นที่ 40 มะเร็งเม็ดเลือดขาว

“ฟาร์มาคุง หมอนั่นมาอยู่ในแถวแล้ว”

พี่ชายของฟาร์มา ปาลเล่ได้เข้ามาอยู่ในแถวของผู้รอร้านเปิดในช่วงปีใหม่

เขาไม่ใช่คนที่จะประพฤติตนไม่เหมาะสมอย่างการแทรกแถวและคอยอยู่ในกลุ่มของสามัญชนทั่วไปด้วยเช่นเดียวกัน

ฟาร์มาที่เป็นถึงแพทย์โอสถหลวง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของร้านขายยาต่างโลก แล้วก็อีกหลายๆ อย่างที่ทำในช่วงปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นยังไม่ไปถึงหูของปาลเล่เลย

“ทางที่ดีน่าจะซ่อนตรานั้นไว้ก่อนดีกว่าไหม?”

เอเลนพูดถึงตราแพทย์โอสถหลวงของฟาร์มา

“ตอนนี้นายจะต้องรีบหาที่ซ่อนไม่ก็ข้อแก้ตัวดีๆ แล้วนะ จะอะไรก็ได้แหละ ไม่ก็รีบขึ้นไปซ่อนที่ชั้นสามให้หมอนั่นหาไม่เจอซะ”

[เราจะทำยังไงกันดีนะ?]

เอเลนมองไปที่ฟาร์มา แม้ว่าตอนนี้เขาจะหลบซ่อนจากพี่ชายของเขาได้ แต่นั่นมันก็เพียงแค่ชั่วคราว ในไม่ช้าก็เร็วยังไงเรื่องของฟาร์มาก็ต้องถึงหูพี่ของเขาอยู่ดี

“มันน่าจะมีวิธีอื่นนะแต่…”

แล้วฟาร์มาก็หันหัวไปยังจุดจุดหนึ่ง

ในทิศทางที่หันไปนั้นเขาได้จ้องมองไปยังบอร์ดรายชื่อของแพทย์โอสถและพนักงานภายในร้านขายยานี้ แน่นอนว่าชื่อของเขานั้นติดอยู่ด้านบนสุดในฐานะเจ้าของร้าน

เอเลนที่กำลังพยายามช่วยคิดอยู่นั้น ก็ได้หยิบคทาของเธอขึ้นมา

“เดี๋ยวฉันจัดการเอง จะลองออกไปคุยกับหมอนั่นดู”

“อย่าดีกว่าเอเลน ถ้าเกิดคุณออกไปแบบนั้นมีหวังได้สู้กันอีกแน่”

เอเลนและปาลเล่นั้นต่างก็เป็นคู่ปรับกัน คงไม่แปลกเลยหากพวกเขาจะเกิดการปะทะกันขึ้นในร้านขายยานี้หรือตามท้องถนนของเมืองหลวงจักรวรรดิ

“ฉันก็ไม่อยากให้ไอ้เจ้าขยะนั่นมันเข้ามาที่ร้านขายยานี้หรอก ลูกค้าก็เริ่มมากันแล้วด้วย เดี๋ยวก็เป็นปัญหาเอาหรอกเกิดพี่ชายนายสติแตกพังร้าน ดังนั้นฟังฉันให้ดีนะ ฟาร์มาคุง นายน่ะไปดูแลพวกลูกค้าเถอะไม่ต้องห่วงเรื่องทางนี้”

คำพูดของเอเลนนั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกชวนโกรธเคืองเลย แล้วเธอก็เดินไปยังประตูร้านแล้วเหยียบหิมะที่ขวางทางประตูนั้นออกไป ก็จะยื่นอยู่ข้างหน้าของเหล่าลูกค้าและยิ้มต้อนรับพวกเขาในวันปีใหม่

“สุขสันต์วันปีใหม่นะคะทุกท่าน ยินดีต้อนรับค่ะ แล้วก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความกรุณามาเยี่ยมเยือนร้านขายยาต่างโลกของพวกเรานะคะ”

เอเลนก้มศีรษะลงต่ำมาก แล้วจากนั้นเหล่าทหารยามก็ได้เปิดประตูรั้วหน้า แล้วเอเลนก็ได้ประจันหน้ากับปาลเล่ขณะที่กำลังต้อนรับเหล่าแขกด้วยความยินดี

“โห ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ปาลเล่”

เธอกอดอกขึ้นมาเพื่อเป็นการยั่วยุโดยเน้นทรวดทรงของเธอขึ้นมาด้วยการดันอกของเธอ

“เอเลโอนอร์!”

ปาลเล่ทำสีหน้าที่ดูอึดอัดใจ

“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้กัน?!”

“ทำไมงั้นเหรอ? ก็ต้องเพราะฉันทำงานอยู่ที่นี่อยู่แล้วน่ะสิ?”

เอเลนทำตัวเหมือนกับบุตรสาวชนชั้นสูงทั่วไปและแสดงการหัวเราะแบบชนชั้นสูงออกมา

“หน้าไม่อายเลยจริงๆ นะสำหรับบุตรสาวชนชั้นสูงที่ต้องมาทำงานภายใต้ชนชั้นสูงคนอื่นเช่นนี้ หรือที่บ้านตกอับจนต้องออกมาหางานทำหรือไงกัน? หรือเพราะความภูมิใจในฐานะชนชั้นสูงของเธอมันมีอยู่เพียงน้อยนิดงั้นเหรอ?”

ปาลเล่โต้กลับในลักษณะที่คล้ายๆ กัน

“หาว่าใครบ้านไม่กินกันยะ?”

เอเลโอนอร์นั้นเป็นถึงบุตรสาวของชนชั้นสูงที่ร่ำรวย แม้ว่าจะด้อยกว่าตระกูลเมดิซิสที่เป็นแกรนดยุก แต่ก็ไม่ได้มีฐานะที่ต้อยต่ำพอให้ดูแคลนได้เลยแต่อย่างใด

“หึ แต่ถึงอย่างงั้นร้านนี้ก็ได้รับการอนุญาตให้เปิดได้ภายใต้การคุ้มครองขององค์จักรพรรดินีเชียวนะ ว่าแต่นายมาซื้ออะไรล่ะ?”

นั่นเป็นคำพูดโต้กลับที่ส่งผลได้เป็นอย่างดีสำหรับปาลเล่ผู้ดื้อรั้น เพราะมันสามารถป้องกันการพูดเสียๆ หายๆ ของเขาได้เป็นอย่างดี

“โอเค งั้นก็มาค่อยๆ พูดจากันดีกว่า เอเลโอนอร์!”

แล้วเอเลนก็ได้โยนผ้าเช็ดหน้าไปยังที่เท้าของปาลเล่ ราวกับจะสื่อความหมายผ่านภาษากาย

“โถๆ อย่าพึ่งยอมแพ้กันเอาง่ายๆ แบบนี้สิ”

เอเลนอยู่ในสถานะผู้เหนือกว่าทำการโต้กลับ

“เห้ ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าฉันไปแพ้เอาตอนไหน!”

ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ทั้งสองคนก็ขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปยังชานเมือง

“เดี๋ยวนะครับ เดี๋ยว เดี๋ยว! พวกคุณทั้งสองคนจะไปไหนกันน่ะ?”

ฟาร์มาที่กำลังแอบดูทั้งสองซึ่งเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีกำลังปะทุเป็นไฟอยู่นั้น อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น

“นั่นมันเป็นการประกาศต่อสู้อย่างเป็นทางการค่ะ ท่านเอเลโอนอร์ได้ทำการวางผ้าเช็ดหน้าไปยังที่เท้าของท่านปาลเล่แล้ว”

ลอตเต้กำลังอธิบายเป็นจุดๆ โดยการชี้นิ้ว ส่วนบลานช์ที่ตัวสั่นอยู่นั้นก็ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยมือของเธอ

“ขอทีเถอะน่า!”

ฟาร์มาที่ลุกขึ้นมากระสับกระส่ายอยู่นั้น ทำให้ผู้ป่วยที่เข้ามาถึงกับกลัวเลยทีเดียว

“ก็น่าสนุกดีนี่คะที่จะได้เห็นพวกเขาต่อสู้กัน! ว่าแต่ท่านจะเชียร์ข้างไหนคะ?”

ดูเหมือนว่าลอตเต้ไม่สามารถเข้าใจความหมายของการต่อสู้ได้ดีเท่าไรนัก

“เพราะว่าการต่อสู้มันจะต้องมีการบาดเจ็บสิ! ไม่มีอารมณ์ไปเชียร์ฝั่งไหนหรอก!”

ฟาร์มาที่ได้แต่เฝ้ามองพวกเขาอยู่ที่หน้าต่าง พอได้เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้นก็อดที่จะปวดหัวเอาไม่ได้

“แย่แล้ว!”

[จุดเดือดของคนพวกนี้จะต่ำกันเกินไปแล้ว!]

ฟาร์มาได้รีบเขียนใบสั่งยาให้กับคนไข้ทุกคนที่เข้าแถวด้วยความเร่งรีบ ก่อนที่เขาจะโยนงานไปให้กับแพทย์โอสถขั้นหนึ่งที่เข้ามาช่วยงานภายในร้านแทน

“ไว้ผมจะกลับมาช่วงบ่ายนะครับ!”

เขาถอดเสื้อคลุมสีขาวออกแล้ววางเอาไว้ก่อนจะวิ่งออกจากร้านไป

[ขนาดว่าเรารีบเขียนใบสั่งยาหลังทั้งคู่ขี่ม้าออกไปนอกเมืองแล้วนะ แบบนี้จะตามทันไหมเนี่ย]

ลอตเต้ได้ตะโกนพูดกับฟาร์มาจากด้านหลัง

“อันที่จริงทั้งคู่ก็เป็นแพทย์โอสถนะคะ ถึงจะมีใครบาดเจ็บอีกคนหนึ่งก็คงไม่ยอมทิ้งอีกฝ่ายไปทั้งแบบนั้นหรอกค่ะ ฉันคิดว่าพวกเขาจะต้องรักษาซึ่งกันและกันแล้วก็กลับมาคืนดีกันแน่นอนค่ะ!”

ลอตเต้พูดให้กำลังใจฟาร์มา แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับคำบางคำของลอตเต้เท่าไหร่นัก

“แบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากเดิมเลยไม่ใช่หรือไง”

ฟาร์มารู้สึกเสียใจเพราะเขาควรจะออกไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้เลย

….

ปาลเล่และเอเลนได้เดินทางมาถึงยังพื้นที่รกร้างของตระกูลบอนฟัวก่อนจะลงมาจากหลังม้าและรักษาระยะหากของกันและกัน

ทั้งคู่นั้นต่างเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารี โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาสามารถใช้การโจมตีทุกรูปแบบของธาตุดังกล่าวได้ (น้ำ,หิมะ,น้ำแข็ง,หมอก,น้ำร้อน)

“เอาเถอะ ก็เป็นแค่เกมแหละนะ”

ปาลเล่ถอดเสื้อคลุมของเขาและเหวี่ยงมันออกไป

แม้จะอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวเช่นนี้ ชายผู้นั้นก็เป็นดั่งตัวแทนของบุรุษผู้ลุกโชน ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นและแสดงกล้ามเนื้อที่เป็นดั่งเกราะของเขาออกมา

“คงไม่ว่ากันนะหากจะรู้ผลก็ต่อเมื่อมีใครคนหนึ่งล้มไปก่อน?”

เอเลนถอดชุดสีขาวของเธอออกเพื่อไม่ให้มันเปื้อน ภายในชุดสีขาวนั้นมีหน้าอกที่ได้รูปและรูปร่างที่ถูกจัดเรียงกันอย่างได้ที่โดยไม่มีส่วนเกินใดๆ เลย จากนั้นเธอก็ปลดกระดุมด้านหน้าของกระโปรงออกบางส่วนเพื่อให้สามารถยกขาได้สูงขึ้นเหมาะสำหรับการต่อสู้ ซึ่งเรียวขาของเธอนั้นก็สามารถเห็นกล้ามเนื้อได้ชัดเจนว่ามีอยู่พอสมควร แต่นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความงดงามของขานั้นได้ดีเลยทีเดียว

“อย่ามาร้องเอาทีหลังก็แล้วกัน”

แล้วปาลเล่ก็โยนก้อนกรวดขึ้นเหนือหัวของพวกเขาทั้งสองคน

ในวินาทีที่ก้อนกรวดนั้นสัมผัสกับพื้นนั่นจะเป็นสัญญาณการต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้น

เอเลนและปาลเล่ได้ออกตัววิ่งทันทีที่ก้อนกรวดตกถึงพื้น เพราะการยืนอยู่เฉยๆ ก็จะมีแต่เป็นเป้านิ่งให้ศัตรู

“กำแพงแห่งสายหมอก”

เอเลนได้สร้างสายหมอกขึ้นมาระหว่างตัวเธอกับปาลเล่เพื่อลดการมองเห็นของเขา

การก่อกวนและขัดขวางฝ่ายตรงข้ามนั้นถือว่าเป็นรูปแบบการต่อสู้พื้นฐานของผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารี แล้วเอเลนก็เหวี่ยงคทาไปข้างหน้า

“ฝนกระหน่ำ!”

เพื่อต่อต้านเอเลนที่กำลังจะพยายามสร้างม่านแห่งสายน้ำลงไปที่พื้นและจากนั้นก็ได้มีสายน้ำพุ่งขึ้นมาจากพื้น ปาลเล่ได้โต้กลับการโจมตีของเอเลน

“กักขังศูนย์สมบูรณ์”

ปาลเล่ได้ใช้น้ำที่เอเลนสร้างขึ้นมาในการจับตัวเธอไว้จากพื้นดิน

ก้อนน้ำแข็งได้ก่อตัวขึ้นมาจับที่เท้าของเอเลนและแช่ร่างของเธอเอาไว้ แต่เอเลนก็ใช้คทาของเธอแทงไปยังน้ำแข็งนั้น ก่อนก้อนคริสทัลบนคทาของเธอจะเปล่งแสดงออกมา

“วารีพลิกผัน”

แล้วก้อนน้ำแข็งนั้นก็ได้เริ่มกลายเป็นน้ำและระเหยไปในที่สุด

“ภูติวารี”

เท้าของปาลเล่ได้กระแทกไปยังพื้นดิน ซึ่งนั่นเป็นการเตรียมการปล่อยคลื่นน้ำขนาดใหญ่ออกมา โดยมนตร์ที่เขาใช้นั้นถือว่าเป็นศาสตร์ชั้นสูงของผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีเลยทีเดียว

สายน้ำอันมหึมาที่ถูกสร้างขึ้นมาจากคทาของปาลเล่ได้ก่อตัวขึ้นเป็นร่างยักษ์และเข้าโจมตีเอเลน และพลังกำปั้นของมันนั้นก็สามารถทำให้พื้นดินเป็นรูได้ราวกับเป็นหลุมที่เกิดจากอุกกาบาตเลยทีเดียว

และปาลเล่ก็ได้ส่งสิ่งนั้นไปโจมตีเอเลนอย่างไม่มีความปรานีเลย

เอเลนซึ่งวิ่งล่าถอยไปในทางตรงด้วยแรงขาของตัวเอง ทันใดนั้นเธอก็หันกลับมาพร้อมกับชี้ไม้คทาไปยังยักษ์ตนนั้น

มีหยาดน้ำแข็งที่เกิดขึ้นบนส่วนปลายของคทา ได้พุ่งเข้าโจมตีไปยังยักษ์ตนนั้นที่ตัวใหญ่กว่าเอเลนเป็นไหนๆ

น้ำแข็งที่สีดุจดั่งดวงตาของเอเลนได้เริ่มก่อตัวและมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น

“จงเบ่งบาน”

จากนั้นก็ร่ายมนตร์อีกขั้น

“พฤกษาเหมันต์”

ดอกไม้ที่เป็นดั่งเกราะป้องกันการโจมตีของกายภาพอยู่นั้นได้บานสะพรั่งออกมาเป็นก้อนน้ำแข็งเป็นชั้นๆ พร้อมกับแสงเปล่งประกายที่วับวาว

กำปั้นของยักษ์ตนนั้นได้ถูกกลืนกินโดยกลีบของดอกน้ำแข็งนั้น ก่อนมันจะถูกทำลายโดยคลื่นน้ำแข็งภายในดอกนั้น

เศษซากของยักษ์ตนนั้นได้ถูกบดขยี้เหมือนฝุ่นผงและหายไปตามสายลมในชั้นบรรยากาศ

ม่านแห่งสายหมอกก็ได้ถูกชะล้างออกไปด้วยเช่นกันทำให้ทั้งสองได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง

“เห้ เอเลโอนอร์ ฉันก็ไม่คิดจะดูถูกผู้หญิงมีความสามารถหรอกนะ แต่ฉันละโคตรจะเกลียดเธอเลยจริงๆ! ฮ่าๆๆ!”

เขารู้สึกยินดีที่ตนได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน

การเผชิญหน้ากับฟาร์มานั้นไม่ได้สร้างความพอใจให้กับปาลเล่เลยไม่ว่าผลจะแพ้หรือชนะก็ตาม เพราะฟาร์มานั้นแข็งแกร่งเกินไปขนาดจะเข้าใกล้ยังทำไม่ได้เลย อีกทั้งเขายังรู้สึกไม่ค่อยชอบใบหน้าของฟาร์มาที่ทำเหมือนการต่อสู้มันจะจบลงในไม่ช้านี้ตลอด

สำหรับมุมมองของปาลเล่แล้ว เขารู้สึกดีที่ได้สู้กับเอเลโอนอร์มากกว่า

“อย่ามาล้อกันเล่นนะ! ใครมันจะไปอยากได้คำชมจากคนอย่างนายกัน”

เอเลนได้กำคทาของตนไว้แน่น

“หากไม่พอใจอะไรก็ต้องใช้กำลังนี่แหละในการเข้าชน เธอก็เหมือนกับฉันไม่ใช่หรือไงกัน? ซึ่งนั่นมันก็ตรงข้ามกับเจ้าฟาร์มาที่สงบเสงี่ยมอยู่เสมอๆ”

เอเลนได้แต่แอบเศร้าใจว่าทำไมสองพี่น้องถึงได้ต่างกันขนาดนี้

เอเลนนั้นได้ใช้ศาสตร์แห่งการป้องกันในการต่อสู้ ในขณะเดียวกันเพื่อให้ตนนั้นรู้สึกเหนือกว่าคู่ต่อสู้ ปาลเล่ได้ใช้ศาสตร์แห่งการจู่โจมเข้าสู้ นั่นคือสิ่งที่เอเลนคิด

“พวกคุณทั้งสองก็คล้ายกันไม่ใช่เหรอ?

จากที่ฟาร์มาพูดดูเหมือนว่าทั้งสองนั้นจะมีความคล้ายกันในจุดที่จุดเดือดทั้งคู่นั้นต่ำเหมือนกัน

ทั้งสองคนนั้นกำลังพยายามทำความเข้าใจอยู่ว่าเหตุใดถึงต้องมาจบที่การต่อสู้แบบนี้ได้กัน แต่ในเมื่อบรรยากาศมันนำพามาถึงขั้นนี้แล้วก็มีแต่ต้องลุยไปข้างหน้าเท่านั้น

“ฉันคิดว่าเจ้าของร้านขายยานั่นคงจะปวดหัวตายเลยนะที่มีลูกน้องแบบเธอเนี่ย”

“โห่โห้ แล้วไหงคนแบบนายถึงมาร้านนี้กันล่ะ?”

“ฉันก็ต้องมาร้านขายยาเพื่อซื้อยาอยู่แล้วน่ะสิ ฉันเป็นลูกค้านะ แล้วไหงเธอถึงพาพวกเรามาจบในที่แบบนี้ได้กันล่ะหืม??”

“เรื่องนั้นก็ส่วนของเรื่องนั้นแต่ว่านะ….”

เอเลนให้หาเหตุผลร้อยแปดในการตอบคำถามนั้น เพราะเป็นตัวเธอเองที่เป็นคนเริ่มการต่อสู้นี้

“น่าเสียดายที่ร้านขายยาต่างโลกของเราน่ะจะไม่ขายยาให้กับนายหากหายไม่ใช่ผู้ป่วย”

อันที่จริงมันก็มีพวกผ้าพันแผล,ลูกอม,และอื่นๆ อีกมากมายที่วางบนชั้นขายของที่ร้านขายยาต่างโลกสำหรับลูกค้าทั่วไป แต่ก็เป็นเรื่องจริงในส่วนที่ทางร้านจะไม่ขายยาให้หากไม่ใช่ผู้ป่วย

“ที่สำคัญคือทางเจ้าของร้านนั้นจะคอยพัฒนายาตัวใหม่อยู่เสมอหลังจากตรวจผู้ป่วยเสร็จ นั่นจึงเป็นเหตุผลทำให้ร้านของเขามีแต่ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยคนนั้นๆ อยู่เสมอยังไงล่ะ”

แล้วปาลเล่ก็พูดออกมาด้วยความมั่นใจ

“แต่ฉันก็เป็นผู้ป่วยนะ”

ปาลเล่กล่าวเช่นนั้นออกมา

“หืม แล้วป่วยเป็นโรคแบบไหนกันล่ะ?”

เอเลนรู้ดีว่าปาลเล่นั้นไม่ได้กะมาร้านขายยาเล่นๆ อยู่แล้ว แถมตอนนี้อารมณ์ในการต่อสู้ของทั้งสองก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน

ทั้งสองได้เก็บคทาของพวกตนไว้ที่เดิม

“จนถึงตอนนี้ก็ยังวินิจฉัยไม่ได้เลย จะคนอื่นๆก็เหมือนกันบางที อาจจะเป็นโรคที่ไม่มีใครรู้จักก็ได้”

ชายผู้จบมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์และยาโนวารูตซึ่งว่ากันว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ทราบถึงโรคที่ตนเองเป็นอยู่

“แต่ที่ฉันมั่นใจเลยก็คือสิ่งนั้น คงทำให้ฉันอยู่ได้อีกไม่นานแล้วล่ะนะ..”

ปาลเล่หัวเราะออกมาด้วยความบ้าคลั่ง แล้วเอเลนก็เห็นเลือดไหลออกมาจากเหงื่อของเขา

“เดี๋ยว เลือดนั่นมันมาจากไหนกัน…ฉันจำไม่ได้เลยนะว่าไปโจมตีนายโดนเอาตอนไหน”

เอเลนที่ยังไม่ได้ใช้ท่าโจมตีใดๆ เลย แต่เขาก็ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บไปเสียแล้ว

“มันเป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคน่ะ”

ปาลเล่ได้ไอออกมาเป็นเลือดอย่างรุนแรง และดูเหมือนสัญญาณของอาการนั้นจะไม่ได้เบาบางลงไปเลย แม้แต่ตัวปาลเล่เองก็รู้ว่านี่มันผิดปกติเอามากๆ

“เธอเป็นครูสอนส่วนตัวของฟาร์มานี่ คงได้คุยกันบ่อยเลยสินะแต่ว่าช่วยปิดเรื่องนี้ไว้ที โดยเฉพาะเจ้านั่นกับบลานช์เพราะทั้งคู่ยังเด็กอยู่”

“แล้วพ่อกับแม่ของนายรู้แล้วเหรอ?”

“ยังหรอก มีเธอเป็นคนแรกนี่แหละ เพราะถ้าพวกนั้นมาเห็นฉันมาร้านขายยาแบบนี้เรื่องคงยาวเอาแน่ๆ”

“ได้ยังไงกัน?”

“ไม่ก็วันก่อน ฉันได้ไปเล่นกับฟาร์มาแล้วก็บลานช์ให้เยอะที่สุดเท่าที่ฉันจะจำได้แล้วล่ะ”

เอเลนจำได้ว่าฟาร์มาพูดไว้ว่าพวกเขาได้ถูกปาลเล่พาไปนั่นมานี่ในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันเลย

ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้ว ปาลเล่ก็แค่อยากจะสร้างความทรงจำไว้ให้พวกน้องๆ ของเขาเท่านั้น

ฟาร์มาที่ได้แอบมองอยู่ในจุดที่ไกลออกไปเล็กน้อยเริ่มสังเกตถึงอาการของทั้งสอง

เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น ฟาร์มาก็ได้ตามรอยพวกเขามาจากร่องรอยของพลังจนมาถึงที่นี่ หากทั้งคู่เกิดบาดเจ็บกันขึ้นมา ฟาร์มาก็กะว่าจะเข้าไปหยุดทั้งสองโดยใช้ความสามารถเชิงลบไปขัดขวาง

แต่อยู่ดีๆ ฟาร์มาก็ต้องประหลาดใจเมื่อทั้งคู่ได้หยุดการต่อสู้ลง แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด

“อย่ามาพูดจาพล่อยๆ เอาแบบนั้นนะ เข้มแข็งหน่อยสิ”

เอเลนให้กำลังใจเขา

“อะไรๆ มันก็เกิดขึ้นได้แหละน่า บางทีเรื่องทางบ้านคงต้องยกให้ฟาร์มาจัดการแทนแล้วสิ ถึงจะดูลำบากไปบ้างแต่ฉันก็มั่นใจว่าเจ้าน้องชายของฉันต้องทำได้แน่พอฉันจากไปแล้ว”

“แล้วนี่นายทำไมถึงไม่ลองทดลองวินิจฉัยหรือว่าทำแผนการรักษาดูล่ะ? จะยอมแพ้ไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พยายามวินิจฉัยโรคอะไรเลยเนี่ยนะ?”

เอเลนได้ถามกับปาลเล่ ตัวเธอนั้นก็มีความสัมพันธ์ที่เป็นคู่แข่งของเขามาหลายปีแต่เพราะทั้งคู่ก็ไม่ได้สร้างความบาดหมางอะไรกันถึงขั้นนั้น เธอก็เลยไม่ได้เกลียดเขาอะไรเป็นพิเศษ

ฟาร์มาได้ทำการตรวจสอบปาลเล่ทางไกลด้วยดวงตาวินิจฉัย

ร่างกายของปาลเล่ได้แสดงสีอ่อนๆ ออกมา ตามกระดูกและลำตัวซึ่งมันไหลเวียนไปมาอย่างเป็นจังหวะ เนื่องจากการเคลื่อนที่ของลำแสงนั้นฟาร์มาจึงคาดเดาว่าเป็นโรคทางกระดูกและระบบไหลเวียนเลือด ก่อนจะเริ่มพูดชื่อโรคที่มีอยู่ภายในหัวขึ้นมา

และมันก็ตอบสนองต่อโรคๆ หนึ่งที่ฟาร์มากลัวเป็นที่สุด

“โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว”

ฟาร์มาถึงกับสยองไปถึงกระดูกสันหลัง

มันเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด

[มันไม่เหมือนกับโรคติดเชื้อ เราไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาให้หายได้ไหม ความมั่นใจในการรักษาก็ใช่ว่าจะมีมาก]

[ผมขอโทษ…ขอโทษจริงๆ นะครับ…ท่านพี่….ถ้าผมได้ใช้ตานี้..ในตอนนั้น]

ตอนที่ปาลเล่กลับมาบ้านเมื่อครึ่งปีก่อน มันคงจะไม่เกิดอาการผิดปกติแบบนี้ขึ้นกับเขาอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามเพราะการกลับมาครั้งนั้น ปาลเล่ได้กระหน่ำเล่นกับพวกเขาอย่างดุเดือด จนฟาร์มาหมดแรงและลืมที่จะตรวจสอบพี่ของเขาด้วยดวงตาวินิจฉัยไปเลย

เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นมีจุดกำเนิดมาจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ต้นกำเนิดของเม็ดเลือด

ฟาร์มากำลังย้อนคิดไปถึงเรื่องที่เขาได้ทำลายโอกาสในการตรวจสุขภาพของพี่ชายเขาไป

[เพราะแบบนี้สินะพี่เขาถึงพยายามเล่นกับพวกเราให้ได้มากที่สุด]

คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะตอนนี้ปาลเล่ได้ถูกเงาแห่งความตายคืบคลานเข้ามาหาแล้ว ฟาร์มาคิดเช่นเดียวกับเอเลน

พอมองย้อนกลับไปตอนที่ฟาร์มาได้รักษาพี่ชายของเขาที่บาดเจ็บจากการต่อสู้นั้น เขาก็พบว่าร่างของพี่เขานั้นมีรอยฟกช้ำสีน้ำเงินที่มือและเท้า

แต่เพราะพี่เขาเป็นพวกสมองกล้าม ฟาร์มาจึงคิดไปว่าน่าจะเกิดมาจากหนึ่งในผู้หญิงที่พี่ชายตามไปตอแยด้วยไม่ก็ร่องรอยจากการต่อสู้

ในโลกนี้มีน้อยคนนักที่จะเป็นมะเร็งเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น

เนื่องจากในตอนแรกสามัญชนทั่วไปบนโลกนี้มักจะมีอายุขัยที่สั้นอันเนื่องมาจากโรคติดต่อที่มีอยู่มาก ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งจึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตสังเกตการของทางร้านนัก

อีกทั้งภูมิคุ้มกันของชนชั้นสูงนั้นถือว่ามีสูงจากการเสริมด้วยพลังแห่งเทพของตน จะมีก็แค่บางกรณีที่เป็นโรคติดต่อทางพันธุกรรมที่ร้ายแรง

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติมากที่ชนชั้นสูงอย่างปาลเล่ที่มาพร้อมกับพลังอันแข็งแกร่งจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว

[หรือเป็นเพราะว่าพี่เขาไม่ได้อยู่กับเรามาพักหนึ่งกันนะ]

หัวหน้านักบวชเคยบอกไว้ว่าผู้คนรอบๆ ตัวเขานั้นมีโอกาสป่วยกันน้อยมากจากแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ฟาร์มาได้กางเอาไว้

แต่โชคร้ายที่พี่ชายของเขานั้นได้อยู่ในโนวารูตที่แสนห่างไกล อาณาเขตของฟาร์มาจึงไม่เป็นผล

โดยมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นมีอยู่ 4 ประเภทและถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ แบบเรื้อรังและเฉียบพลัน

“แบบเฉียบพลัน”

ซึ่งจากการวินิจฉัยมันก็ตอบสนองต่อชนิดเฉียบพลัน หากปาลเล่ไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว อีกไม่นานเขาก็จะตาย

“โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอีลอยด์”

โดยอาการของโรคนี้นั้นจะมี เลือดกำเดาไหลและเลือดออกจากเหงื่อ เกิดรอยฟกช้ำตามร่างกาย มีความไวต่อเชื้อโรค และโลหิตจางซึ่งมันจะค่อยๆ ปรากฏออกมาทีละอย่าง ซึ่งโรคดังกล่าวจะส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเมื่อเวลาผ่านไป แม้ว่าเขาจะขานชื่อมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดไมอีลอยด์ออกมาสีที่ส่องออกมานั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไป

“โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดโปรไมอิโลซิติกส์”

และเมื่อกล่าวถึงชื่อนั้นทุกอย่างมันก็ชัดเจนยิ่งขึ้น ฟาร์มาคิดว่าตัวของปาลเล่ไม่ควรจะกลับไปยังโนวารูตเป็นอย่างยิ่ง

เพราะหากเป็นชนิดนี้จะมีแนวโน้มเลือดออกบริเวณเส้นเลือดภายในสมองได้ หากปาลเล่เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา การจะผ่าตัดสมองนั้นคงจะเป็นเรื่องยากเป็นอย่างมากและเกินมือของฟาร์มา ซึ่งเขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้อง

มองดูปาลเล่จากไป

หากเขาไม่มาหยุดที่ร้านขายยาก่อนหน้านี้ เขาคงต้องกลับไปสิ้นใจที่โนวารูตแน่ๆ

[นี่ไม่ใช่เวลาจะมาลังเลอีกต่อไปแล้ว]

เพราะมันมีเงื่อนไขที่ว่าชีวิตของปาลเล่กำลังอยู่ในความเสี่ยง

ฟาร์มาไม่อาจทนเก็บงำความลับได้อีกต่อไป

“ท่านพี่ครับ”

ฟาร์มาเดินตรงไปหาเอเลนและปาลเล่

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของน้องชายเขาในขณะที่ตนกำลังพูดเรื่องจริงจังเช่นนี้อยู่ ทำให้ปาลเล่คิดว่าฟาร์มาจะได้ยินมากสักแค่ไหนกัน

“ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน? มาหาเอเลนงั้นเหรอ? วันนี้คงจะมีคลาสสอนสินะ?”

ปาลเล่เรียกฟาร์มาและโบกมือให้เขาไปมาด้วยท่าทีที่สดใส

จากความตั้งใจของปาลเล่แล้ว ตัวเขาคงไม่ต้องการให้ฟาร์มารู้ถึงเรื่องนี้จริงๆ

แต่เขาก็ส่ายหัวไปมาราวกับจะบอกว่าตนไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

“ผมได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนะครับ”

“ฟาร์มา…เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะ…นายควรจะกลับไปทำในสิ่งที่นายทำได้ซะเถอะ ส่วนเรื่องของท่านพ่อกับท่านแม่…”

“พอเถอะครับ”

ขณะที่ปาลเล่กำลังพยายามเรียบเรียงคำพูดต่อฟาร์มาอยู่ ตัวฟาร์มาก็ได้พูดขัดเขาขึ้นมา

[ผมไม่อยากจะได้ยินคำสั่งเสียของท่านพี่หรอกนะครับ]

“มาสู้ไปด้วยกันเถอะครับท่านพี่”

เพื่อไม่ให้เรื่องที่เขากังวลนั้นกลายเป็นความจริง ฟาร์มาได้มองไปยังปาลเล่

“บางทีตัวยานั้นอาจจะได้ผลก็ได้”

ปาลเล่ตระหนักได้ทันทีว่าสิ่งที่ฟาร์มาพูดออกมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และไม่ใช่การพูดแบบผ่อนคลายตามปกติของน้องชายเขาเลย

“ยาของนายงั้นเหรอ?”

ปาลเล่ให้ความสำคัญกับคำพูดที่ตนกล่าวออกไปเป็นอย่างมากใน เพราะนั่นมันสามารถไปทำลายภาพลวงตาที่น้องชายของเขาสร้างขึ้นมาได้เลย

“ที่จริงตัวผมนี่แหละครับที่เป็นผู้ก่อตั้งและก็เจ้าของร้านขายยาต่างโลก”

“ว่าไงนะ?!”

เรี่ยวแรงของเขาได้หายไปจนสิ้นเมื่อได้ยินเรื่องนั้นก่อนจะทำคทาหลุดจากมือของตน

———–

Note 1 : ใกล้แล้วๆ

Note 2 : สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913