บทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น

บทที่ 139 ลอกคราบเติบโตขึ้น

แม้กระทั่งแม่ทัพเฒ่าเซี่ยผู้หนักแน่นมั่นคง หลังจากได้ลองกินแตงโมขององค์ชายรองครั้งก่อน ยามนี้ก็ยังทำหน้าไม่อายมาขอส่วนแบ่งอีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ ทางแดนพายัพนั้นผืนดินค่อนข้างแห้งแล้ง เพาะปลูกเสบียงอาหารยังนับว่ายาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปลูกผลไม้เลย

เซี่ยสุยอันแย้มยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เกาศีรษะแล้วนั่งลงเงียบ ๆ

มุมปากของหนานกงฉีโม่กระตุก หลังจากอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้มาพักใหญ่ ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มียางอายกันสักนิด

ที่แห่งนี้ไม่มีแนวคิดเรื่องการปฏิบัติตัวอย่างสุภาพชน บุคลิกนิสัยแต่ละคนล้วนหยาบกระด้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าทหารผ่านศึกในกองทัพ

หากเอ่ยเรื่องธรรมเนียมมารยาทและความเป็นสุภาพชนกับพวกเขา พวกเขาก็จะกลอกตาแล้วถามกลับว่า สิ่งนี้สามารถทำให้อิ่มท้องได้หรือไม่?

ใช่แล้ว เหล่าทหารชั้นสูงทั้งหมดในกองทัพต่างกังวลปัญหาเดียวกัน

เพราะมีคนจำนวนมากมายอยู่ใต้บัญชาของพวกเขา เช่นนั้น แล้วจะทำอย่างไรให้คนเหล่าสามารถกินอิ่มท้องได้

แล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถหาหญ้าดี ๆ มาเลี้ยงเหล่าม้าศึกได้

อาวุธยุทโธปกรณ์เองก็ต้องเปลี่ยนให้ใหม่สุด เพื่อให้รักษาชีวิตได้มากที่สุด

นี่คือปัญหาที่พวกเขาต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน พวกเขาต่างต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ มีแค่คนที่ไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยในชีวิตตนเอง สามารถกินอิ่มนอนหลับทุกวัน จึงจะคิดคำนึงถึงปัญหาเรื่องมารยาทและความเป็นสุภาพชนได้

หนานกงฉีโม่ไม่ได้เห็นแย้งกับแนวคิดนี้ แต่ก็ยอมรับว่ามีเพียงการใช้คุณธรรมคุมคนเท่านั้นจึงจะสามารถปกครองแผ่นดินได้ดีกว่า

เพียงว่าพวกเขาเติบโตมาในสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้การศึกษาและแนวคิดที่ได้รับมาไม่เหมือนกัน

การได้ออกมาสัมผัสประสบการณ์ในครั้งนี้ ทำให้หนานกงฉีโม่ได้ออกมาจากรั้วพระราชวังอันแสนสุขสบาย สัมผัสประสบการณ์ที่ชีวิตราวกับอยู่บนเส้นด้าย ทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย

ชายหนุ่มเติบโตขึ้นไม่น้อย ผิวพรรณก็คล้ำเข้มขึ้น ความเดียงสาที่มีเหลืออยู่เล็กน้อยก็เลือนหายไปสิ้น ใบหน้าที่งดงามอย่างถึงที่สุดขับเน้นความน่าเกรงขามให้เด่นชัด

เขายังชื่นชอบการสวมอาภรณ์สีแดงเช่นเคย ทุกครั้งที่ควบม้าวิ่งไปบนทุ่งหญ้า เปรียบประหนึ่งดวงตะวันโผล่พ้นฟ้าเคลื่อนตัวผ่าน ทั้งยังกลายเป็นทัศนียภาพอันงดงามของกองทัพอีกด้วย

หนานกงฉีโม่กำลังลอกคราบเติบโต คนในกองทัพเองก็ค่อย ๆ ยอมรับในตัวเขา

ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนจริง ๆ ว่าองค์ชายรองที่มีร่างกายผอมบางดูอ่อนแอ จะสามารถยืนหยัดฝึกฝนตอนเช้ากับพวกเขามาได้ทุกวันจนกระทั่งถึงตอนนี้

ผู้ที่ขยันขันแข็งมุ่งมานะย่อมควรค่าแก่การเคารพเลื่อมใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายรองที่ไม่เคยวางท่าดูแคลนผู้อื่น แตกต่างจากเหล่าคุณชายชนชั้นสูงแสนยโสและชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามที่พวกเขารู้จัก

แม้ว่าเขาจะยังมีความผยองหยิ่งทระนงตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นหน่ายใจ

กระทั่งแม่ทัพเฒ่าเซี่ยเองก็ชื่นชมเขามากขึ้น ๆ ทุกครั้งที่มีการประชุมทางการทหารก็ไม่คิดหลบเลี่ยงเขาอีก

และในการประชุมครั้งนี้

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโชคดีไม่น้อย บังเอิญของจากเมืองหลวงส่งมาให้องค์ชายรองพอดิบพอดี

นี่จะต้องถูกส่งมาโดยองค์หญิงน้อยอย่างแน่นอน ตั้งแต่มาถึงเมืองชายแดนทางทิศพายัพก็มีสิ่งของส่งมาให้องค์ชายรองเป็นประจำ บางครั้งก็มีจดหมายแนบติดมาด้วย บางครั้งก็เป็นคนจากสำนักคุ้มภัย*[1]ที่มาส่ง

ทุกครั้งที่ของจากองค์หญิงน้อยมาส่ง ผู้คนที่พบเห็นจำนวนมากต่างพากันอิจฉาตาร้อนกับความสัมพันธ์อันดียิ่งของพี่น้อง

เมื่อนำของเหล่านั้นเข้ามาแล้ว แม่ทัพเฒ่าเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็ตาลุกวาวยามได้เห็นแตงโมผลใหญ่นับสิบลูก

เซี่ยสุยอัน “ว้าว! ครั้งนี้ส่งมาจำนวนมากถึงเพียงนี้ เรียกว่าแตงโมใช่หรือไม่?”

ครั้งก่อนมีเพียงสองลูกเท่านั้น เมื่อเหล่าแม่ทัพน้อยใหญ่แบ่งกันกิน แต่คนล้วนได้รับไปเพียงชิ้นเล็ก ๆ ด้วยปากใหญ่ ๆ ของพวกเขา เพียงแค่คำเดียวก็กินหมดแล้ว ยังไม่ทันจะได้ดื่มด่ำเลยด้วยซ้ำ!

ตอนนี้ได้เห็นแตงโมผลใหญ่ถึงสิบลูก จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร!

“ฮ่าฮ่าฮ่า…ช่างใจกว้างมากเสียจริง องค์ชายรองให้ข้าพูดเถิด ไม่มีน้องสาวของผู้ใดรักพี่ชายได้มากเท่านี้อีกแล้ว ถึงกับส่งของจำนวนมากมาให้ท่านประจำเช่นนี้ ผู้ใดกันในค่ายทหารของพวกเราจะไม่อิจฉาท่าน”

องค์ชายรองช่างโชคดียิ่งนัก ถึงได้มีน้องสาวที่รักพระองค์ถึงเพียงนี้

เหตุใดพวกเขาจึงไม่มีน้องสาวที่รักและคอยส่งของมาให้เป็นประจำเช่นนี้บ้าง

บนใบหน้าของหนานกงฉีโม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น แววตาที่มองไปยังแตงโมเหล่านั้นอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง

เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าจะจากกันไกลถึงเพียงนี้ แต่เสี่ยวเป่าก็ยังคงส่งของจำนวนมากมาให้เขาเป็นประจำ

ชายหนุ่มเก็บแตงโมเอาไว้ให้ตนเองสองลูก ส่วนที่เหลือนำไปแจกจ่าย

ยกเว้นครอบครัวแม่ทัพเซี่ยที่คว้าแตงโมไปหนึ่งผลโดยไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปแย่ง คนอื่น ๆ ต่างต้องมาฉกชิงแตงโมอีกเจ็ดลูกที่เหลืออยู่

“เอาล่ะ ผู้ใดชนะผู้นั้นจะได้ไป!”

วิธีแก้ไขของพวกเขาเรียบง่ายและมุทะลุเป็นอย่างยิ่ง

ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คนมีจำนวนมากไป แต่แตงโมมีน้อยนัก จึงไม่มีวิธีแก้ไขโดยไร้ปัญหา!

“บัดซบ ไอ้เด็กนี่เล่นลูกไม้โจมตีข้า!”

“เหอะ…นี่เรียกว่ารอจังหวะบุกโจมตีต่างหาก”

“ไว้หน้าข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าต้องไปหาว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคต พี่น้องอย่างพวกเจ้าก็มอบแตงโมลูกหนึ่งเอาไว้ให้ข้าใช้เอาใจว่าที่ลูกสะใภ้หน่อยเถิด”

“เหอะเหอะ เจ้ามีว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว พวกข้ายังไม่มี ผู้ใดกันแน่ที่น่าสงสารกว่า?”

เหล่าชายรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงราวกับหมีเปิดศึกแย่งชิงกันจนแทบพังยับเยิน ภาพที่เห็นนั้นงดงามเกินไปจนไม่อาจทนดูได้

มุมปากของเซี่ยสุยอันกระตุก ทว่าเมื่อเห็นแตงโมผลใหญ่ที่ผู้เป็นบิดาถืออยู่ก็หัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยบ้านเขาก็มีแตงโมผลใหญ่อยู่หนึ่งลูก เมื่อนำกลับไปแบ่งกันแล้วยังได้กินคนละหนึ่งชิ้นใหญ่

หนานกงฉีโม่มองฉากนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเบนสายตากลับมามองของสิ่งอื่นที่เสี่ยวเป่าส่งมาด้วย

เสื้อขนสัตว์ มีดสั้น คันธนู….

เขามีความรู้สึกว่าเสี่ยวเป่าไม่น่าจะใช่ผู้ที่ส่งของเหล่านี้มา

จนกระทั่งสิ่งสุดท้ายที่ถูกห่อไว้ในผ้าอย่างระมัดระวังถูกหยิบออกมา นี่ทำให้หนานกงฉีโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง

เขาหยิบตุ๊กตาที่อยู่ด้านในออกมาด้วยความระมัดระวัง ตุ๊กตาตัวน้อยกำลังถือเฉ่าเหมยยืนมาด้วยรอยยิ้มร่า หนานกงฉีโม่มองแล้วราวกับได้ยินเสียงนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าแว่วออกมา

‘พี่รอง ให้ท่านกิน’

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเพียงแค่ตุ๊กตาที่ไร้ชีวิต

แต่มันเหมือนจนเกินไป

หนานกงฉีโม่ใช้นิ้วจิ้วลงไปเบา ๆ บนใบหน้าที่ขาวราวหิมะ

น่าเสียดายที่สัมผัสนั้นไม่เหมือนกับน้องหญิงของเขา

แต่สายตาของหนานกงฉีโม่ที่จับจ้องไปยังตุ๊กตาเหมือนเสี่ยวเป่า ก็เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูจากก้นบึ้งของหัวใจ

นี่เป็นของขวัญที่ส่งตรงเข้าไปถึงหัวใจของเขาอย่างจัง

เซี่ยสุยอันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็เห็นเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขามีความประหลาดใจ

“นี่…” จะเหมือนเกินไปแล้ว ปรมาจารย์ท่านใดกันที่ทำขึ้นมา!

“ตรงขากับแขนยังขยับได้ด้วย”

หนานกงฉีโม่เก็บตุ๊กตาทันทีไม่ยอมให้เขาจับ จากนั้นก็หยิบเมล็ดพันธุ์ที่ถูกห่อไว้ออกมา แต่ละห่อล้วนเขียนชื่อของพืชแต่ละชนิดเอาไว้

เมล็ดแตงโม เมล็ดเฉ่าเหมย เมล็ดมะเขือเทศ เม็ดผักกาดขาว เมล็ดหูหลัวปัว…

มีทั้งเมล็ดผักและผลไม้ ทั้งยังเขียนเวลาและวิธีที่ควรหว่านเมล็ด รวมถึงสิ่งที่ต้องดูแลให้ความใส่ใจระหว่างการเจริญเติบโตอีกด้วย

แม้ว่าลายมือจะไม่ใช่ของเสี่ยวเป่า แต่ข้อความเหล่านั้นจะต้องเป็นเสี่ยวเป่าที่เอ่ยบอกอย่างแน่นอน

มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้เรื่องพืชพรรณมากถึงเพียงนี้ กระทั่งผู้ที่ทำการเพาะปลูกมานานหลายปียังไม่อาจเทียบนางได้

“ยังมียาอีกด้วย!”

ดวงตาของเซี่ยสุยอันเป็นประกายเมื่อเห็นขวดยาเหล่านั้น กระทั่งสายตาของแม่ทัพเฒ่าเซี่ยยังถูกเสียงของเขาดึงดูดให้มองมา

ก่อนหน้านี้ ยาลูกกลอนที่หนานกงฉีโม่เคยได้รับมานั้น นับว่ามีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง!

[1] สำนักคุ้มภัย (镖局) หมายถึง เป็นสำนักสมัยโบราณที่รับจ้างคุ้มกันคนหรือสิ่งของยามเดินทางได้