บทที่ 107 นี่สิถึงจะเป็นการใช้ชีวิต

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 107 นี่สิถึงจะเป็นการใช้ชีวิต

คุณย่าซูทำอาหารให้คนในครอบครัวมาทั้งชีวิต ฝีมือจึงคล่องแคล่วว่องไวมาก

อีกทั้งยังเป็นเพราะซูหม่านซิ่วกำลังตั้งครรภ์ ร่างกายคุณย่าจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง ทั้งนวดแป้ง สับไส้เกี๊ยว เรียกได้ว่าปราดเปรียวเลยทีเดียว

เมื่อรวมกับความช่วยเหลือของเฉินจื่ออันแล้ว ความรวดเร็วยิ่งทวีคูณขึ้น

ซูหม่านซิ่วอยากมีส่วนร่วม หากแต่ก็ถูกพวกเขาไล่ออกมา

“คุณพักผ่อนเถอะ เรื่องแค่นี้เอง ให้ผมกับคุณแม่จัดการก็พอแล้ว” เฉินจื่ออันผลักซูหม่านซิ่วออกมาก่อนจะโน้มน้าวภรรยา

ซูเสี่ยวเถียนมองดูคนทั้งสองตอบโต้แบบนี้ ยามที่เธอยิ้ม ดวงตากลมโตก็หรี่ลงโค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว

วันนี้คุณย่าซูใจดีเป็นพิเศษ เธอทำเกี๊ยวด้วยแป้งสาลีล้วนใส่เนื้อให้มากหน่อย เกี๊ยวตัวอ้วนกลมทำให้คนมองรู้สึกชอบใจยิ่งนัก

หลังจากที่พลิกเกี๊ยวตัวอ้วนขาวเนียนไปสามรอบก็นำเกี๊ยวขึ้นจากหม้อ กลิ่นหอมกรุ่นคละคลุ้งเตะปลายจมูกชวนน้ำลายสอ

ตอนที่วางจานเกี๊ยวบนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ซูหม่านซิ่วยิ่งหิวกระหายมากขึ้น ทั้งยังลอบกลืนน้ำลายอย่างทนไม่ไหว

“คุณแม่คะ น่าอร่อยจัง!”

“เด็กคนนี้ ไม่เคยเห็นทำหน้าทำตาอยากกินขนาดนี้มาก่อนเลย” คุณย่าซูกล่าวเคล้ารอยยิ้ม

หัวเราะอยู่ดี ๆ แต่น้ำตากลับหลั่งรินออกมา ในบรรดาลูกทั้งหมดของตน คนที่เธอละเลยมากที่สุดคือซูหม่านซิ่ว

เพียงเพราะรู้ความตั้งแต่ยังเด็ก จึงทำให้เธอในฐานะแม่ไม่คิดกังวลใจแต่อย่างใด ครั้นเวลาผ่านไปนานเข้า เธอก็ถูกละเลย

“จื่ออันเอ๋ย เห็นเธอปฏิบัติอย่างดีต่อซิ่วเอ๋อร์แล้วฉันก็วางใจ เธอคงไม่รู้หรอกว่าในบรรดาพวกลูก ๆ ฉันรู้สึกเสียใจต่อซิ่วเอ๋อร์ที่สุด ตอนเด็ก ๆ ลูกสาวคนนี้ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบาย จากนี้ไปเธอต้องดูและซิ่วเอ๋อร์ให้ดีนะ”

ยิ่งพูดก็ยิ่งอึดอัดใจ น้ำตาไหลพรากอาบแก้มสองข้าง

“คุณแม่คะ แม่ร้องไห้ทำไม?”

พอเห็นคุณย่าซูที่จู่ ๆ ก็น้ำตาไหลออกมา ซูหม่านซิ่วไม่สนใจเกี๊ยวอีกต่อไป คว้ามือผู้เป็นมารดาอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยถาม

“ไม่เป็นไร ๆ แม่ก็แค่มีความสุขเท่านั้นเอง!” คุณย่าซูเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตา

“ซิ่วเอ๋อร์ แม่มีความสุขจังเลย ลูกสาวแม่มีลูกได้!”

คุณย่าซูเอ่ยประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง

ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่า คุณย่ารู้สึกอัดอั้นตันใจอยากพูดประโยคนี้มาตั้งนานแล้ว แต่เพราะลูกสาวคนโตมีลูกไม่ได้จึงไม่คิดจะพูดออกมา ทว่าวันนี้หม่านซิ่วมีลูกได้แล้วจึงรู้สึกมีความมั่นใจ

หลังมื้ออาหารกลางวัน คุณย่ารีบบอกว่าต้องรีบไปซื้อของ เพื่อที่เย็นนี้จะได้รีบกลับบ้าน

เฉินจื่ออันรีบแทรก “คุณแม่ครับ พวกแม่นอนพักที่นี่สักคืนเถอะ พรุ่งนี้ผมจะให้คนไปส่งที่บ้านเอง”

“วัวเทียมเกวียนในชุมชนต้องรอสักพักถึงจะได้กลับ พอฟ้ามืดก็ถึงบ้านพอดี จะพักอยู่บ้านพวกเธอไปทำไมกัน” คุณย่าซูบอกปัดอีกครั้ง

เธอรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่บ้านลูกสาว กลับบ้านตัวเองจะดีกว่า

อีกอย่างต้องรีบกลับบ้าน เพื่อบอกเรื่องนี้ให้ตาเฒ่าได้มีความสุขด้วยกัน!

“คุณแม่คะ ฉันยังอยากกินอาหารที่แม่ทำอยู่เลย” ซูหม่านซิ่วพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง“บะหมี่เส้นยาวที่แม่ทำตอนเด็ก ๆ ยังกินไม่พอเลย ตอนนี้ยังอยากกินอยู่เลยค่ะ”

ครั้นได้ยินว่าลูกสาวอยากกินอาหารที่ตัวเองทำ คุณย่าซูจึงไม่พูดเรื่องกลับบ้านอีกต่อไป

ตอนซิ่วเอ๋อร์ยังเด็ก สถานการณ์ในครอบบครัวย่ำแย่มาก อาหารดี ๆ สักมื้อก็ให้พวกพี่ชายกับน้องสาว ส่วนตัวเองกินให้น้อยที่สุด

ไม่ว่าตอนนี้เธอนึกอยากจะกินอะไร คนเป็นแม่ไม่ทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว

“เดี๋ยวแม่จะทำบะหมี่เอาไว้ให้ลูกนะ ทำเอาไว้เยอะหน่อย ตัดเป็นเส้นบาง ๆ เวลาลูกอยากกินก็จัดการลวกเองได้เลย อยากกินตอนไหนก็หยิบมาทำกินได้” คุณย่าซูพูดอย่างใจดี

ว่าจบก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าตอนลูกยังเด็กเป็นเหมือนกับตอนนี้บ้าง คงจะไม่เสียเปรียบหรอก เด็กร้องไห้ก็ต้องให้กินนม แม่เองก็รู้ว่าลำเอียงต่อลูก แต่ตอนนั้นบ้านเราจน จะทำอย่างไรได้ล่ะ!”

“แม่คะ ไม่ใช่ว่าตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้วหรือ? ฉันมีชีวิตที่ดีแล้ว แป้งสาลีไม่เคยขาด ข้าวขาวก็ได้กิน” ซูหม่านซิ่วง่วนอยู่กับการปลอบโยนมารดา

“คุณแม่วางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปล่อยให้หม่านซิ่วอยู่อย่างอดอยาก ผมจะทำให้เธอได้กินดีอยู่ดีแน่นอน” เฉินจื่ออันก็รีบแสดงท่าทีเช่นกัน

“ฉันรู้ว่าซิ่วเอ๋อร์สบายดี แต่หัวใจของคนเป็นแม่มันยังรู้สึกว่าปฏิบัติต่อลูกไม่ดีอยู่!” คุณย่าซูพูดพลางเช็ดตาด้วยเสื้อ

“คุณย่าคะ ถึงตอนเด็ก ๆ อาใหญ่จะมีชีวิตยากลำบาก แต่ตอนนี้มีชีวิตที่ดีแล้วค่ะ และอนาคตจะต้องดีขึ้นยิ่งกว่านี้ด้วย!” ซูเสี่ยวเถียนมองคุณย่าซูที่เป็นแบบนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจมาก จึงพยายามปลอบประโลม

“เฮ้อ เสี่ยวเถียนหลานรักถึงขนาดพูดแล้วว่าอาใหญ่จะมีชีวิตที่ดี จะต้องมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน” คุณย่าซูพูดแล้วอุ้มหลานสาว

“เด็กคนนี้โชคดีตั้งแต่เด็กเลย” ซูหม่านซิ่วยิ้ม “ฉันคิดว่าที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ได้เป็นเพราะพรที่ติดตัวมาของเสี่ยวเถียนแน่ ๆ”

“คุณย่าขา อาใหญ่ขา หนูอยากไปสหกรณ์ค่ะ” ซูเสี่ยวเถียนไม่อยากทำให้บรรยากาศในบ้านแย่ลงจึงเอ่ยขึ้น

“ได้สิ งั้นพวกเราไปกันเถอะ แล้วก็ไปห้างสรรพสินค้าด้วย” ซูหม่านซิ่วรีบตอบตกลงทันที

“เหล่าซาน รอไปถึงที่สหกรณ์แล้วค่อยไปบอกตาเฒ่าหน่อยนะว่าวันนี้พวกเราไม่กลับบ้าน”

“เมื่อเช้าที่แกพาลูกสาวออกมาด้วยกัน ฉันได้ยินว่ายายหวังไปถึงอำเภอแล้ว และวัวเทียมเกวียนที่ไปทางนู้นก็กลับมาพอดีจึงตามไปด้วย สักบ่ายสามครึ่งค่อยไปที่ประตูสหกรณ์แล้วกลับด้วยกันนะ”

ตอนนั้นเองที่เหล่าซานรู้ว่าทำไมมารดาถึงมาได้ทันเวลา ที่แท้ก็ตามยายหวังมานี่เอง

“คุณแม่คะ อีกสักพักค่อยไปสหกรณ์แล้วกันค่ะ” ซูหม่านซิ่วเตือนด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับมีน้ำตาคลอ

ในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ แม่ก็ยังใส่เสื้อนวมตัวเดิมมาหลายปีแล้ว ตอนที่นั่งเกวียนวัวจะต้องหนาวมาก ๆ มาตลอดทางแน่

คุณย่าซูลูบหัวลูกสาวแผ่วเบา “ดูฉันซิ สับสนไปหมดแล้วเนี่ย งั้นเดี๋ยวพวกเราค่อยไปสหกรณ์กันนะ”

เฉินจื่ออันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ช่วงบ่ายจึงไปจัดการธุระของตนเอง

ซูหม่านซิ่วขอลาหยุดแล้ว จึงไม่ได้ไปทำงานและไปซื้อของเป็นเพื่อนมารดากับคนอื่น ๆ แทน

ตอนที่ออกจากบ้าน เธอไม่ลืมหยิบตั๋วที่เก็บไว้ในบ้านเล็กน้อยออกมาด้วย พอถึงสหกรณ์ก็รู้ว่าในมือแม่ของเธอมีตั๋วเยอะมาก เยอะกว่าที่เธอมีเสียอีก

“คุณแม่ บ้านเราเอาตั๋วมาจากไหนเยอะแยะคะ” ซูหม่านซิ่วถาม

“อะไรที่ควรรู้ แค่รู้ไว้ก็พอแล้ว แต่อะไรที่ไม่ควรรู้ก็อย่าถาม พี่ชายพี่สะใภ้ยังไม่เคยถามเลย”

คนเป็นน้องหันไปมองหน้าพี่ชายคนที่สามของบ้าน แล้วก็เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้

เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าตั๋วตั้งเยอะตั้งแยะมาจากไหนกัน

ซูหม่านซิ่วนึกถึงตั๋วและเงินที่แม่ให้ตอนแต่งงานกับเฉินจื่ออัน ก่อนจะรู้ว่ามันมีความลับอยู่ จึงไม่ถามอะไรอีก

คุณย่าซูมาซื้อของเยอะแยะมากมาย ซื้อมาทุกอย่างตั้งแต่ของกินรวมไปถึงเสื้อผ้า

ซูหม่านซิ่วพบว่าตัวเองก็ซื้อของมาเยอะเหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นของปีใหม่สำหรับเด็ก ๆ ไม่ได้ซื้อให้ตัวเองเลย แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อกับแม่คนละชุด

เดิมทีจะซื้อเสื้อนวม แต่คุณย่าซูบอกว่าเดือนสิบสองแล้ว (ตามปฏิทินจันทรคติ) พอถึงเดือนหนึ่งอากาศก็จะร้อนขึ้น ซื้อมาจะเสียเปล่าเอาได้

แถมยังบอกว่าปีนี้ที่บ้านจะแบ่งฝ้ายกันด้วย เสื้อนวมทำเองอุ่นกว่าตั้งเยอะ

สุดท้ายซูหม่านซิ่วก็ทำได้แค่ซื้อเสื้อคลุมให้ทั้งคู่เท่านั้น