บทที่ 109 ยอมรับความจริง

เจ้าของร้านพิศวง

วินเซนต์โตขึ้นมาในสถานพำนักของนักบุญโรแลนด์ในโบสถ์แห่งจุดสุงสุดของเมืองหลวงนอร์ซินซอย 4

ที่นี่คือสถานพำนักที่ใหญ่เป็นลำดับสองในเมืองหลวงนอร์ซินและมีระบบการศึกษาที่ครอบคลุมในตัวเอง

สถานพำนักนี้รับเด็กกำพร้าที่มีพรสวรรค์มาฝึกฝนให้เป็นบาทหลวงและแม่ชีที่โดดเด่นของโบสถ์แห่งจุดสูงสุด หลังจากเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นมา พวกเขาก็จะถูกส่งไปที่สังฆมณฑลต่าง ๆ ที่ต้องการกำลังคน

ในเวลาเดียวกัน สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจริง ๆ ยังถูกตั้งขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ที่ไม่มีพรสวรรค์แต่แรกหรือเหล่าเด็กที่ถูกคัดออกระหว่างการเรียนรู้ได้รับการเรียนการสอนทั่วไปหลังจากลบความทรงจำเหนือธรรมชาติต่าง ๆ แล้วอีกด้วย

ในฐานะของบาทหลวงของแท้และดั้งเดิม วินเซนต์เป็นชายที่เรียนรู้เร็วมาก ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในศาสนศาสตร์ เขายังเก่งในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย

หนึ่งในวิชาสำคัญก็คือประวัติศาสตร์ของอาซีร์

เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ทั่วไปที่คนส่วนใหญ่รู้ วินเซนต์ได้เรียนรู้อดีตที่เหล่าบุคคลเหนือธรรมชาติซุกซ่อนไว้

ช่วงก่อนยุคที่สองจบลงและช่วงการสร้างกำแพงแห่งหมอกนั้นเป็นช่วงเวลาในตำนานโดยบริสุทธิ์

โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นเกิดขึ้นในยุคที่สาม ผู้ศรัทธาในดวงจันทร์จะได้รับพลังจากการเชื่อมต่อกับมัน พวกเขาคิดว่าดวงจันทร์คือตัวตนดั้งเดิมเพียงหนึ่งเดียวบนโลกที่เหลือรอดมาจนถึงตอนนี้ และเป็นสิ่งที่คอยควบคุมเหล่าเทพเจ้าในแดนนิมิตไม่ให้ออกมาก่อเรื่อง

ในขณะเดียวกัน ดวงอาทิตย์ก็ถูกดับลงในแดนนิมิตตั้งแต่ช่วงต้นยุคที่สอง ทำให้เกิดยุคมืดและการสูญสลายของเผ่ายักษ์ขึ้นทันที

ก่อนวันนี้ วินเซนต์เชื่อเสมอว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สองอย่างที่แตกต่างกัน

แม้ว่าอาจจะมีความเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองอยู่บ้างก็ตาม แต่ก็ไม่มากนัก เพราะถึงอย่างไร ดวงอาทิตย์ก็ถูกดับไปแล้ว แต่แสงจันทร์ยังคงส่องสว่างแก่โลกและมอบความแข็งแกร่งแก่ผู้ศรัทธาอย่างเป็นนิรันดร์

จนกระทั่งตอนนี้…

เขาได้เห็นตราศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเปล่งแสงพ้องกับหนังสือชื่อคัมภีร์ตะวันราวกับทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเดียวกันด้วยตาตนเอง

‘ความศักดิ์สิทธิ์’ ที่ทะลักออกมาจากหนังสือส่งผ่านความอบอุ่นที่ไม่อาจต้านทานได้และพลังที่ชำระล้างทุกความไม่สบายในร่างของเขาออกไป

วินเซนต์เองก็สามารถสัมผัสได้ลาง ๆ ว่ามันได้ปกครองพลังของเขาเองไปแล้ว

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นกับวัตถุเหนือธรรมชาติที่อัครสาวกลำดับ 7 แนะนำไว้ว่าเป็น ‘ตัวช่วยทำสมาธิและทางที่จะเสริมการเชื่อมต่อระหว่างคนกับดวงจันทร์ได้’ นี้

วินเซนต์สับสนอย่างเต็มเปี่ยมและไม่กล้าเปิดหนังสือในมือเขา ทว่าความเคลือบแคลงในตัวเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อะไรกันแน่ที่ผิดไป? เขาควรทำอะไรในตอนนี้?

โดยไม่รู้ตัว เขาก็มองขึ้นไปที่คนผู้เดียวที่สามารถนำทางเขาได้ในตอนนี้

ภายใต้แสงสลัว เจ้าของร้านหนังสือเผยรอยยิ้มบาง ๆ อันลึกลับออกมา “ไม่ต้องห่วงครับ ไม่จำเป็นต้องสับสนเลย คุณพ่อครับ คุณจะได้ค้นพบคำตอบของคุณเองจากหนังสือเล่มนี้ แล้วหาแสงสว่างที่เป็นของคุณเท่านั้นได้”

“แล้วก็ ทุกคำถามของคุณก็จะได้รับคำตอบไปเอง ตราบใดที่คุณเต็มใจและมุ่งมั่นจะหามัน ผมเองก็จะช่วยคุณด้วยนะครับ”

สำหรับเรื่องนี้แล้ว ผู้เสียหายก็คือบาทหลวงตรงหน้าเขา การตัดสินใจว่าจะสืบความจริงหรือไม่นั่นก็ยังอยู่ที่เขา

โบสถ์แห่งจุดสูงสุดนั้นทรงพลังและมีความเชื่อมั่นในบาทหลวงผู้นี้อย่างมาก

หลินเจี๋ยไม่คิดว่ามันแปลกเลย ต่อให้บาทหลวงผู้นี้จะเลือกสละผลประโยชน์หรือความปลอดภัยส่วนตน แม้ว่าความเชื่อมั่นของเขาเองจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ก็ตาม

ทว่านี่คือพื้นฐานทางจิตวิทยาที่หลินเจี๋ยตั้งไว้ จากการสังเกตของเขาในตอนนี้แล้ว บาทหลวงตรงหน้าเขาดูไม่เหมือนคนแบบนั้น ในทางกลับกัน เขาดูจะแก้ปัญหาอารมณ์ของเขาไม่ได้และดูทำอะไรไม่ถูก ทว่าหนังสือนั้นถูกเขากุมไว้แน่น ซึ่งหมายความว่าตัวเขาไม่มีเจตนาจะวางมันลงเลย

นี่หมายความว่าลึก ๆ แล้ว ตัวเองตัดสินใจได้แล้ว และต้องการเพียงใครสักคนที่จะนำทางให้เขาเท่านั้น

บาทหลวงผู้มักจะนำทางผู้อื่นก็ต้องการใครสักคนชี้ทางสว่างเมื่อความเชื่อของเขาเองสั่นคลอน

แล้วหลินเจี๋ยก็คือผู้นำทางที่เขาหวังจะมี ทั้งลึกลับ ทรงอำนาจ และเด็ดเดี่ยว

วินเซนต์ย้อนนึกถึงความประทับใจต่อเจ้าของร้านหนังสือในใจแล้วพยายามเดาจุดประสงค์ของเขา

หากเจ้าของร้านหนังสือเป็นอมตะและอยู่รอดมาตั้งแต่ยุคที่สองจริง เขาก็น่าจะเคยผ่านยุคสมัยในตำนานนั้นมาจริง ๆ หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของตำนานเหล่านั้นก็ได้

นั่นก็จะหมายความว่าตัวตนของเขาเก่าแก่ยิ่งกว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุด การดับของดวงอาทิตย์ การตายของเผ่ายักษ์…และกระทั่งความรุ่งโรจน์ของมนุษยชาติ เป็นไปได้ว่าเจ้าของร้านหนังสือได้เป็นสักขีพยานต่อเรื่องทั้งหมดนี้

เขาจะต้องรู้ความจริงเกี่ยวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อย่างดีเกินพอแน่ และหนังสือเล่มนี้ คัมภีร์ตะวัน ก็คือหลักฐาน

เจ้าของร้านหนังสือได้ให้หนังสือเล่มนี้ แล้วขอให้วินเซนต์ค้นหาแสงสว่าง

หรือ…หรือว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ในการ ‘เคลียร์เรื่องราวให้กระจ่าง’ สำหรับประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยวนี้?

วินเซนต์ผงะไปกับความคิดนี้ แต่เขาก็พบว่ามันดูมีน้ำหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคิดถึงมัน

ไม่อย่างนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจะมาเสวนากับบาทหลวงธรรมดาอย่างวินเซนต์จนถึงขั้นจงใจนำเขามาที่นี่กันล่ะ?

จริงสินะ คำขอของเจ้าของร้านข้าง ๆ จะต้องเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าของร้านหนังสือวางแผนไว้แล้วแน่

วิธีที่ทั้งเป็นธรรมชาติและเป็นความลับเพื่อลวงวินเซนต์มาคุยกันที่นี่ก่อนจะส่งหนังสืออักษรลิ่มนี้ ดูราวกับว่าเขาแค่กำลังล้อเล่นกับเส้นด้ายแห่งชะตากรรม

วินเซนต์อ้าปากค้างอย่างเงียบ ๆ ตัวตนอันยิ่งใหญ่พวกนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ

วินเซนต์รู้สึกว่าการปฏิเสธในสถานการณ์นี้มันหมายความว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณที่ติดกับอยู่ในการ์กอยล์หิน ไม่ก็เป็นปุ๋ยของกุหลาบนั่น

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการสนทนาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้คือคำเตือนล่วงหน้า

หรือก็คือ…ไม่มีตัวเลือกอื่น

อีกอย่างตอนนี้ ความต้องการคำตอบที่เข้มข้นและความต้องการรู้เรื่องทั้งหมดให้ลึกของเขานั้นรุนแรงเกินไปแล้ว!

ความศรัทธาของเขา แท้จริงคือเถ้าธุลีของดวงอาทิตย์ หรือเทพเจ้าจอมปลอมที่ช่วงชิงพลังไปกันแน่?

แล้วอะไรคือเหตุผลที่โบสถ์อนุญาตให้เกิดการแพร่หลายของสารที่ทำให้เกิดภาพหลอนนี้กัน?

การรับคัมภีร์ตะวันมานั้นเหมือนการรับความจริงส่วนหนึ่งมา

บาทหลวงผ่อนลมหายใจช้า ๆ กำคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ไว้แน่น เขาพูดอย่างมุ่งมั่น “เข้าใจแล้วครับ เป็นเกียรติของผมที่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณ ความปรารถนาเดียวของผมก็คือการรู้ความจริง”

ความมุ่งมั่นที่บาทหลวงผู้นี้แสดงออกไม่ได้ผิดไปจากการตัดสินของหลินเจี๋ยเลย

“การเข้าใจจุดนี้ได้คือหลักฐานว่าหัวใจของคุณได้เลือกเส้นทางแล้ว ยอดเยี่ยมครับ” หลินเจี๋ยพยักหน้าพูด

“แต่ว่า คุณยังมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องทำ คุณต้องพึ่งพาตัวเองถ้าอยากจะรู้ความจริงนะครับ” หลินเจี๋ยพูดต่อ

เพราะถึงอย่างไร หลินเจี๋ยก็ไม่ได้เข้าใจโบสถ์แห่งจุดสูงสุดลึกล้ำนัก และคงดีกว่าถ้าจะให้อีกฝ่ายรบในศึกของตัวเอง

แต่ตอนนี้เรื่องนี้ดูยิ่งซับซ้อนหนักกว่าเก่าแล้ว เมื่อมันลากหอการค้าแอชเข้ามาเกี่ยว

แต่ว่ามันไม่ได้มีทางแก้เพียงทางเดียว และคงจะดีกว่าปล่อยให้บาทหลวงสืบทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียว

เพราะถึงอย่างไร จากความเข้าใจของหลินเจี๋ยต่อเชอร์รี่ เธอก็ดูไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะฉะนั้นมันก็หมายความได้ว่าใครสักคนในนั้นอาจพยายามทำลายชื่อเสียงของหอการค้าแอชอยู่

หลินเจี๋ยเชื่อว่าเชอร์รี่คงสนใจเรื่องนี้

หลินเจี๋ยเท้าคางกับฝ่ามือแล้วพูดขึ้น “ผมจะถามเชอร์รี่ให้ว่าแก่นจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ล็อตนี้มีปัญหาอะไรนะครับ”