ตอนที่ 153 ความสุขทวีคูณ

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 153 ความสุขทวีคูณ

เซียวฮูหยินใช้ความสัมพันธ์ของตนเองหาตำแหน่งขุนนางระดับหกในวัดไท่ผูให้กับเยียนอวิ๋นฉวน

ตำแหน่งไม่ใหญ่โต แต่มีอำนาจอยู่บ้าง

เงินก็ไม่น้อย

เยียนอวิ๋นฉวนรู้สึกซาบซึ้งอย่างท่วมท้น เขาจึงมอบของขวัญพิเศษเป็นการขอบคุณ

นอกจากนี้เขายังส่งจดหมายถึงเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดา อธิบายรายละเอียดทุกอย่าง

เซียวฮูหยินรับของขวัญของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งกำชับให้เขาทำหน้าที่ให้ดี อย่าทำให้นางเสียหน้า

เยียนอวิ๋นฉวนย่อมต้องรับปาก เขาเปลี่ยนชุดเครื่องแบบราชการ เข้ารับตำแหน่ง เริ่มต้นเส้นทางขุนนางของเขา

ทางแคว้นซ่างกู่ เยียนโส่วจ้านรู้สึกตกใจเมื่อได้รับจดหมาย

เขาพูดกับตู้ซินแส “ข้าเข้าใจเซียวฮูหยินผิดไปหรือ นางเป็นคนริเริ่มช่วยเจ้าใหญ่หาตำแหน่งขุนนาง อีกทั้งยังเป็นขุนนางระดับหกในวัดไท่ผู เงินเดือนไม่น้อย”

ตู้ซินแสลูบเครา การวิจารณ์นายหญิงของนายท่านทำให้เขากดดันอย่างมาก

แต่ในฐานะที่ปรึกษา นายท่านมีคำถาม เขาย่อมควรตอบคำถาม

เขาครุ่นคิด พลางพูด “ข้าน้อยสังเกตการกระทำของฮูหยินในเมืองหลวง นางแบ่งแยกบุญคุณกับความแค้นอย่างชัดเจน ไม่ปิดบังความชอบหรือความเกลียด เป็นคนตรงไปตรงมา นายน้อยใหญ่เป็นผู้ที่มีขอบเขต รู้รุกรู้ถอย เป็นการง่ายที่จะสร้างความประทับใจแก่ผู้อื่น คราวนี้ฮูหยินหาตำแหน่งให้นายน้อยใหญ่ด้วยตนเอง บางทีนายน้อยใหญ่อาจทำเรื่องใดที่ทำให้ฮูหยินเกิดความซาบซึ้งใจ”

เยียนโส่วจ้านพยักหน้า “เจ้าเดาถูก รู้จักตระกูลเซิ่นในหยู่หนานหรือไม่”

ตู้ซินแสย่อมรู้จักตระกูลเซิ่นในหยู่หนาน “ตระกูลเซิ่นในหยู่หนานล่มสลายในคดีก่อกบฏองค์รัชทายาทจางอี้นานแล้ว ได้ยินว่าตายทั้งตระกูล หรือตระกูลเซิ่นยังมีผู้รอดชีวิต”

เยียนโส่วจ้านสะบัดจดหมาย “ตระกูลเซิ่นไม่เพียงยังมีผู้รอดชีวิต แต่พวกเขายังได้ฝึกฝนผู้มีพรสวรรค์ เจ้าคงจะรู้ว่าตระกูลเซิ่นเป็นตระกูลมารดาของเซียวฮูหยิน บุรุษของตระกูลเซิ่นเข้าเมืองหลวง เพียงแค่คิดก็รู้ว่าเซียวฮูหยินรู้สึกอย่างไร

เจ้าใหญ่ไม่เพียงรู้วิธีการปฏิบัติต่อเรื่องต่างๆ เขายังรู้วิธีปฏิบัติตนด้วย เมื่อคนตระกูลเซิ่นมาเยือน เขาออกหน้ารับรองด้วยตนเอง นอกจากนำคนผู้นั้นชมทิวทัศน์ของเมืองหลวงแล้ว ยังแนะนำคนให้เขารู้จัก เพียงเพราะเรื่องนี้ เซียวฮูหยินจึงยอมหลุดปากหาตำแหน่งให้เจ้าใหญ่”

เมื่อตู้ซินแสได้ยิน เขาจึงพูดขึ้นทันที “เห็นได้ชัดว่าในใจของฮูหยินห่วงใยตระกูลเซิ่นอย่างมาก”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะออกมา “นางไม่อาจไม่ห่วงใยได้ ตระกูลเซิ่นแทบจะล่มสลายเพราะคดีก่อกบฏขององค์รัชทายาทจางอี้ คนนับพันล้วนต้องเป็นเครื่องสังเวยให้ตำหนักบูรพา มันเป็นหนี้ชีวิต เซียวฮูหยินไม่อาจชำระได้หมดในชาตินี้

เด็กตระกูลเซิ่นผู้นั้นมีความสามารถ อีกทั้งไม่โง่เขลา เซียวฮูหยินยอมฝึกฝนเขา เจ้าใหญ่ให้ความช่วยเหลือ เขาจึงได้รับความซาบซึ้งจากเซียวฮูหยิน หากรู้เช่นนี้ ข้าจะส่งคนไปหาตระกูลเซิ่นออกมา ไม่แน่ว่าข้าอาจได้รับความซาบซึ้งจากเซียวฮูหยินด้วย”

พูดจบ เขายังหัวเราะเยาะตัวเอง ราวกับมันเป็นเรื่องที่น่าขบขันอย่างมาก

หากเซียวฮูหยินอยู่ในเหตุการณ์ คงต้องถ่มน้ำลายใส่เขาอย่างแน่นอน

ตู้ซินแสรีบพูด “ขอแสดงความยินดีกับท่านโหว ในเมื่อตระกูลเซิ่นมีผู้สืบทอด พวกเราก็ถือว่ารู้จุดอ่อนของฮูหยินแล้ว นายน้อยได้อยู่ในเมืองหลวงเป็นขุนนางตามความปรารถนา อีกทั้งยังอยู่ในวัดไท่ผูที่สำคัญ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง!”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะ “ถือได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทั้งสองเรื่อง เจ้าใหญ่รับราชการในราชสำนัก ย่อมต้องมีเรื่องรับมือไม่น้อย ส่งเงินไปให้เขาอีกเสียหน่อย แอบส่งไป อย่าให้อวิ๋นเกอรู้เด็ดขาด หากให้นางรู้ นางย่อมต้องหลอกปล้นเงินเจ้าใหญ่ เจ้าใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นเกอ”

“ท่านโหวรอบคอบยิ่งนัก”

ตู้ซินแสประจบทันที

เยียนโส่วจ้านลูบหน้าผาก ขุ่นเคืองเล็กน้อย “อวิ๋นเกอดีทุกเรื่อง เวลานี้ก็สามารถพูดได้แล้ว สิ่งเดียวที่ไม่ดีคือจะเอาแต่เงิน แม้แต่เงินของข้านางยังกล้าจับจ้อง ช่างบังอาจนัก ส่งจดหมายไปให้นาง เสบียงที่เก็บในฤดูร้อน ข้าต้องการส่วนแบ่ง”

เฉินฮูหยินดีใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าบุตรชายคนโต เยียนอวิ๋นฉวนเป็นขุนนางในเมืองหลวง

แต่เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะเซียวฮูหยิน บุตรชายของนางจึงได้รับตำแหน่ง ความดีใจนี้ก็หายไปกว่าครึ่ง

“นางช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าหาตำแหน่งขุนนาง เพิ่งสำนึกในมโนธรรมหรือ”

นางคุยกับบุตรสาวเยียนอวิ๋นจือ

ระยะนี้เยียนอวิ๋นจือกำลังหารือเรื่องงานแต่ง บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข

นางพูดเสียงเบา “ฮูหยินเป็นคนดีไม่น้อย ข้าอยู่ในเมืองหลวงกว่าครึ่งปี ฮูหยินเกรงใจต่อข้ามาก ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้ข้า ฮูหยินยอมช่วยพี่ใหญ่ถือเป็นเรื่องดี!”

เฉินฮูหยินอารมณ์เสียมาก

นางจิ้มหน้าผากของบุตรสาวอย่างแรง “เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับนางเพียงไม่กี่วันก็เข้าข้างนางเสียแล้ว ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาสิบกว่าปีกลับได้การตอบแทนเช่นนี้ ช่างเสียแรงที่เลี้ยงเจ้ามา”

เยียนอวิ๋นจือก้มหน้า พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าเพียงแค่พูดความจริง เหตุใดท่านแม่จึงต่อว่าข้า”

เฉินฮูหยินส่งเสียงไม่พอใจ “ต่อว่าเจ้ายังเบาไป คนที่กินบนเรือน ขี้บนหลังคาอย่างเจ้าควรจะถูกโบย”

“ท่านให้บ่าวรับใช้โบยข้าเลย โบยข้าให้ตายไปเลย”

เมื่ออารมณ์ของเยียนอวิ๋นจือขึ้นมา นางก็ไม่มีทางเก็บเอาไว้

อีกทั้งยังเป็นการพูดกับมารดา นางย่อมพูดตามใจตนเอง ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

เฉินฮูหยินโกรธจัด “ลูกตัวดี ไร้จิตสำนึก”

เยียนอวิ๋นจือส่งเสียงไม่พอใจ “ฮูหยินยอมช่วยพี่ใหญ่หางานก็ไร้จิตสำนึกอย่างนั้นหรือ”

เฉินฮูหยินได้ยินจึงเกิดความโกรธในใจ “พี่ใหญ่เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับฮูหยิน หากถูกฮูหยินมัดใจย่อมเป็นเหมือนกับเจ้า ต่อจากนี้เข้าข้างแต่ฮูหยิน ข้าจะทำอย่างไร”

เมื่อนึกถึงบุตรชายของตนเองสนิทกับเซียวฮูหยิน ห่างเหินจากตนเอง เฉินฮูหยินก็ร้อนใจอย่างมาก

“ไม่ได้! ไม่อาจให้ฮูหยินหลอกล่อพี่ใหญ่ของเจ้าไป”

“ท่านแม่ ท่านกำลังกังวลเกินไป ข้าอยู่เมืองหลวงกว่าครึ่งปี เห็นมากับตาตัวเอง ปกติฮูหยินไม่ยอมพบพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ พี่ใหญ่ไปมาหาสู่กับน้องสี่บ่อยกว่าเสียอีก”

เฉินฮูหยินถลึงตา “พี่ใหญ่เจ้าเหลวไหล! เขาไปมาหาสู่กับเยียนอวิ๋นเกอได้อย่างไร เยียนอวิ๋นเกอเป็นตัวหายนะ ผู้ใดพัวพันย่อมต้องโชคร้าย”

“ท่านแม่กำลังพูดเหลวไหลอีกแล้ว! น้องสี่มีความสามารถมาก นางจัดตั้งแปลงนาใหญ่ในเมืองหลวง แม้แต่…”

“เจ้าหุบปาก!”

เฉินฮูหยินทนฟังต่อไปไม่ไหว

บุตรสาวไปเมืองหลวงมาก็กลายเป็นคนของเซียวฮูหยินและเยียนอวิ๋นเกอเสียแล้ว

ช่างน่าโมโหยิ่งนัก

นางบิดหูของเยียนอวิ๋นจือ “ข้าไม่ดีต่อเจ้าหรือ มีของอร่อยใด ของเล่นใด ของมีค่าใดล้วนยกให้เจ้า ข้าวิ่งจนขาแทบหักเพื่องานแต่งของเจ้า แต่เจ้ามัวแต่พูดถึงเซียวฮูหยิน เจ้าเด็กไร้จิตสำนึก”

เยียนอวิ๋นจือเจ็บหู “เจ็บๆๆ ท่านแม่ปล่อยมือ”

เฉินฮูหยินปล่อยหูของนางออก ส่งเสียงไม่พอใจ “ต่อจากนี้อย่าพูดถึงเซียวฮูหยินให้ข้าได้ยินอีก มิฉะนั้นข้าไม่ให้อภัยเจ้าแน่”

เยียนอวิ๋นจือนวดหูของตนเอง รู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก

“ท่านแม่รู้แต่จะตำหนิข้า หากท่านมีความสามารถ ท่านก็หาตำแหน่งในเมืองหลวงให้พี่ใหญ่เสียเองสิ!”

“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”

แม่ลูกทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้ง เรือนด้านหลังต่างแตกตื่น

บรรดาบ่าวรับใช้ไม่แปลกใจ

นับแต่คุณหนูสามกลับมา เหตุการณ์เช่นนี้มักปรากฏเดือนละครั้ง

เยียนอวิ๋นเกอได้รับเงินจำนวนแรกจากเซียวอี้

เก้าร้อยคน คนละห้าก้วนต่อเดือน รวมทั้งหมดสี่พันห้าร้อยก้วน

เขาส่งค่าใช้จ่ายในครึ่งปีแรกมาในคราวเดียว รวมทั้งสิ้นสองหมื่นเจ็ดพันก้วน

เขาบอกว่าเหรียญทองแดงหนักเกินไป ไม่สะดวกต่อการขนส่งและพกพา จึงเปลี่ยนเป็นทองและเงินทั้งหมด

เยียนอวิ๋นเกอรู้สึกถึงความ ‘ร่ำรวย’ เมื่อเห็นทองและเงินเต็มลัง

ฮ่าๆๆ …

รวยแล้ว!

ยุคสมัยนี้ เงินทองมีมูลค่ามาก ผู้คนทั่วไปไม่อาจพบเห็นได้

เงินทองก้อนนี้ นางสั่งให้อาเป่ยนำเข้าคลัง ไม่คิดจะหยิบออกมาใช้จ่าย

สาวรับใช้ อาเป่ยเป็นผู้ทำลายบรรยากาศ

นางถามเยียนอวิ๋นเกอ “วางไว้กับจี้หยกนั้นหรือเจ้าคะ”

จี้หยกใด

เยียนอวิ๋นเกอฉงนไปชั่วขณะ

หลังจากที่อาเป่ยเอ่ยเตือน ในที่สุดเยียนอวิ๋นเกอก็ระลึกถึงความทรงจำที่นางไม่อยากระลึกถึง

ความรู้สึกร่ำรวยหายไปในทันที

นางโบกมือ พลางพูด “วางไว้ด้วยกัน มีโอกาสนำเงินมัดจำคืนให้เขา”

อาเป่ยแอบพึมพำ “เกรงว่าคงคืนไม่ได้แล้ว”

เยียนอวิ๋นเกอไม่อาจถือสานาง

ทหารเก้าร้อยนาย ไม่มากไม่น้อย

เก้าร้อยนายนี้ปักหลักในเรือนพักร่ำรวยอันกว้างใหญ่ เปรียบเหมือนดินโคลนที่ไหลเข้าแม่น้ำ น้ำหนึ่งชามหล่นลงไปในถังน้ำ

เยียนอวิ๋นเกอสงสัยเล็กน้อย ฝีมือของทหารเหล่านี้อยู่ระดับใด เมื่อเทียบกับองครักษ์ของตนเอง ผู้ใดจะเก่งกว่า

ดังนั้นนางจึงอาศัยวันที่อากาศดี นั่งรถมาสำรวจงานในเรือนพักร่ำรวย

เถ้าแก่สำรวจงาน ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านใหญ่หรือผู้อพยพต่างกระฉับกระเฉงขึ้นมา

เมื่อเยียนอวิ๋นเกอมาถึงก็เป็นเวลาข้าวกลางวันพอดี

บังเอิญมาก

นางเดินไปสำรวจโรงอาหารก่อน อาหารไม่มากนัก แต่ดีที่สามารถกินให้อิ่มได้ อีกทั้งยังมีน้ำแกงกระดูกให้กิน

นางเห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยจำนวนมากในโรงอาหาร

มีผู้อพยพ แต่ก็มีเกษตรกรระแวกนี้ที่มาทำงานหาเงินในเรือนพักร่ำรวย

พ่อบ้านใหญ่เยียนสุยบอกนาง “มีผู้อพยพจำนวนมากไม่อยากทำอาหารเองเพราะยุ่งยาก โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ยังไร้ครอบครัว หรือผู้ที่ในเรือนไม่มีสตรี พวกเขาต่างใช้เสบียงมาแลกอาหารในโรงอาหาร เช้ากลางวันเย็นล้วนมากินที่โรงอาหาร ถึงแม้จะแพงกว่าทำเองไปบ้าง แต่ดีที่ประหยัดเวลา อีกทั้งยังสามารถประหยัดเงินในการซื้อเครื่องครัว”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า

คนขี้เกียจมักชอบกินโรงอาหาร

หากอยากกินดีขึ้นมาหน่อย รสชาติดีกว่าหน่อย ประหยัดเงินหน่อย ทำเองย่อมคุ้มค่ากว่า

ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยนี้ หรือนับร้อยพันปีต่อมา คนที่ทำอาหารเป็น คนที่อยากทำอาหาร หรือคนที่ทำอาหารอร่อยล้วนมีจำนวนน้อย

ออกจากโรงอาหาร เยียนอวิ๋นเกอก็เดินทางไปยังโรงหัตถกรรม และโรงตีเหล็ก

งานหัตถกรรมของเรือนพักร่ำรวย จากการถักทอถุงเชือกป่านขยายไปจนถึงการถักทอผ้าผืนแล้ว…

เครื่องถักผ้าร้อยกว่าเครื่องวางเรียงรายอยู่ในโกดัง

คนงานถักทอทั้งชายหญิง ทำงานอยู่ในโกดังทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็น ทำมากได้มาก

เยียนสุยพูด “งานถักทอใช้เกษตรกรจากท้องถิ่นเจ็ดส่วน เกณฑ์จากผู้อพยพสามส่วน คนงานในโรงตีเหล็ก ครึ่งหนึ่งเป็นคนท้องถิ่น อีกครึ่งหนึ่งเป็นคนนอกเมือง ไม่มีผู้อพยพแม้แต่คนเดียวตามคำสั่งของคุณหนู”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “ดีมาก!”

ผู้อพยพชอบเกาะกลุ่ม กลุ่มหนึ่งอย่างน้อยหลายสิบคน อย่างมากหลายร้อยถึงเกือบพันคน

คนเหล่านี้ชอบเกาะกลุ่มทำงาน เป็นแรงงานชั้นดี

แต่หากเกณฑ์พวกเขาเข้าทำงานในโรงตีเหล็กย่อมเป็นการหาเรื่องให้ตัวเอง

คุณสมบัติของการเกาะกลุ่มคือกลุ่มสำคัญกว่าเถ้าแก่ ภายในกลุ่มแทบจะไม่มีความลับ

กินข้าวของเถ้าแก่ แต่กลับเปิดเผยความลับของเถ้าแก่ออกไปทั้งหมด อันตรายอย่างมาก

เพื่อความปลอดภัย เยียนอวิ๋นเกอจึงไม่รับผู้อพยพแม้แต่คนเดียวเข้ามาในโรงตีเหล็ก