวิตอยู่ในชนบทก็ได้”
“เห็นไหมว่าหลังจากท่านดัดผมแล้ว กิริยาท่าทางก็กลายเป็นชาวเมืองขึ้นมาทันที” หลินจินซานชื่นชมหลิวกุ้ยอิง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมยกยอตัวเอง “ฉันว่าแม่ก็น่าจะเหมือนฉันนี่แหละ เกิดมาเพื่ออาศัยอยู่ในเมือง ไม่แปลกที่ตอนพวกเราอยู่บ้านนอกจะกลายเป็นคนไม่มีตัวตน”
หลินเซี่ย “!!!”
หลังจากประชาสัมพันธ์ไปเมื่อวาน วันนี้ก็ถึงวันที่ 2 เดือน 2 มังกรเชิดเศียรพอดี มีลูกค้ามารอคิวตัดผมเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีพนักงานในโรงงานที่แวะมาตัดผมในช่วงพักกลางวันเพื่อให้ทันฤกษ์งามยามดีเป็นศิริมงคลกับตัวเอง
ร้านเสริมสวยทั่วไปจะคิดค่าบริการตัดผมหัวละหนึ่งหยวน และค่าบริการดัดผมหัวละห้าหยวน
ในขณะที่หลินเซี่ยจัดราคาโปรโมชั่นเพียงสองวัน คิดค่าบริการตัดผมแค่ห้าเหมา และค่าบริการดัดผมเพียงสามหยวน
สำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่าหนึ่งร้อยหยวนต่อเดือน ราคาห้าเหมาถือเป็นราคาที่น่าดึงดูดมาก นอกจากนี้วันมังกรเชิดเศียรก็ถือเป็นวันมงคลที่มีความหมายดี ทุกคนจึงอยากคว้าโอกาสนี้ไว้
หลินเซี่ยไม่ช่วยลูกค้าคนไหนสระผม เธอมีหน้าที่แค่ตัดผมให้เท่านั้น
ใครที่ต้องการตัดผม ต้องสระผมด้วยตัวเอง
โชคดีที่ลูกค้ายุคนี้มีนิสัยเรียบง่าย
ประมาณบ่ายสองโมง หลังจากเคลียร์ลูกค้าที่คับคั่งชุดแรกเสร็จ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เธอจะพักกินข้าว
วันนี้หลินเยี่ยนต้มน้ำไปหลายหม้อทีเดียว หล่อนยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สาว ธุรกิจนี้ค่อนข้างดีเชียวล่ะ”
“วันนี้ตรงกับวันมังกรเชิดเศียรพอดี ประกอบกับเราคิดเงินในราคาถูกกว่าปกติ ไม่แปลกที่ลูกค้าจะเยอะมาก แต่อีกหน่อยคนคงไม่เยอะขนาดนี้”
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่นิยมตัดผมก็จริง แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ชอบดัดผม เพราะพนักงานงานหญิงในโรงงานไม่มีเวลามากพอที่จะมานั่งดัดผมในระหว่างเวลาทำงาน
วันนี้เธอรับดัดผมให้ลูกค้าไม่กี่คน ซึ่งก็คือพี่สาวสามคนที่มาไม่ทันเมื่อวานนี้
เวลาล่วงไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว ในที่สุดเธอก็มีเวลาว่าง
ฟางจิ้นไฉพาเพื่อนของเขามาส่งป้ายร้าน
“เสี่ยวหลิน ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจไหม? ผมทำป้ายตามคำขอของคุณทุกประการเลย”
หลินเซี่ยมองไปยังตัวอักษรสมัยราชวงศ์ซ่งทั้งสี่ตัวบนป้าย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พอใจมากเลยค่ะ ถ้าติดตั้งป้ายขึ้นเหนือประตูเรียบร้อย ลูกค้าก็สามารถมองเห็นจากระยะไกลได้เลย”
วันเปิดร้านเสริมสวยอย่างเป็นทางการยังไม่ใช่เร็ว ๆ เพราะหลินเซี่ยตั้งใจว่าจะตั้งแผงให้บริการด้านนอกไปก่อน รอจนกว่าเฉินเจียเหอจะกลับมาแล้วค่อยเปิดร้าน
ทุกคนต่างพากันมามุงอยู่รอบ ๆ ป้ายร้านอันใหม่ ไม่ไกลนักก็มีชายชราสองคนซึ่งมีท่าทางสง่างามน่าเกรงขามกำลังเดินข้ามถนนมาทางนี้
“โอ๊ย ฉันไม่ไปหรอก ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากตัดผม ทำไมต้องลากฉันออกมาด้วย?”
“ไหน ๆ ก็มาแล้วนี่นา ลองไปดูสักหน่อยเถอะ”
“ร้านของหล่อนน่าจะอยู่ตรงนั้น นั่นไง ฉันเห็นร้านชั่วคราวของผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
คาดเดาไม่ผิด ชายชราสองคนที่กำลังกึ่งลากกึ่งดึงรั้งกันมาก็คือผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ย
วันนี้ผู้เฒ่าเฉินยืนกรานว่าจะลากผู้เฒ่าเซี่ยออกไปตัดผมให้ได้ เพื่อแก้ไขชื่อเสียงในทางลบของหลินเซี่ยเสียใหม่
ผู้เฒ่าเซี่ยไม่อยากมา แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมถูกลากมาเท่านั้น
เด็กหญิงใจร้ายคนนั้นไม่คิดจะมาเยี่ยมเขาด้วยซ้ำหลังจากถูกเปิดโปงตัวตน แล้วทำไมเขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสถึงกลายเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอด้วยนะ?
ผู้เฒ่าเฉินเคยเป็นทหาร ส่วนผู้เฒ่าเซี่ยเป็นเพียงนักวิชาการที่อ่อนแอ เวลานี้ผู้เฒ่าเฉินจึงใช้กำลังดึงอีกฝ่ายให้เดินตามไปข้างหน้า พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของหลินเซี่ยด้วยเสียงอันดัง
หลินเซี่ยได้ยินเสียงของผู้เฒ่าเฉิน จึงหันมองไปตามเสียง
เมื่อเธอเห็นชายชราอีกคนที่ถูกผู้เฒ่าเฉินลากมาด้วย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง อ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรดี
ผู้เฒ่าเซี่ยเห็นหลินเซี่ยก็ได้แต่จ้องมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า เพราะไม่รู้จะทักทายอย่างไร
พร้อมกันนั้นก็ทำหน้าปั้นปึ่ง และหันหลังกลับ
“คุณตา!”
หลินเซี่ยรีบวิ่งลงบันไดไปทักทายพวกเขา
“คุณปู่ คุณตา มาที่นี่ได้ยังไงกันคะ?”
หลังจากเกิดใหม่ เธอยังคงรู้สึกอบอุ่นหัวใจเสมอเมื่อได้เจอผู้เฒ่าเซี่ยอีกครั้ง
ช่วงเวลาที่เธออาศัยอยู่กับคุณตาในบ้านตระกูลเซี่ยคือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดและไร้กังวลมากที่สุดสำหรับเธอ
ผู้เฒ่าเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะตัดผมให้ฉันไม่ใช่เหรอ? พอคุณตาของเธอเห็นเข้า เขาก็อยากตัดผมทรงเดียวกับฉันบ้าง”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเรื่องไร้สาระอย่างไม่ละอาย จนผู้เฒ่าเซี่ยเกือบยกขาขึ้นเตะเขา “ฉันบอกว่าอยากตัดตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลินเซี่ยรีบแก้ตัว “คุณตา เดี๋ยวนี้ฉันตัดผมเก่งขึ้นกว่าตอนนั้นมากค่ะ ฉันรับรองเลยว่าคราวนี้จะไม่ทำให้คุณต้องโกนหัวอีกแล้ว ต่อให้คุณร้องขอฉันก็ไม่ทำ เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่เงอะงะทำอะไรไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป”
ทันทีที่หลินเซี่ยเห็นว่าผู้เฒ่าเซี่ยมีใบหน้าเข้มคล้ำ เธอก็จำเสียงคำรามของชายชราได้หลังจากที่เขาต้องโกนหัวตัวเองเพราะเธอตัดผมพลาด
“เชิญคุณทั้งสองเข้ามาดูภายในร้านของฉันก่อนค่ะ” หลินเซี่ยเชิญพวกเขาเข้ามา
ผู้เฒ่าเฉินเห็นป้ายถูกวางอยู่ตรงนั้น จึงถามว่า “นี่คืออะไร? ใช่ป้ายร้านที่เพิ่งสั่งทำหรือเปล่า?”
“ใช่แล้วค่ะ ช่างเพิ่งเอามาส่งเมื่อกี้นี้เอง”
“สงโถวไค่ฉื่อ(เริ่มต้นครั้งใหม่)?” ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่หลินเซี่ย แล้วมองไปที่ป้ายด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คุณปู่ ชื่อนี้เป็นชื่อดีที่ใช่ไหมคะ? ฉันคิดว่าทรงผมคือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของแต่ละคน พอทำผมแล้ว คนคนนั้นก็จะกลับมามีสง่าราศี สวยหล่อยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นทรงผมจึงถือเป็นกุญแจสำคัญ ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง”
ผู้เฒ่าเฉินพยักหน้า “เป็นชื่อที่ดีมาก”
กลิ่นอายของชายชราทั้งสองคนแข็งแกร่งมากเสียจนแม้แต่หลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่รู้จักมักคุ้นกับพวกเขา
“แม่คะ พาพี่ชายเข้ามาข้างในหน่อย” หลินเซี่ยร้องเรียกพวกเขาที่หน้าประตู
หลิวกุ้ยอิงและหลินจินซานจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเข้าไป
หลินเซี่ยแนะนำตัวตนของชายชราทั้งสองให้พวกเขารู้จัก “นี่คือคุณปู่ของเฉินเจียเหอค่ะ ส่วนนี่คืออดีตคุณตาของฉัน”
“คุณปู่ นี่แม่ฉันเองค่ะ ชื่อหลิวกุ้ยอิง ส่วนนี่คือพี่ชายของฉัน ชื่อหลินจินซาน ส่วนเด็กผู้หญิงที่กำลังต้มน้ำอยู่ข้างนอกคือน้องสาวฉันเอง”
หลิวกุ้ยอิงกล่าวทักทายด้วยความสุภาพ “สวัสดีค่ะคุณลุงทั้งสอง ขอบคุณที่กรุณาดูแลเซี่ยเซี่ยมาโดยตลอดนะคะ”
หลิวกุ้ยอิงพูดจาสุภาพ ทั้งยังประพฤติตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว ผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ยจึงอดไม่ได้ที่จะมองดูหล่อนอีกครั้ง
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มพลางตอบกลับว่า “สวัสดีเสี่ยวหลิว”
“พ่อหนุ่มคนนี้ดูกระตือรือร้นจริง ๆ ทำงานอะไรอยู่ในไห่เฉิงล่ะ?” ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่หลินจินชานอีกครั้งแล้วถามไถ่
หลินจินซานมองไปยังชายชราผู้สง่างามตรงหน้าเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความประหม่าและเคอะเขิน ไม่อาจสงบนิ่งได้เท่ากับหลิวกุ้ยอิง
เพื่อไม่ให้หลินเซี่ยต้องอับอายขายหน้า เขาจึงยืดหลังตรง และรวบรวมความมั่นใจและน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง “ผมทำงานเป็นผู้ช่วยของเถ้าแก่เฉิง เรากำลังปรับปรุงตึกสองชั้นด้านข้างนี้ ในอนาคตจะเปิดเป็นกิจการห้องเต้นรำครับ”
หลินเซี่ยอธิบายกับผู้เฒ่าเฉินว่า “เถ้าแก่ใหญ่ของพวกเขาก็คือสหายพี่ชายที่สนิทกันกับเฉินเจียเหอ ชื่อเซี่ยไห่ คุณปู่คงรู้จักเขาใช่ไหมคะ?”
“เซี่ยไห่?”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้เฒ่าเฉินและผู้เฒ่าเซี่ยก็หันขวับมองหน้ากันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
จดจำอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ครั้งแรก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าเซี่ย เมื่อเขาได้ยินชื่อเซี่ยไห่ สายตาของเขาที่จับจ้องไปยังหลินเซี่ยก็ซับซ้อนราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง
ผู้เฒ่าเฉินแค่นเสียงพูดด้วยความโกรธ “หมายความว่าเซี่ยไห่กำลังจะเปิดห้องเต้นรำที่นี่เหรอ?”
หลินเซี่ยไม่คิดว่าผู้เฒ่าเฉินจะโกรธเป็นฟืนไฟขนาดนี้ เธอพยักหน้ารับเบา ๆ “นั่นคือเหตุผลที่เขาส่งลูกน้องให้มาคุมงานก่อสร้างแทนค่ะ”
“ทำไมไอ้หมอนั่นถึงทำกิจการลามไปทุกอย่างเลยนะ? ขายอาหารทะเลอย่างเดียวรายได้ยังไม่มากพออีกเหรอ? รายได้อย่างน้อยก็เพียงพอต่อค่าครองชีพแล้ว ยังคิดจะทำเรื่องให้มันยุ่งวุ่นวายอีก ได้ยินว่าเมืองเชินเฉิงก็มีการเปิดห้องเต้นรำเหมือนกัน อย่าบอกนะว่าเขาคิดจะขยายสาขาของกิจการมาที่ไห่เฉิงด้วย?”
“คุณปู่ อาจเป็นเพราะตอนนี้ห้องเต้นรำกำลังดัง เป็นที่สังสรรค์ยอดนิยมของคนหนุ่มสาว เลยอยากเปิดกิจการห้องเต้นรำเพื่อกอบโกยรายได้เพิ่มมั้งคะ”
เมื่อฟังเสียงก่อสร้างที่อึกทึกดังกึกก้องซึ่งดังมาจากร้านข้าง ๆ ผู้เฒ่าเฉินก็ตะคอกด้วยใบหน้าที่มืดมน “เป็นธุรกิจที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย ทหารผ่านศึกอย่างเขาไม่มีอะไรอย่างอื่นทำแล้วเหรอ เลยต้องทำกิจการพรรค์นี้เพื่อเอาใจหนุ่มสาว?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
คราวนี้เซี่ยเซี่ยตัดผมดีแล้วนะคะคุณตา
คุณปู่มีความฝังใจอะไรกับธุรกิจห้องเต้นรำหรือเปล่าคะ
ไหหม่า(海馬)