บทที่ 122 นอนด้วยกันแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่122 นอนด้วยกันแล้ว

นี่มันได้เหรอ?

หลานเยาเยาถือมีดสนามรบตรงไปยังห้องนอนของเย่แจ๋หยิ่ง แต่หลังจากมาถึงห้องนอนเขาแล้วกลับไม่เห็นร่างของเย่แจ๋หยิ่งเลย เห็นเพียงแต่อาหารเย็นมากมายเต็มโต๊ะ

นี่ไม่ใช่อาหารที่พ่อครัวหมายเลข1ทำหรอกหรือ?

แม้จะไม่มีสัญลักษณ์อะไรแต่ตอนที่พ่อครัวหมายเลข1ทำอาหารนางได้ดูทุกขั้นตอนดังนั้นนางจึงรู้เค้าโครงอาหารแทบทุกจาน

ยกมาที่นี่ทั้งหมดจริงๆด้วย

ดูเหมือนเย่แจ๋หยิ่งจะไม่อยู่

นางจะยกอาหารไปทั้งหมดเลย?

หรือนั่งกินตรงนี้จนอิ่มแล้วค่อยไป?

ยังไงที่นี่ก็มีเหล้า ติ่มซำ ผลไม้

ดูเหมือนเหล้านั้นจะหอมมาก ติ่มซำนั้นก็งดงาม ผลไม้ก็ดูสดมากๆ

ถ้ากินสามคนสู้แบ่งกินกันสองคนจะดีกว่า

ทั้งฮัวหยู่อันและโหลวเย่วก็ตะกละทั้งคู่เป็นพวก ถ้าไม่กินจนท้องกลมก็จะไม่หยุด

ดังนั้น กินที่นี่ละกัน!

ที่จริง!

ฮัวหยู่อันกับโหลวเย่วนั้นไม่ได้ผิดอะไรเลย เดิมทีปริมาณการกินอาหารของพวกนางน้อยมาก แต่ตั้งแต่หลังจากคืนนั้นไป ความอยากอาหารก็เพิ่มๆขึ้น

ใครจะรู้ว่าตอนที่หลานเยาเยาเพิ่งนั่งลงเตรียมขยับตะเกียบนั้นหลังมือก็เจ็บขึ้นมาทันที แล้วก็เห็นเย่แจ๋หยิ่งปรากฏตัวอยู่ข้างๆ

“ฮื่ม……”

“เจ้าตีข้าทำไมกัน?”

นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวใดๆจากการถูกตีโดยไร้เหตุผล หลานเยาเยาทำแก้มป่อง

“ก่อนกินอาหารไม่รู้จักล้างมือ ไม่ควรตีรึไง?”

นี่……

เพราะอย่างนี้เลยตีมือนาง?

เขาก็แค่เอ่ยเตือน นางก็จะไปล้างมือแล้วไหมนะ?

นี่ไม่พูดอะไรก็ตีนางเลย เป็นเพราะอยากตีนางมาตั้งนานแล้วใช่ไหมหล่ะ? เพียงแค่ยังไม่มีโอกาสก็เท่านั้น?

แต่ว่า!

คิดไปคิดมา นางลุกขึ้นไปล้างมือแล้วมากินข้าว

นางคิดออกแล้ว ที่เย่แจ๋หยิ่งสั่งให้คนนำอาหารของนางยกมาที่นี่น่าจะเป็นเพราะจะไม่ให้นางยกไป

นางไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ยังไงก็สู้เขาไม่ไหว!

อย่างมากครั้งหน้าก็ค่อยหาพ่อครัวให้ทำอาหารอร่อยให้อีก แล้วค่อยเอากลับมาให้พวกนางกิน

อย่างไรก็ตาม!

ตอนที่นางเดินไปถึงปากประตูก็ได้ยินเสียงน่าดึงดูดดังมาจากด้านหลัง

“ในห้องมีน้ำ!”

“อ้อ!”

หลานเยาเยาหันกลับมาทันทีก็เห็นอ่างน้ำใสๆวางอยู่ตรงนั้นดูเหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน

หลังจากล้างเสร็จอย่างรวดเร็วนางก็รีบมานั่งลงข้างโต๊ะ

“ข้ากินก่อนหล่ะ!”

“อื้ม!”

ที่จริงนางพูดประโยคนี้เป็นเพียงแค่การพูดตามมารยาท ไม่สนว่าเขาจะตอบรับหรือไม่นางก็จะเริ่มกินอยู่ดี

อันดับแรกสายตาของนางเริ่มเสาะหาเนื้อปลาที่นางชอบที่สุด

เอ่อ……

ปลาหล่ะ?

ทำไมในจานถึงเหลือแต่หัวปลากับหางปลาหล่ะ?

สายตานางก็เหลือบมองไปยังเย่แจ๋หยิ่งที่อยู่ข้างๆก็ต้องพบว่าเนื้อปลาตัวอวบอ้วนไปอยู่ในจานเขาหมด

เป็นไปไม่ได้ เขาก็ชอบกินปลาเหรอ?!

ช่างเถอะ!

ยังไงนางก็ไม่ใช่พวกถ้าไม่มีปลาแล้วจะไม่กินข้าวซะหน่อย นางจึงไปคีบอาหารเลิศรสอย่างอื่น

กินไปกินไปจู่ๆหน้าของนางก็มีจานนึงเกินมา ในจานนั้นเป็นเนื้อปลาทั้งหมดแต่ก็ยังคงจ้องจับผิด

ดวงตาของนางเป็นประกายแล้วก็จางลงทันที มองไปยังเย่แจ๋หยิ่งอย่างระแวดระวัง: “เจ้ามีจุดประสงค์อะไร?”

ใครจะรู้……

ทันทีที่นางพูดจบ

มือเรียวยาวของเย่แจ๋หยิ่งก็ยื่นมาจะเอาเนื้อปลาจานนั้นไป หลานเยาเยายื่นมือมาจับจานนั้นไว้แล้วหัวเราะแหะๆให้เขา

“ท่านอ๋อง วันนี้เจ้าหล่อมาก ดูมีรสนิยมมากๆ หน้าตาดีสุดๆ ไปที่ไหนใครๆก็รักก็ต้อนรับ……”

“……”อีกแล้ว

หลานเยาเยาพูดไปแล้วก็พลางใช้แรงดึงจานนั้นกลับมา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ปล่อยมือ นางก็รีบพูดชื่นชมอีก

สุดท้าย!

จากการพูดจาหว่านล้อม เนื้อปลาจานนั้นก็อยู่ตรงหน้านางอย่างราบรื่น ไม่รู้ว่าเพราะด้วยเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าเนื้อปลาวันนี้พอกินเข้าไปแล้วไม่ค่อยจะเหมือนเดิม

แต่ว่า!

หลานเยาเยารู้สึกว่า ทำไมเย่แจ๋หยิ่งถึงปรารถนาดีให้นางเลาะก้างปลาให้นางต้องเป็นเพราะทำอะไรผิดแน่

ถึงอย่างไรทั้งโต๊ะนี้นางก็เป็นคนเอากลับมา

ดังนั้นพวกเหล้าติ่มซำอะไรพวกนั้นนางจึงกินอย่างเบิกบานใจ

หลังจากกินดื่มจนอิ่มแปล้ หลานเยาเยาก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแกว่งอยู่ตรงหน้าเย่แจ๋หยิ่ง:

“มามามา หมดแก้ว!”

พูดจบ อีกแก้วก็ลงท้องไป

จนไม่รู้ว่าแก้วที่เท่าไหร่แล้วโดยรวมแค่รู้สึกว่ามึนๆงงๆ

ประมาณได้ว่าดื่มเยอะแล้ว!

จากนั้นนางก็รู้สึกถึงหนังตาที่หนักมากจนหลับฟุบไปกับโต๊ะอย่างไม่ทันรู้ตัว

เช้าวันรุ่งขึ้น ในช่วงกำลังสะลึมสะลือนางได้ยินเสียงนก “จ๊อกๆแจ๊กๆ” จนต้องขมวดคิ้วขึ้น

มันหนวกหู!

นอกหน้าตากมีนกอยู่กลุ่มนึงร้องกันอย่างร่าเริง แค่พวกมันบินไปเกาะกิ่งไม้แล้วร้องก็ถูกสายตาพิฆาตจากในห้องทำให้ตกใจหนีไป

เมื่อไม่มีเสียงพวกนกเอะอะแล้ว

คิ้วที่ขมวดเบาๆของหลานเยาเยาก็ค่อยๆคลายลง หลังจากนั้นก็หลับลึก ฝันหวานต่อไป……

จนกระทั่งตอนตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ตะวันก็โด่งขึ้นฟ้าแล้ว!

หลานเยาเยาพลิกตัวค่อยๆลืมตาอย่างช้าๆ

ทันทีที่ลืมตาก็เห็นแล้ว เห็นดวงตาคู่สวยอยู่ใกล้มากๆจนทำให้หลานเยาเยาสะดุ้งโหยง: “โหลวเย่ว เจ้าทำอะไรเนี่ย? วิ่งออกมาแต่เช้าทำคนตกใจ”

ใครจะรู้……

โหลวเย่วยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วจ้องนางอย่างสงสัย จนเห็นหลานเยาเยารู้สึกไม่สบายตัว ก็ไม่ได้พูดอะไร

“เจ้ามองข้าอย่างงี้ในใจข้าก็กลัวนะ”

หรือหลังจากที่นางเมาแล้วหลับไปเกิดอะไรขึ้น?

นางจึงรีบมองไปรอบๆก็พบว่าตนเองนอนอยู่ที่ลานซวนซีไม่ได้นอนอยู่ที่ห้องนอนของเย่แจ๋หยิ่ง ก็อดสงสัยไม่ได้

“ไม่ต้องกลัวๆ เป็นเรื่องดี ยินดีกับเจ้าด้วยเยาเยาในที่สุดเจ้าก็ได้เข้าห้องหอกับเสด็จอาแล้ว!”

เอ่อ……

นี่อะไรกับอะไรนะ?

ยังเข้าห้องหออีก! โหลวเย่วบ้าอะไรแต่เช้า?

ไม่สิ!

โหลวเย่วไม่สามารถพูดว่าเข้าห้องหอออกมาอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อวานหลังจากนางกินเหล้าเมาจนหลับไปแล้วต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน

“มีอะไรหรอ? เมื่อวานข้าเมาแล้วหลับไปจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เจ้าบอกข้าได้ไหม?”

ใครจะรู้……

ทันทีที่นางพูดจบโหลวเย่วก็จ้องนางราวกับเห็นผี

“เป็นไปไม่ได้! เรื่องพรรคนี้เจ้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ? หรือร่างกายเจ้าไร้ความรู้สึก? พูดตามเหตุผล การมีอะไรกันครั้งแรกมันจะต้องเจ็บมากๆ เจ้ารู้สึกว่าตนเองปวดบ้างไหม?”

โหลวเย่วสงสัย

หรือหนังสือก่อนๆนั้นมันหลอกลวง?

“ปวดสิ! หัวก็ปวด เจ้ารีบพูดเร็วว่าเกิดอะไร?”

นางกลัวมากจนรีบไปดูระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บว่าเลื่อนขึ้นหรือยังก็ต้องพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ชิ!

นี่ครั้งแรกเลยนะ!

คาดว่าแม้แต่จูบก็ไม่จูบ

“เมื่อคืนเสด็จอาอุ้มเจ้ากลับมาจากห้องนอนของเขา เจ้าก็โอบเขาไว้แน่นแยกมือยังไงก็แยกไม่ออกแถมยังดึงเสื้อเขาออกไปครึ่ง

หลังจากนั้นพวกเจ้าก็หลับไปบนเตียง เจ้ายังบอกอีกว่าเจ็บให้เสด็จอาเบาๆหน่อย ถึงยังไงหลังจากนั้นก็เป็นคำพูดกระมิดกระเมี้ยน ข้าก็อายที่จะฟัง”

ที่จริงไม่ใช่เพราะนางอายที่จะฟัง

แต่เพราะถูกเสด็จอาไล่ไป!

เมื่อฟังนางพูดจบ หลานเยาเยาก็งับปาก เมื่อวานเย็นนางฝันว่าตนเองแทะขาหมูตุ๋น ในฝันยังมีอาหารเลิศรสกองใหญ่ดังนั้นนางจึงแทะไม่หยุด

ไม่ใช่ว่านางกอดเย่แจ๋หยิ่งแล้วแทะอยู่ตลอดนะ?