ตอนที่ 116 แปลงโฉม
จู่ๆ ผ้าม่านรถม้าก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามของหญิงสาว

อวี้จิ่นและเจียงจั้นหันมองพร้อมกัน

ในใจของอวี้จิ่นเต้นรัวราวเสียงกลอง อาซื่อคงไม่ปฏิเสธหรอกกระมัง?

เจียงจั้นเองก็กําลังกังวลเช่นกัน หากน้องสี่ไม่ยอมพี่อวี๋ชีไปด้วย เขาจะสลัดพี่อวี๋ชีอย่างไรถึงจะไม่ทำให้เสียหน้า

“ข้าสงสัยว่าใครกันนะที่ช่วยมารดาของหลิวเซิ่งไว้”

ได้ยินเจียงซื่อเอ่ยขึ้นดังนั้น เจียงจั้นก็พยักหน้าอย่างแรง “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าพ่อหนุ่มคนไหนทำเรื่องน่ายกย่องเช่นนี้ หากไม่ได้มารดาของหลิวเซิ่งที่ชี้นิ้วก่อนตาย เกรงว่าผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอคงไม่เกิดความสงสัยในตัวเสวียนฉือหรอก”

อวี้จิ่นเพียงยิ้มมุมปากอยู่ข้างๆ เท่านั้น

เจียงซื่อหันมองดูเขา

ดวงตาทั้งคู่ประสานกัน ต่างคนต่างความคิด วินาทีนั้นไม่มีใครสนใจว่าเจียงจั้นพูดอะไรอยู่

เจียงซื่อหาข้อพิสูจน์การคาดเดาของตนเองจากรอยยิ้มจางๆ ของชายหนุ่ม แล้วจึงปล่อยผ้าม่านลง

ผ้าม่านสีฟ้าหลังฝนปลิวไปตามลม เผยให้เห็นภาพภายในรถม้าเป็นครั้งคราว

เจียงจั้นเห็นว่าน้องสาวไม่ได้คัดค้านก็ดีใจ เขาแกล้งทำเป็นไขสือ พูดถึงเจ้าอาวาสวัดหลิงอู้ขึ้นมา “เจ้าอาวาสวัดหลิงอู้ดูเหมือนเป็นอริยสงฆ์องค์หนึ่ง เพียงแต่เลอะเลือนไปหน่อย ถ้าหากเห็นธาตุแท้ของเสวียนฉือตั้งแต่เนิ่นๆ ก็คงไม่ต้องสูญเสียไปถึงสองชีวิตเช่นนี้หรอก”

“เลอะเลือน?” อวี้จิ่นกระตุกมุมปากยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ผู้เป็นอริยสงฆ์ไม่เลอะเลือน ผู้ที่เลอะเลือนไม่นับว่าเป็นอริยสงฆ์”

เจียงจั้นไม่ยอมแพ้ “กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ ใครๆ ก็มีช่วงที่เผลอเรอไปบ้าง ถ้าจงใจปล่อยให้เสวียนฉือก่อเรื่องเช่นนี้ ต่อไปวัดหลิงอู้ก็จบสิ้นลงพอดี แต่ข้าว่าเจ้าอาวาสวัดหลิงอู้สายตาเฉียบแหลมมองเรื่องนี้ออกอย่างชัดเจน ทั้งยังสัญญาว่าจะควบคุมศิษย์ให้ดี…”

“น้องเจียงเอ้อร์คิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับวัดในชนบทเช่นนี้คืออะไร?”

เจียงจั้นตะลึงงัน โพล่งออกมาว่า “ชื่อเสียงสิ เมื่อมีชื่อเสียงโด่งดังก็จะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาทำบุญ วัดถึงจะมีเงินบริจาค…”

แม้ว่าเรื่องเงินทองจะเป็นเรื่องของฆราวาส แต่พระสงฆ์ก็ต้องกินข้าวนี่นา

อวี้จิ่นส่ายหน้า “วัดที่ไม่มีชื่อเสียงก็ต้องการชื่อเสียงจริงๆ แต่สำหรับวัดหลิงอู้ในตอนนี้ กลับเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เมื่อสูญเสียไปกลับไม่ได้สำคัญเหมือนที่คนทั่วไปคิด”

“ทำไม?”

เจียงซื่อที่อยู่ในรถเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

อวี้ชีมักมีเหตุผลแปลกๆ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะพูดหลอกพี่ชายรองอย่างไร

“ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา วัดหลิงอู้ได้สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากพอ แล้วยังมีที่ดินผืนใหญ่อยู่มากมาย ต่อให้ชื่อเสียงย่อยยับไป แต่ที่ดินเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พระสงฆ์เหล่านั้นเสวยสุขได้โดยไม่ทุกข์ร้อน เจ้าอาวาสวัดหลิงอู้แสดงท่าทีเช่นนี้กับผู้บัญชาการทหารประจำอำเภอก็เพราะเห็นสมควรว่าทำเช่นนั้นดีกว่า ลูกศิษย์ที่ใช้วิธีชั่วร้ายหาเงินเข้าวัดหลิงอู้มากมายนั้นต้องโทษไปแล้ว แล้วก็มอบมรดกให้กับลูกศิษย์ที่ได้ดั่งใจคนใหม่แทน เช่นนี้จะมีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบกว่านี้อีกหรือ”

เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็ตะลึงงัน เบ้ปากกล่าวว่า “พี่อวี๋ชี ท่านคิดในแง่ร้ายเกินไปแล้วกระมัง”

เจียงซื่อยกมุมปากขึ้น

จิตใจของคนบางคน เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเลวร้ายได้ขนาดไหน ในข้อนี้นางคิดเหมือนกันกับอวี้ชี

อวี้จิ่นไม่โต้เถียง พูดเรียบๆ ว่า “ที่จริงนี่ก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะไปที่ใดต่อจากนี้หรือ”

เจียงจั้นหันหน้าตะโกนเข้าหน้าต่างรถ “อ้อ ใช่สิ น้องสี่ ได้ยินเจ้าบอกแค่ว่าอยากเที่ยวเล่น แล้วพวกเราจะไปไหนกันต่อหรือ”

อวี้จิ่นเกือบตกจากหลังม้า

แบบนี้ก็ได้ด้วย?

“เมืองเป่ยเหอ อำเภอเป่าเฉวียนเจ้าค่ะ” เจียงซื่อกล่าวยิ้มๆ

“เมืองเป่ยเหอ อำเภอเป่าเฉวียน?” เจียงจั้นตกใจ “ที่นั่นค่อนข้างไกลเลยนะ พอดีข้ามีเพื่อนเป็นคนที่นั่น”

“ไกลแค่ไหนหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อตกใจระคนดีใจ คิดไม่ถึงว่าเจียงจั้นจะเคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้มาก่อน

ช่วยไม่ได้ เพราะภาพลักษณ์ของพี่ชายที่ไร้ความสามารถได้ฝังลึกลงไปในจิตใจเข้าแล้ว

“ราวๆ ร้อยได้ลี้กระมัง ถ้าพวกเราเดินทางด้วยความเร็วขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวันเลยทีเดียว” เจียงจั้นค่อนข้างลําบากใจ “น้องสี่ ข้าว่าเมืองเล็กๆ เหล่านี้ก็คล้ายๆ กัน ถ้าอย่างไรเที่ยวเล่นแถวนี้มิดีกว่าหรือ”

เจียงซื่อขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันจะหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างได้ เจียงจั้นก็ถอนหายใจ “ก็ได้ ในเมื่อน้องสี่อยากไปที่นั่นก็ไปกันเถอะ อย่างไรเสียก็ว่างอยู่แล้ว”

“ขอบคุณพี่ชายรองมากเจ้าค่ะ” เจียงซื่อยิ้มหวาน

อวี้จิ่นใช้ปรายตามองเจียงจั้นอย่างดูถูก

กลับคําพูดเร็วขนาดนี้เชียว กล้ายืนกรานหนักแน่นให้นานกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ

ตลอดการเดินทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแล้วก็ใกล้จะถึงเมืองเป่ยเหอ อำเภอเป่าเฉวียน

บนถนนเส้นหลักมีรถม้าสีเขียวคันหนึ่งแล่นอยู่ ไม่แปลกแยกหรือดูสะดุดตาแม้แต่น้อย ทว่าชายหนุ่มสองคนที่ควบม้าขนาบข้างรถม้ากลับดึงดูดความสนใจของคนเดินอยู่บ่อยครั้ง

คุณชายน้อยสองท่านที่ควบขี่ม้าด้วยชุดวิจิตร ท่าทางอิสระผึ่งผายและรูปงามเช่นนี้ จะไม่ให้เป็นที่เอิกเกริกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

ทันใดนั้นเสียงอุทานของอาหมานก็ดังขึ้นมาจากภายในรถม้า

“เกิดอะไรขึ้น” อวี้จิ่นและเจียงจั้นถามพร้อมกัน

รถม้ามีขนาดเล็กมาก แต่ภายในรถม้ากลับตกแต่งให้อยู่อย่างสบาย เวลานี้อาหมานปิดปากตัวเองแน่น มองเจียงซื่อด้วยความตกตะลึง

เจียงซื่อใช้มือหนึ่งถือกระจก อีกมือหนึ่งเขียนคิ้ว หลังจากวาดคิ้วจนได้รูปแล้วก็หันไปถลึงตาใส่อาหมานแวบหนึ่ง ตวาดเสียงต่ำว่า “เจ้าอย่าเอ็ดไป”

อาหมานเบิกตากว้าง ยื่นมือไปชี้ไปยังเจียงซื่อ “คุณหนู ท่าน ท่าน…”

มีเสียงเคาะผนังรถ จากนั้นตามมาด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใยของเจียงจั้น “น้องสี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ล้อเล่นกับอาหมานเฉยๆ”

อวี้จิ่นกําบังเหียนแน่น ริมฝีปากบางเม้มแน่น จ้องหน้าต่างรถเขม็ง

อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาซื่อ แต่หากทำอย่างนี้จริงๆ คงโดนทำร้ายแน่

ภายในรถม้า เจียงซื่อที่นั่งพิงผนังรถม้าอย่างเกียจคร้านส่งยิ้มให้อาหมาน “เป็นอย่างไรบ้าง”

ในที่สุดอาหมานก็ผ่อนคลายลง ขยับตัวเข้าไปใกล้ใบหน้าของเจียงซื่อ “คุณหนู ท่านทำได้อย่างไรเจ้าคะ”

เจียงซื่อยกกระจกเงาขึ้น แล้วส่องกระจก

หญิงสาวในกระจกยิ้มบางๆ คิ้วของนางราวกับภาพวาด นางลดความงดงามที่ทำให้ผู้คนรู้สึกประทับใจไปหลายส่วน หากแต่เพิ่มความสดใสและมีชีวิตชีวามากขึ้น

คนในกระจกเปลี่ยนใบหน้าอย่างฉับพลัน!

อาหมานอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงมอง บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ด้านข้างของเจียงซื่อมีภาพเขียนภาพหนึ่งปูวางอยู่ คนในภาพนั้นคล้ายกับหญิงสาวเบื้องหน้าถึงเจ็ดแปดส่วน

“คุณหนู ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ท่านทำได้อย่างไรเจ้าคะ” อาหมานเกิดความสงสัยขึ้นมา

เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคุณหนูทำอย่างไร นั่นก็แค่วาด แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใบหน้าได้เล่า

“แค่ทักษะเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น” เจียงซื่อไม่อยากเอ่ยถึงเคล็ดวิชาที่ได้เรียนรู้มาจากท่านผู้เฒ่าอูเหมียว แล้วจึงแตะภาพเบาๆ “เจ้าคิดว่าเราเหมือนกันกี่ส่วน”

“อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วนเจ้าค่ะ”

เจียงซื่อยิ้ม

เจ็ดถึงแปดส่วนก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้ปัญหาเดียวก็คือไม่รู้ว่าบิดาของแม่นางฉือที่ออกไปค้าขายจะกลับมาหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าลูกสาวได้หายตัวไป

แต่ปัญหากวนใจนี้ของเจียงซื่อก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงอำเภอเป่าเฉวียนทั้งหมดก็หาโรงเตี๊ยมที่ดูครึกครื้นแห่งหนึ่งเพื่อพักกินข้าว ได้ยินคนบ้วนน้ำลายพูดซุบซิบกัน “พวกเจ้าได้ยินข่าวหรือยัง ว่าลูกสาวของนายท่านฉือในเมืองเยี่ยนจื่อหายตัวไป”

“เหอะ พี่ใหญ่ รู้ข่าวเร็วดีนี่ เรื่องในเมืองเยี่ยนจื่อเจ้าก็ยังรู้”

“บ้านเดิมของเมียข้าอยู่เมืองเยี่ยนจื่อ เมียข้าที่กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมได้ข่าวมา ยังบอกอีกว่านายท่านฉือผู้นั้นร่ำรวยมาก ได้ประกาศออกมาแล้วว่าถ้าใครตามหาแม่นางฉือพบจะให้ของตอบแทนอย่างงาม”

เมื่อพูดมาเช่นนี้ คนที่คุยเรื่องมโนสาเร่อยู่ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที “ของตอบแทนอย่างงาม เท่าไหร่หรือ”

“หนึ่งร้อยตำลึงเต็มๆ!”

“พี่ชายรองเจ้าคะ กินข้าวเสร็จพวกเราไปเมืองเยี่ยนจื่อกันเจ้าค่ะ”

เจียงจั้นทำหน้าตกใจ “น้องสี่ก็อยากได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงเหมือนกันหรือ”