บทที่ 132 ฝากตัวเป็นศิษย์หลิงอวิ๋น
บทที่ 132 ฝากตัวเป็นศิษย์หลิงอวิ๋น
หลังจากทุกคนแนะนำตัวกันเป็นพิธี พวกเขาก็ได้ยินบรรพชนหอกกระแอมและกล่าวมาจากด้านหลัง “ลู่หยวน…”
ทุกคนล้วนทราบว่าบรรพชนหลิงอวิ๋นกำลังจะพูดกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนทั้งหลายยิ้มให้เขา ก่อนจะประสานมือคำนับแล้วถอยออกไป
หยางอวิ๋นยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาจับจ้องนิ่งที่อาจารย์และศัตรูคู่อาฆาต
อู๋เหลียงเหลือบมองลูกศิษย์ แล้วก้าวไปคว้าตัวเขาลากออกไปห่าง ๆ ขณะปากพร่ำว่า “ยินดีกับศิษย์น้องหยางอวิ๋นด้วย มีบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อยู่ในสายอาจารย์หลิงอวิ๋น ภายหน้าอนาคตของเจ้าไร้ขอบเขตแน่นอน!”
ไม่กี่อึดใจถัดมา ทั้งยอดเขาก็เหลือเพียงลู่หยวนและหลิงอวิ๋น
หลิงอวิ๋นสวมอาภรณ์แดงเยี่ยงเปลวเพลิง มองชายหนุ่มด้วยสายตาจริงจัง “ด้วยฝีมือเช่นเจ้า การเข้าร่วมสายข้าไม่เหมาะสมมากนัก เมื่อกลับสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะบอกเจ้าสำนักให้เจ้าไปอยู่ร่วมสายอาจารย์ท่านอื่น”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าใช้ยันต์ได้ดี เช่นนั้นไปอยู่ร่วมกับโถงยันต์จะดีกว่า…”
“อย่าเลย!”
ชายหนุ่มกล่าวขัดเสียงดัง “ข้าลั่นวาจาแล้ว เกลี้ยกล่อมไปก็เท่านั้น เมื่อบอกว่าจะให้ท่านเป็นอาจารย์ของข้า ก็ต้องเป็นท่าน บรรพชนไม่ต้องเกลี้ยกล่อมหรอก รับข้าเป็นศิษย์เหมือนทั่วไปก็พอ”
ด้วยเหตุผลบางประการ หลิงอวิ๋นรู้สึกเสมอว่าลู่หยวนมักพูดเหมือนตนเป็นอาจารย์ ขณะที่นางเป็นศิษย์
หลิงอวิ๋นถอนใจเบา ๆ “หากเป็นเช่นนี้ ก็เลยตามเลยเถิด”
“จะว่าไป เมื่อข้าจะฝากตัวเป็นศิษย์ร่วมสำนัก มีบางเรื่องที่ต้องบอกบรรพชนไว้”
ลู่หยวนเอามือไพล่หลัง “เรื่องที่หนึ่งคือ หวังว่าบรรพชนจะฝึกฝนอย่างหนัก พัฒนาต่อยอดวิชาหอกต่อไปได้”
“สอง ข้าไม่ชอบเสียงเอะอะ ขอให้บรรพชนจัดหาสถานที่ให้พำนัก ไม่ต้องตกแต่งหรูหรามากมาย แค่ปูพื้นด้วยหยกอุ่น มีโต๊ะคลุมไหมทองก็พอแล้ว”
“สาม ข้ามีแผนฝึกฝนของตนเอง บรรพชนไม่ต้องมอบหมายงานให้ข้า”
“สี่…”
หลิงอวิ๋นฟังลู่หยวนร่ายยาวข้อแล้วข้อเล่า หัวใจซึ่งเดิมสุขุมก็เริ่มปั่นป่วนรวนเร
นี่ศิษย์ข้าหรือ?
จากที่ว่ามา หากไม่รู้มาก่อน นางก็คิดว่าตนเองกราบกรานลู่หยวนให้มาเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ!
เส้นเลือดบนหน้าผากหลิงอวิ๋นปูดขึ้น นึกเสียใจว่าไฉนนางต้องคล้อยตามวาจาเจ้าสำนัก ตกลงเดิมพันเมื่อครู่ด้วย?!
ลู่หยวนร่ายยาวออกมาเจ็ดแปดข้อ ก่อนจะกล่าวว่า “เอาละ ตอนนี้เท่านี้แหละ ไว้คิดได้จะมากล่าวต่อ”
ยังมีอีกหรือ?!
แม้หัวใจของหลิงอวิ๋นจะสงบเงียบเยี่ยงน้ำนิ่งจากการบ่มเบาะนานปี แต่ยามนี้ก็ยังกระเพื่อมคลื่นไม่หยุด
นางรู้สึกอยากต่อยเขาสักหมัดจริง ๆ!
หลิงอวิ๋นสงบเกลียวคลื่นในใจลง “ลู่หยวน เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ไม่ใช่ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์! เจ้าพูดอะไรไม่ได้ ต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า!”
ว่าจบหลิงอวิ๋นก็ไม่ให้โอกาสชายหนุ่มพูดอีก นางและหอกยาวพลันจากไปทันที
ลู่หยวนมองแผ่นหลังที่อัดแน่นด้วยความหงุดหงิดของหลิงอวิ๋นพลางยกมุมปากขึ้น
ยามนี้ไม่ฟังกันก็ได้ เมื่อไปถึงสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขามีวิธีทำให้นางฟังแน่!
พริบตาต่อมา ร่างบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็วูบไหว กลับมาสมทบกับพวกพ้องอีกครั้ง
ยามนี้เมื่อพวกเขาถูกรับเข้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ก็ไร้ความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป
สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จัดการคัดเลือกศิษย์ในแดนเหนือเป็นเวลาสามวัน และสองสามวันจากนี้ ผู้ซึ่งยังไม่ได้เข้าร่วมก็ยังต้องอยู่ที่นี่เพื่อคัดเลือกศิษย์ต่อไป
หากบุคคลธรรมดาผู้ใดได้รับเลือก ตามหลักเหตุผลแล้ว พวกเขาก็ควรอยู่กับผู้อาวุโสในสำนัก และไปที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เมื่อจบการคัดเลือก
ทว่าลู่หยวนคือบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ เขาย่อมไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่อ รอรายงานตัวที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนมัชฌิมในสิบวันถัดมาได้เลย
บุตรศักดิ์สิทธิ์พาผู้ติดตามทั้งหมดกลับไปสำนักอักขระสวรรค์เพื่อเตรียมตัว
เมื่อกลับมาถึงสำนักอักขระสวรรค์ อู่หมิงเสวี่ยก็ยังเก็บตัวอยู่ ผู้อาวุโสในสำนักและผู้คุมกฎทั้งหลายล้วนออกมาต้อนรับ
ข่าวการบดขยี้บันไดสวรรค์ในสิบขั้นของลู่หยวนแพร่ไปทั่วแดนเหนือแล้ว และชื่อเสียงของตระกูลลู่กับสำนักอักขระสวรรค์ก็ถูกผลักขึ้นสูงลิบ
ทุกคนที่กล่าวถึงตระกูลลู่และสำนักอักขระสวรรค์ต่างต้องทอดถอนใจ คิดว่าคนผู้นี้คงเจิดจรัสไร้ผู้เทียบเทียมในรอบพันปีแน่แท้
ยามออกไปข้างนอก ผู้อาวุโสทั้งหลายในตระกูลลู่และสำนักอักขระสวรรค์ก็ยิ่งถูกชมเสียจนหน้าชื่นตาบาน ทั้งชมว่าที่นายน้อยสำเร็จได้เพียงนี้ก็เพราะผู้อาวุโสทั้งหลายสั่งสอนดีบ้าง สำนักอักขระสวรรค์จะสร้างความรุ่งโรจน์ได้อีกครั้งบ้าง
เดิมทีในใจพวกเขาไม่ชอบใจลู่หยวนอยู่ แต่ขณะนี้ ยิ่งมองลู่หยวน เขาก็ยิ่งชอบใจ
สำนักอักขระสวรรค์มีนายน้อยเช่นนี้ เกรงว่ายามเขาเติบโต สถานะของสำนักก็คงยิ่งใหญ่ขึ้นอีก และทั้งทรัพยากร ผลประโยชน์ และสถานะในดินแดนของพวกเขาก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้น
ลู่หยวนเห็นผู้อาวุโสในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายยืนยิ้มอยู่หน้าสำนัก และทันทีที่หยุดฝีเท้า พวกเขาก็เข้ามาต้อนรับกันอย่างอบอุ่น ชนิดที่ใกล้ชิดสนิทสนมกว่าศิษย์ตนเสียอีก
ชายหนุ่มทำเพียงกล่าวสองสามคำก่อนจะขอตัวกลับโถงหลักไปกับผู้ติดตาม
ไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หานไปพักที่ยอดเขาวิหคคราม
ในโถงหลักเหลือเพียงเทียนเม่ยเอ๋อร์ที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของลู่หยวน และจงซื่อกับเหิงอีเจี้ยนซึ่งยืนอยู่กลางโถง
ลู่หยวนกวาดตามองคนทั้งสองและกล่าวว่า “ข้าจะไปยังสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ในไม่ช้า พวกเจ้าไม่ต้องตามข้ามาแล้ว ไปหุบเขาบูรพาด้วยกันเถิด!”
บริวารทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะประสานมือคำนับพร้อมเพรียง “ขอนายท่านโปรดชี้แนะ!”
ลู่หยวนนำแผนที่ที่เขาคัดลอกจากเศษผ้าออกมา ปล่อยพลังวิญญาณและส่งมันให้ทั้งสอง
จากการคาดเดาของเขา เนื้อหาในแผนที่นี้น่าจะเป็นสถานที่อยู่ของเผ่ามังกร
ทว่า… จากวาจาของเทียนเม่ยเอ๋อร์ ขณะนี้มันกลายเป็นสถานที่อันตรายไปแล้ว และกระทั่งเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปโดยง่าย
สิ่งใดอยู่ในนั้น… โลกหล้าหารู้ไม่
“สถานที่ในแผนที่นี้คือหุบเขาบูรพา พวกเจ้าเตรียมตัวในสำนักอักขระสวรรค์สักพัก แล้วออกเดินทางไปยังจุดที่ข้าทำเครื่องหมายไว้เสีย”
ลู่หยวนนำยันต์สีทองสองแผ่นออกมาโยนให้ทั้งสอง “นี่คือยันต์เคลื่อนย้ายไร้ขอบเขต ช่วยพวกเจ้าหนีเอาตัวรอดจากยอดฝีมือขั้นจ้าวยุทธ์ได้ ใช้มันอย่างระวังล่ะ”
“จำไว้ว่าที่ข้าให้มันกับพวกเจ้าไป ไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้าหลับหูหลับตาพุ่งเข้าปะทะ แต่เพื่อหนียามพบเหตุอันตราย”
ทั้งสองรับยันต์มาแล้วคำนับลู่หยวน “รับบัญชานายท่าน! เราจะทำอย่างสุดความสามารถ!”
ลู่หยวนโบกมือไล่ทั้งคู่ไป ก่อนจะทอดกายลงบนเก้าอี้ใหญ่
เขาคำนวณเวลาแล้ว กุ่ยซู่น่าจะได้ข่าวจากเขา และพาชาวเผ่าภูตผีทั้งหลายไปตระกูลเสิ่นนานแล้ว
ตระกูลเสิ่นก็เป็นตระกูลชั้นนำแห่งหนึ่งในแดนเหนือเช่นกัน แม้ลู่หยวนจะลิดรอนพื้นฐานตระกูลส่วนใหญ่ไป แต่อุฐผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า พวกเขายังคงมีมรดกอยู่มากมาย
ยิ่งกว่านั้น ภายใต้คำสั่งของลู่หยวน ตระกูลเสิ่นก็เข้าสู่สถานะกึ่งปิดตัว และตระกูลชั้นนำอื่น ๆ แทบทั้งหมดก็ไม่เห็นตระกูลเสิ่นในสายตาอีกหลังรับรู้ถึงการตายของเสิ่นฉง และแทบจะเมินความเคลื่อนไหวของตระกูลเสิ่นกันแล้ว
เหตุเช่นนี้เหมาะสมยิ่งที่จะส่งเผ่าภูตผีไป!
เมื่อใช้มรดกที่เหลือของตระกูลเสิ่นหล่อเลี้ยงเผ่าภูตผี ตัวช่วยเบื้องหลังเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก!
แต่หากทำเช่นนี้ บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนต้องส่งคนไปคุ้มกันตระกูลเสิ่นด้วย! หาไม่ ยามผู้ใดไม่ดูตาม้าตาเรือไปโจมตีตระกูลเสิ่นเข้า มันจะส่งผลกระทบแง่ลบกับการบ่มเพาะของเผ่าภูตผี!
เมื่อคิดแล้ว ลู่หยวนก็นำยันต์แผ่นหนึ่งออกมา เขียนอักขระสองสามคำลงบนนั้น
จากนั้น แผ่นยันต์ก็สั่นไหว พุ่งทะยานสู่หุบเขาลึกอันเป็นฐานที่มั่นหลักตระกูลลู่ทันที