บทที่ 127 หรือจะเกี่ยวข้องกัน

“เสี่ยวชิง…..”

เป็นอีกครั้งที่มีเสียงเพรียกคล้ายกับจะลอยมาจากอีกโลกหนึ่งลอยเข้ามา คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงพลันเปิดเปลือกตาขึ้น ความง่วงเหงาหาวนอนมลายหายไปสิ้น

นางไม่เคยสะดุ้งตื่นจากฝันมานานแล้ว นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่นางได้ยินเสียงนั้น

ชิงอวี่ขมวดคิ้วก่อนจะนวดหัวปวดตุบ ๆ ของตน จากนั้นเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกมืดสนิท เพิ่งจะผ่านยามโฉ่ว (ช่วงเวลา 1.00-2.59 น.) ไปไม่นานเท่านั้น

ในเมื่อนางตื่นแล้วจึงไม่คิดกลับไปนอนอีก คิดจะทบทวนวิชาฝังวิญญาณอีกสักหน่อย พลันที่หูก็ได้ยินเสียงเบาสายหนึ่งผ่านเข้ามา นัยน์ตานางพลันเฉียบคม ใครกันที่เข้ามายามวิกาลเช่นนี้?

ศาลากลางน้ำถูกสร้างไว้ที่ใจกลางเรือนทางเหนือของจวนหย่งอันอ๋อง มันไร้สะพานเชื่อมต่อจากฝั่ง ต้องพายเรือลำเล็กผ่านธารน้ำกว้าง เชยชมทิวทัศน์งามของธารน้ำใส ดอกบัวและไม้น้ำมากมายเบ่งบานเติบโตอยู่งามตานัก

ค่ำคืนมืดมิดเงียบสนิท พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ากระจ่าง ผิวทะเลสาบที่ควรจะเรียบสงบในยามนี้กลับกระเพื่อมเป็นวงกว้างอยู่เป็นระยะ บางครั้งก็มีฟองลอยขึ้นมา

“เจออะไรหรือไม่? เร่งมือหน่อย! หากเช้าแล้วคนเห็นเข้าคงไม่ดีนัก” คนที่กำลังเอนร่างพิงราวบันไดอยู่ในศาลากลางน้ำเอ่ยเสียงกระซิบ

ไม่มีเสียงตอบกลับในทันที ในตอนที่คนผู้นั้นคิดจะเอ่ยคำขึ้นมาอีก เสียงน้ำก็ดังขึ้น ก่อนจะมีหัวคนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ น้ำเสียงหอบเอ่ยขึ้นในพลัน “ทะเลสาบนี่ลึกเกินไป ดำลงไปตั้งนานแล้วยังไม่อาจเห็นก้นทะเลสาบเลย”

“แล้วเห็นอะไรบ้างหรือไม่?”

“นอกจากปลา กุ้ง และโคลนตมแล้วยังจะมีอื่นใดอยู่อีกเล่า? ข้าว่าเจ้านั่นคงหลอกพวกเราเล่นกระมัง” คนในน้ำเอ่ยเสียงโกรธเคือง ตวัดสายตาคมไปยังคนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่บนศาลา

หากมองดูไม่ดีอาจไม่เห็นกระทั่งว่ามีคนผู้หนึ่งนอนหลับอยู่ในศาลาด้วยซ้ำ

ได้ยินแล้ว คนที่เอนร่างพิงราวบันไดก็มุมปากกระตุกยิก ๆ หรือจะถูกหลอกจริง ๆ กันนะ?

พวกเขาวิ่งวุ่นทำงาน ส่วนเจ้านั่นกลับเอาแต่นอนอย่างกับหมู บอกแค่ตำแหน่งแต่ไม่ลงแรง แต่ที่สำคัญคือตำแหน่งที่บอกมาน่ะมันใช่แล้วหรือ

“ช่างเถอะ เจ้าขึ้นมาก่อน ข้าจะลงไปตรวจดู”

คนที่อยู่ในน้ำตอบตกลง จากนั้นกระโดดพุ่งขึ้นจากน้ำ เท้าแตะที่พื้นศาลาในพลัน

แม้จะแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน แต่บนชุดบนผมกลับไร้น้ำสักหยด ดูท่าทางสะอาดสะอ้าน เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจทำได้

เสียงจ๋อมดังขึ้นจากในบ่อ คนที่ยืนอยู่บนศาลาเมื่อครู่กระโดดลงน้ำไปแล้ว พริบตาเดียวก็จมลงไปไม่เห็นตัวคนอีก ผิวน้ำค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบนิ่งดังเดิม

คนที่นอนหลับสบายอยู่ในมุมศาลาขยับเล็กน้อย คล้ายกับจะถูกเสียงน้ำปลุกให้ตื่น หาวอย่างเกียจคร้านออกมาทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่ง นัยน์ตายังปรืออยู่ พลันเอ่ยถามขึ้น “ยังไม่เจอหรือ?”

“น้ำลึกมาก ข้าไม่ชินกับน้ำเท่าหรืออยู่ในน้ำนานเช่นเขาไม่ได้ เขาเลยลงไปดูแทน”

“อ้อ งั้นหรือ…..” หาวนอนอีกหนึ่งหวอดแล้วเขาก็กลับไปนอนดังเดิม

“พวกท่านมาทำอะไรกัน?” น้ำเสียงเย้ายวนเจือแววเย็นยะเยือกดังลอยมา ส่งผลให้คนได้ยินอดขนลุกเกรียวไม่ได้

ยังไม่ทันได้ตกสู่ห้วงนิทราเขาก็มีอันต้องรู้สึกสะท้านสันหลังเย็นวาบ ร่างทั้งร่างแข็งค้าง แล้วค่อย ๆ หันมามองยังต้นเสียง

ที่ฝั่งตรงข้ามของศาลากลางน้ำ เด็กสาวในชุดเสื้อคลุมตัวในสีขาวราวหิมะยืนนิ่งอยู่ ผมยาวสยายเคลียแผ่นหลังดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าเล็กงดงามจับตา นัยน์ตาหงส์หรี่ลง จ้องมองพวกเขาด้วยความระแวดระวัง คล้ายกับกำลังคิดว่าพวกเขาคิดทำการใดกันแน่

เขาพลันส่งยิ้มแปยให้นาง ก่อนจะยกมือขึ้นโบกทักทาย “แม่นางน้อย ไม่ต้องกลัวไป เป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น”

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว คนผู้นี้….. คือชายชุดเทาที่อยู่กับพวกโหลวจวินเหยาไม่ใช่หรือ? กลางค่ำกลางคืนไม่คิดนอน แต่กลับลอบเข้ามายังจวนหย่งอันอ๋องแทนงั้นหรือ??

เขาไม่เคยเห็นสายตาไม่เป็นมิตรจากนางเช่นนี้มาก่อน ดูท่านางจะคิดว่าพวกเขาไม่ได้มาดี

ในตอนที่กำลังเค้นสมองหาคำอธิบายอยู่นั้นเอง ที่ผิวน้ำก็บังเกิดฟองอากาศคล้ายกับจะมีใครบางคนกำลังจะขึ้นมาเหนือน้ำ

ทันใดนั้นเขาก็คิดบางอย่างออก แอบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือแล้วผลักคนด้านข้างที่เพิ่งจะขึ้นจากน้ำได้ไม่นาน กำลังก้มมองผิวน้ำอยู่ ให้ร่วงตกลงไปในน้ำ เขาพลันร่วงลงไปกระแทกร่างคนที่กำลังจะขึ้นมาเหนือน้ำพอดิบพอดี ส่งผลให้คนทั้งคู่สำลักน้ำอึกใหญ่ด้วยความตกใจ

ชายชุดเทาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “วันนี้อากาศร้อนเกินไป สองคนนี้เลยนอนไม่หลับ ได้ยินมาว่าบ่อน้ำที่นี่เย็นจัดนัก จึงลากข้ามาที่นี่มาแช่น้ำกันสักหน่อย….. ฮะ ๆ….. ไม่มีอะไรหรอก….. พวกเราคงทำแม่นางตื่น เจ้ากลับไปนอนต่อเถอะ อีกเดี๋ยวเราก็ไปแล้ว”

ชิงอวี่ “…..”

คนสองคนในน้ำที่เกือบสำลักน้ำตาย “…..”

ใครลากเจ้ามาแช่น้ำ? โกหกตาไม่กะพริบ! เป็นเจ้าต่างหากที่ไม่ยอมให้คนอื่นหลับนอน ลากพวกเขามาทรมาทรกรรมเช่นนี้

ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็มุมปากกระตุกเล็ก ๆ ก่อนเอ่ยถามเป็นเชิงสงสัย “เกือบจะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ยามราตรีอากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ พวกท่าน….. มาที่นี่เพื่อแช่น้ำเล่นจริงหรือ?”

เขาคิดว่านางโง่หรือไร?

รอยยิ้มชายชุดเทาพลันแข็งค้าง แม่นางน้อยนี่…..หลอกยากจริง

แต่เจ้าไป๋จือเยี่ยนบอกไว้ว่าห้ามให้แม่นางน้อยรู้เด็ดขาด แม้นางจะเจอพวกเขาก็ห้ามบอกความจริง แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องลับ ๆ ล่อ ๆ ทำเช่นนี้ แต่ไป๋จือเยี่ยนปกติฉลาดมีไหวพริบ คิดวาดแผนรอบคอบ ดังนั้นสิ่งที่ว่าไว้คงไม่ผิดหรอก

“แม่หนู ข้าบอกตามตรงเลยก็แล้วกัน!” ชายชุดเทาพลันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจัง

“หือออ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว ดูท่าจะสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดพูดสิ่งใด

ชายชุดเทาลังเลชั่วครู่คล้ายกับเป็นเรื่องที่ดูน่าอาย ชั่วครู่ใหญ่ ๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาได้ “เจ้าสองคนตรงนั้น….. ถูกศัตรูลอบใช้แผนชั่ว ถูกยาปลุกกำหนัดอย่างแรงเข้า ผลรุนแรงนัก ข้าคิดจะหาสตรีให้พวกเขาจะได้แก้ผลยา แต่นายท่านจับตามองพวกเราอยู่ทุกฝีก้าว ไม่ให้พวกเราไปมั่วสตรีที่ไหน ข้าไร้ทางเลือกจึงได้แต่พาพวกเขามาแช่น้ำเย็นสงบจิตสงบใจที่นี่ ฤทธิ์ยาหมดเมื่อไรก็ดีขึ้นเอง”

คนที่อยู่ในน้ำทั้งสองถูกกล่าวหาอีกครา “…..”

เหตุใดพวกเขาจึงต้องออกมาทำภารกิจกับเจ้านี่ด้วย? แล้วยังถูกใส่ร้ายเรื่องเช่นนี้อีก!?

บัดซบจริง….. ทนจะไม่ไหวแล้ว อยากต่อยคน!

ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย พลันเผยยิ้มลึกลับออกมา “เช่นนั้นหรือ? พาพวกเขาขึ้นมาเถอะ ข้าฝังเข็มสลายพิษให้ไม่เท่าไรพวกเขาก็หายดีแล้ว แช่น้ำเย็นเช่นนั้นยามค่ำเช่นนี้ไม่ดีต่อร่างกายนะ”

คำพูดเป็นห่วงเป็นใยของแม่นางน้องทำเอาชายหนุ่มทั้งสองอยากร่ำไห้ แม่นางน้อยผู้นี้จิตใจงดงามสมดั่งใบหน้า…..

หากแต่พริบตาต่อมา คำของชายชุดเทาก็แทบทำอารมณ์พวกเขาระเบิด!

พวกเขาได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะชั่วร้าย จากนั้นโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ๆ พวกนี้หนังหนายังกับช้าง แช่ในน้ำก็มีความสุขดี เจ้าไม่ต้องไปห่วงพวกเขาหรอก จริง ๆ นะ เจ้ากลับไปเถอะ ข้ารับรองได้ว่าพวกเขาไม่ทำเรื่องชั่วช้าที่นี่แน่”

เจ้านั่นล่ะที่หนังหน้าเสียยิ่งกว่าช้าง! จะมีใครลื่นไหลหน้าไม่อายได้เช่นเจ้าบ้าง!!

หากจ้องคนแล้วสามารถฆ่าคนได้ ชายชุดเทาก็คงตายเป็นพันครั้งไปแล้ว

ชิงอวี่ได้ยินก็ไม่คิดเซ้าซี้ เพียงแต่เลิกคิ้ว “อยากทำอะไรก็ทำแล้วกัน!”

จนกระทั่งร่างของเด็กสาวเดินห่างไปจนลับตา ชายชุดเทาก็ถอนหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันกลับไปมองคนทั้งสองที่สายตาดุร้ายใส่เขาทั้งที่ยังอยู่ในน้ำ “พวกเจ้าสองคนยังไม่ขึ้นมาอีก? หากไม่ได้ข้า พวกเจ้าคงถูกเปิดโปงไปแล้ว มองข้าเช่นนี้เพื่ออะไร?”

ทั้งสองกระโดดขึ้นมาจากทะเลสาบ ส่งรอยยิ้มไม่จริงใจมาให้ “เช่นนั้นก็ขอบพระคุณที่ช่วยเหลือ”

“ไม่มีปัญหา พวกเราครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ชายชุดเทายิ้มเห็นฟัน หากแต่พริบตาต่อมา เงาดำสองสายก็โผล่พรวดมาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับคลื่นลมรุนแรงสายหนึ่ง

‘ผัวะ!’

‘ผัวะ!’

เสียงพลังซัดผัวะสองครั้งดังขึ้น

“โอ๊ยยย~ คิดก่อกบฏหรือ?!”

หึ ๆ อยากตีคนมานานแล้ว

หลังจากสำเร็จภารกิจแล้ว ชายหนุ่มที่ถูกใช้งานมาค่อนคืน ยามถูกอีกฝ่ายทั้งกวักมือทั้งร้องเรียกก็สะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างสมศักดิ์ศรี ส่วนชายชุดเทาก็ได้แต่เบิกตาดำขลับของตนกว้าง ใบหน้าทั้งโกรธทั้งตกตะลึง

— หอเมฆาเคลื่อน —

“มีข่าวบ้างหรือไม่?”

ร่างสูงเพรียวกว่าใครอื่นก้าวเท้าเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยอย่างนบน้อม “นายท่าน พวกเราค้นทะเลสาบจนทั่ว ไม่พบความผันผวนพลังใดที่ผิดปกติ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าคำของหลิงซูกล่าวไว้ไม่ถูก ทำให้กลับมามือเปล่าขอรับ”

หลิงซูคือชื่อของชายชุดเทาคนนั้น

คนท่าทางเหยาะแหยะไม่เอาการเอางาน ขาดความน่าเชื่อถือ มักทำท่าทางเกียจคร้านราวกับร่างไร้กระดูกกลับมีชื่อที่ไพเราะเสนาะหูเช่นนี้

“หาดีหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนเพิ่งจะย่างเท้าเข้าประตูมา “แม้หลิงซูจะหน้าตาไม่น่าเชื่อถือ แต่ยามสำคัญก็ไม่เคยทำพลาด การค้นหาร่างวิญญาณนี้มีเพียงดวงตาหยินหยางของเขาเท่านั้นที่จะเห็นร่างวิญญาณได้”

ได้ยินแล้วคนทั้งสองพลันเผยสีหน้าไม่พอใจ เอ่ยขึ้นเสียงเกลียดชัง “แต่เจ้านั่นสั่งให้ค้นตรงโน้นหาตรงนี้ ส่วนตัวเองนอนหลับกรนอย่างสบายใจ ไม่ช่วยลงมืออะไร อีกทั้งเรายังถูกพบตัวด้วยขอรับ”

ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วถูกพบได้อย่างไรกัน?”

“อีกฝ่ายคงจะได้ยินเสียงกระมัง เป็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง หลิงซูดูท่าจะรู้จักกับนางดีขอรับ”

“เช่นนั้นก็คือชิงอวี่”

ไป๋จือเยี่ยนพลันเข้าใจ สายตาเหลือบมองไปทางโหลวจวินเหยาที่นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ ใบหน้านั้นเป็นเช่นเคย นัยน์ตาสีม่วงมีเสน่ห์ทะลวงใจหรี่ลงเล็กน้อย ไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด

ไป๋จือเยี่ยนพลันนัยน์ตาวาบ “จริง ๆ แล้วข้าก็สงสัยว่าเหตุใดหลิงซูจึงไปทำการตรวจดูยังจวนของแม่นางน้อยชิงอวี่ได้ หรือจะมีอะไรเชื่อมโยงกัน?”

โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็พลันดึงสมาธิที่กระจัดกระจายไปไกลของตนกลับคืนมา มองไป๋จือเยี่ยด้วยนัยน์ตาทะมึนลงเล็กน้อย “ข้าเคยคิดมาก่อนเช่นกัน ทั้งชาติกำเนิดของจิ้งจอกน้อย วิชาแพทย์หาใครเทียม อีกทั้งยังวิชาลึกลับสูงส่งของนาง ไม่เหมือนเช่นคนที่มีชีวิตอยู่ในดินแดนระดับล่าง เรื่องเหล่านี้น่าสงสัยยิ่ง”

“แม้นางเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแท้จริงที่ในดินแดนเช่นนี้ร้อยปีไม่อาจหาพบ แต่ที่นี่ไร้ทรัพยากรชั้นดี ทั้งยังไม่มีอาจารย์ชั้นยอดแล้ว คงได้แต่กล่าวว่านางเก่งกาจมาแต่กำเนิด” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยขึ้น

โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงอืมคำหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้า ๆ “บนแดนเมฆาสวรรค์มีคนมากฝีมืออยู่มากมายราวหมู่เมฆ แต่ปรมาจารย์เร้นกายนั้นหาได้ยากยิ่ง หลายปีก่อนหน้านี้ ในหมู่สตรีมีวิชาสูงส่ง อาหลานนับว่ามีฝีมือที่สุดในแดนเมฆาสวรรค์ ภัยปั่นป่วนครานั้นสังหารคนไปนับไม่ถ้วน เป็นเพราะนางจึงสามารถพลิกสถานการณ์เลวร้ายได้ ทำให้คนอื่น ๆ ยกย่องนับถือ แต่วันเวลาของนางบนแดนเมฆาสวรรค์ช่างสั้นนัก เพียงสามสิบปีผู้คนก็พากันลืมเลือนนางเสียแล้ว”