ตอนที่ 14-2 ต้องการเงิน

ภายในชั่วพริบตา การแสดงออกของฮูหยินใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันที

เหวินชิกำลังหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ พร้อมกับแววตาที่เปล่งประกายของความสุข

สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำให้สะใภ้ใหญ่รู้สึกอึดอัด และเป็นทุกข์ใจได้ สิ่งนั้นคือสิ่งทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ นางจึงเอื้อมมือขึ้น และดึงปิ่นปักผมรูปหงส์สีทองซึ่งปักอยู่ที่ผมของตนเองออกมา และวางมันเอาไว้ในมือของเว่ยหยางอย่างแผ่วเบา

“เด็กดี นี่คือของขวัญสำหรับเจ้าเช่นกัน”

เว่ยหยางยิ้มอย่างเขินอาย และรับปิ่นปักผมนั้นมา ขณะที่แอบมองไปยังทิศที่ฮูหยินใหญ่กำลังนั่งอยู่

และสังเกตเห็นว่า ในตอนนี้ใบหน้าฮูหยินใหญ่เริ่มกลายเป็นสีเขียวด้วยความโกรธแลัว และกำลังจ้องมองไปยังเหวินชิ

ในทางกลับกัน เหวินชิมิได้แยแสต่อท่าทีของผู้ที่เป็นสะใภ้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย

นางทำเหมือนกับว่า มิมีอันใดเกิดขึ้น และหัวเราะอย่างร่าเริงออกมา

หลี่จางเล่อฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วและไอออกมาเล็กน้อย

ฮูหยินใหญ่จึงรีบหันหน้าไปทาง เว่ยหยาง และทำราวกับว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นว่า

“เว่ยหยางลูกรัก มาตรงนี้! ข้าได้เตรียมของขวัญไว้ให้เจ้าก่อนหน้านี้แล้ว และนำมันมาให้เจ้าในตอนนี้”

ฮูหยินใหญ่มอบเครื่องประดับบางอย่างแก่ลูกเมียน้อย มันดูมีราคาแพงมาก แต่ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเว่ยหยาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นของขวัญที่ท่านย่าใหญ่และเหวินชิมอบให้แล้ว

นางจึงใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะจัดการกับพวกมันอย่างไรดี เพราะแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่ต้องการคือ เงิน มิใช่สิ่งของเหล่านี้

เมื่อทุกคนมองมา ฮูหยินใหญ่จึงเก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ภายใน จากนั้นได้ถอดสร้อยข้อมือสีนิลที่กำลังสวมใส่อยู่ออกมา

นางสวมสร้อยนั้นลงบนข้อมือของเว่ยหยางด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความเสียดาย

“เครื่องประดับชิ้นนี้มีมูลค่าสูงมากราวกับว่า ได้มาจากพระราชวัง เจ้าจงรับมันเอาไว้”

ครั้งหนึ่ง นางเคยเป็นจักรพรรดินีจึงรู้ว่า เจียงชิกำลังบอกกล่าวความจริงเกี่ยวกับที่มาของสร้อยข้อมือเส้นนี้ จึงอมยิ้ม และกล่าวออกมาว่า

“ขอบคุณท่านแม่”

ฮูหยินใหญ่เบะปากเล็กน้อยเพราะความโกรธที่เก็บงำเอาไว้ กระนั้นนางก็ยังคงแสร้งยิ้มกว้าง

“เด็กโง่ มิจำเป็นต้องขอบคุณ!”

สายตาของหลี่ฉางซีเต็มไปด้วยความริษยา ขณะที่นางแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

“เว่ยหยาง ดูเหมือนว่าความพยายามของเจ้าจะประสบความสำเร็จแล้ว!

ท่านแม่ต้องการที่จะเก็บสร้อยข้อมือเส้นนั้นไว้ให้พี่ใหญ่ แต่กลับยกมันให้กับเจ้า!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เว่ยหยางจึงทำท่าจะถอดสร้อยข้อมือนั้นออก

“หากเป็นเช่นนั้น เว่ยหยางก็คงจะรับมันเอาไว้มิได้!”

ฮูหยินใหญ่จะมิปล่อยให้เว่ยหยาง คืนของขวัญอย่างแน่นอน

ขณะที่นางจ้องมองฉางซีอย่างน่ากลัว ก่อนจะหันไปหาเว่ยหยาง ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น

“เด็กโง่ เจ้าเป็นลูกที่มีค่าของแม่ มิมีอันใดผิดที่จะมอบสิ่งนี้ให้ เจ้าต้องยอมรับความเอื้ออาทรของข้า!”

เมื่อได้เห็นนิสัยตีสองหน้าของฮูหยินใหญ่แล้ว เว่ยหยางจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก

“เช่นนั้น ข้าต้องขอขอบคุณท่านแม่อีกครั้ง!”

ดวงตาของหลี่ฉางซีเบิกกว้างด้วยความอิจฉา

ในทางกลับกัน หลี่จางเล่อเลื่อนสายตาไปทางกระถางธูปสีเงิน ซึ่งแกะสลักด้วยลวดลายดอกบัว และประดับด้วยอัญมณีหลากสี

ขณะที่คิดอยู่ในใจว่า ฉางซียังคงมีความโง่เขลาอยู่มาก แม้ว่านางจะถูกสั่งสอนโดยฮูหยินใหญ่หลายครั้งก็ตาม

วันนี้ท่านย่าใหญ่แสดงท่าทีเข้าข้างเว่ยหยางอย่างชัดเจน

แล้วต่อไปนี้คุณหนูใหญ่จะสู้รบกับมันได้อย่างไร และสิ่งนี้คงเป็นการเปิดโอกาสให้เหวินชิได้ล้อเลียนพวกนาง

ขณะที่เว่ยหยางกำลังเดินออกมา แม่นมหลัวได้วิ่งไล่ตามมาบริเวณทางเดินของห้องโถง

“คุณหนูสาม! ท่านย่าใหญ่ให้มาถามว่า จากนี้ไปช่วยมาชงชาให้ท่านย่าทุกวันได้หรือไม่”

หลี่เว่ยหยางตอบกลับในทันที

“แม่นมหลัว ท่านเอ่ยถามข้าเช่นนั้นได้อย่างไร?

การกตัญญูต่อท่านย่า เป็นสิ่งที่หลานสาวต้องทำอยู่แล้ว”

ทัศนคติที่ดีของเว่ยหยางทำให้แม่นมหลัวรู้สึกมีความพึงพอใจมาก เว่ยหยางมิได้ทำให้ความตั้งใจดีของผู้อาวุโสหลี่เสียเปล่าเลย

เมื่อนางกลับไปถึงห้องนอนของตนเอง เว่ยหยางจึงเปิดกล่องที่ท่านย่าเมิงชิมอบให้กับนาง

ตอนนั้นเองที่ค้นพบว่า มันมีช่องลับซ่อนอยู่ในกล่อง เมื่อถอดผ้าคลุมสีแดงที่ปิดช่องนั้นอยู่ออก จึงได้เห็นก้อนวัตถุสีเงินแวววาวจำนวนสิบชิ้น

จื่อหยานทำตาลุกวาวพร้อมกับอัาปากค้าง และมิสามารถกล่าวอันใดได้อีก เว่ยหยางถึงกับตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ

เครื่องประดับและเสื้อผ้าทั้งหมดที่ได้มานั้น มิสามารถนำไปใช้งานได้จริง

เว่ยหยางมิสามารถขายของขวัญเหล่านั้นได้ และนางก็มิสามารถมอบมันให้กับผู้อื่นได้เช่นกัน

ยกเว้น ‘เงิน’ สิ่งนี้เท่านั้นคือสิ่งที่ใช้ได้จริง และตอนนี้ เงินที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นของนางทั้งหมด

แต่ยังคงเกิดความสงสัยขึ้นภายในใจว่า ท่านย่ามอบเงินเหล่านี้ให้เว่ยหยางด้วยเหตุใด?