ตอนที่ 148 ยินยอมหย่าร้าง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 148 ยินยอมหย่าร้าง

ตอนที่ 148 ยินยอมหย่าร้าง

เพียงแค่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตการแต่งงานหกเดือนที่ผ่านมา เฉินเจียซิ่งก็พลันปวดหัว

ตอนที่อารองและอาสะใภ้รองมาร่วมรับประทานอาหารฉลองปีใหม่ เสิ่นเสี่ยวเหมยก็พยายามหาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนได้ จนทำให้เกือบจะทะเลาะกับอาสะใภ้รอง

อารองและอาสะใภ้รองไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ใครจะกล้าหาเรื่องให้หล่อนโกรธ?

ไหนจะเรื่องของพวกลูกพี่ลูกน้อง แต่เดิมพวกเขาต่างเป็นมิตรสนิทสนมกับเสิ่นเสี่ยวเหมย แต่สุดท้ายหล่อนก็ทำตัวหยิ่งผยอง วางมาดใหญ่โต ทั้งยังดูถูกทุกคน ตอนนี้เมื่อญาติ ๆ เหล่านั้นเห็นหล่อน ก็ล้วนไม่มีใครสนใจ

ไม่ต้องพูดถึงพี่ใหญ่ของเขา

เขาเข้าใจถึงความไม่เต็มใจของเสิ่นเสี่ยวเหมยที่จะมาเป็นคู่สะใภ้กับหลินเซี่ย

แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หล่อนจึงใส่ร้ายป้ายสีครั้งอีกฝ่ายแล้วครั้งเล่า ทั้งยังส่งหลิวจื้อหมิงไปหลอกล่อหลินเซี่ย นับว่าเป็นคนที่น่ากลัวไม่น้อยเลยจริง ๆ

ต่อให้เฉินเจียซิ่งมีนิสัยอ่อนโยน ไม่มีความเห็นเป็นของตัวเอง แต่กระดูกของเขาก็ไม่ได้ดำมากมายนัก บางครั้งเขาก็ไม่อาจทำตามถ้อยคำของเสิ่นเสี่ยวเหมยได้โดยไม่มีเงื่อนไขและไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

ผู้เฒ่าเฉินกล่าวว่า “พรุ่งนี้หลังเลิกงานก็ไปหาหล่อนดูอีกครั้ง อย่างไรเสียหล่อนก็เป็นภรรยาของหลาน จะปล่อยให้ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง หลานไปบอกหล่อนว่าหากไม่ต้องการเผชิญหน้ากับหลินเซี่ย พวกหลานสองคนจะแยกบ้านย้ายออกไปก็ได้”

“ขอบคุณครับปู่”

วันรุ่งขึ้นในช่วงบ่ายหลังเลิกงาน เฉินเจียซิ่งทำตามที่ผู้เฒ่าเสิ่นบอก เขาไปรอเสิ่นเสี่ยวเหมยหน้าที่ทำงานของหล่อน

เสิ่นเสี่ยวเหมยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การเงินที่โรงงานเครื่องจักรไห่เฉิง โดยมีเสิ่นเถี่ยจวินเป็นคนจัดการหน้าที่การงานให้หล่อนเช่นกัน

หล่อนแต่งตัวทันสมัย สวมรองเท้าบูทสูงถึงเข่า เดินออกมาจากประตูโรงงานด้วยท่าทางหยิ่งยโส

เฉินเจียซิ่งรีบทักทายหล่อน “เสี่ยวเหมย กลับบ้านกับผมเถอะ”

เสิ่นเสี่ยวเหมยกอดอก วางมาดมองเขา แล้วถามว่า “คุณจัดการเรียบร้อยแล้วเหรอ?”

“คุณปู่บอกว่าถ้าคุณไม่อยากอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับหลินเซี่ยจริง ๆ เราก็ย้ายออกไปได้”บราวนี่ออนไลน์

เฉินเจียซิ่งคิดว่าหลังจากพูดแบบนี้แล้วเสิ่นเสี่ยวเหมยจะมีความสุขมาก และในอนาคตพวกเขาจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตในโลกที่เป็นอิสระของเราสอง

ใครจะคาดคิดว่าสีหน้าของเสิ่นเสี่ยวเหมยกลับเปลี่ยนไปโดยพลัน “อะไรนะ? นี่คือวิธีแก้ปัญหาของครอบครัวคุณงั้นเหรอ?”

หล่อนผลักเฉินเจียซิ่งอย่างแรงด้วยสีหน้าโกรธเคือง ก่อนเอ่ยด้วยอารมณ์ “พวกคุณอยากจะไล่ฉันออกไป แล้วปล่อยให้หลินเซี่ยอาศัยอยู่เหรอ? เป็นแบบนั้นใช่ไหม?”

เฉินเจียซิ่งถูกผลักถอยหลังไปหลายก้าว เขาพูดด้วยความยากลำบาก “พี่ใหญ่แต่งงานกับหล่อนแล้ว พวกเขาไม่ยอมหย่ากัน แล้วผมจะไปทำอะไรได้? ปกติแล้ว พี่ใหญ่และหลินเซี่ยไม่ค่อยกลับมาที่บ้าน อีกทั้งหลังจากหลินเซี่ยมาที่บ้านครั้งนั้น หล่อนก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านอีก หล่อนย่อมไม่มาทำให้คุณต้องหงุดหงิดใจแน่นอน”

เสิ่นเสี่ยวเหมยตะคอกเสียงเย็น “ไม่ว่าหล่อนจะกลับบ้านหรือไม่ก็ตาม แต่สถานะของหล่อนก็อยู่ที่นั่น ตราบใดที่หล่อนยังเป็นภรรยาของเฉินเจียเหอ มันก็ทำให้ฉันหงุดหงิดใจอยู่ร่ำไป”

ท่าทางของเสิ่นเสี่ยวเหมยทำให้เฉินเจียซิ่งผิดหวังอย่างยิ่ง เขาจึงเอ่ยอย่างหมดความอดทน “คุณหยุดพาลหาเรื่องไปเรื่อยแบบไร้เหตุผลสักทีได้ไหม? พวกเราก็แค่ใช้ชีวิตของเรา ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา ไม่มีใครบังคับให้คุณต้องเรียกหล่อนว่าพี่สะใภ้นี่”

“ใครพาลหาเรื่องไปเรื่อยแบบไร้เหตุผลกัน? ไอ้คนไม่ได้เรื่อง จัดการอะไรก็ไม่ได้ แถมยังมาโทษฉันอีก”

เสิ่นเสี่ยวเหมยไม่คาดคิดว่าเฉินเจียซิ่งจะแปรพักต์และพูดแทนหลินเซี่ย หล่อนตรงเข้าไปตบเขาอย่างแรงสองครั้ง

ในเวลานี้เป็นเป็นชั่วโมงเร่งด่วนหลังเลิกงาน คนงานในโรงงานต่างก็เดินออกมาจากโรงงาน ขณะที่ชายชาตรีอย่างเฉินเจียซิ่งถูกผู้เป็นภรรยาตบหน้าในที่สาธารณะ ทั้งยังถูกกล่าวหาว่าไม่ได้เรื่อง ใบหน้าของเขาก็พลันปวดแสบปวดร้อน รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของเขาถูกเหยียบย่ำ

เมื่อมองดูผู้หญิงตรงหน้า สีหน้าของเขาพลันเศร้าหมองและสิ้นหวัง แววตาก็เรียบเฉยเงียบงัน

เสิ่นเสี่ยวเหมยมองหน้าตาที่ดูซึมกะทือของเขาก็ยิ่งดูถูกเขามากขึ้น หล่อนหันหลัง ก่อนจะจิกส้นสูงเดินจากไป

“เสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นคนอารมณ์ร้ายและปากจัดจริง ๆ”

“แน่ล่ะ หล่อนเป็นลูกพี่ลูกน้องของผู้อำนวยการเสิ่น ได้ยินมาว่าผู้เฒ่าเสิ่นเอ็นดูหล่อนเป็นพิเศษ”

“คนที่หล่อนมองหาไม่ใช่ว่ามาจากตระกูลร่ำรวยหรอกหรือ? เป็นผู้ชายคนหนึ่งทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้”

“นั่นสิ ฉันได้ยินมาว่าเป็นคนของชุมชนบ้านพักทหาร แต่ถูกระบุว่ามีข้อบกพร่องทางร่างกาย ไม่อย่างนั้นเขาจะยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นขยะได้ยังไง?”

คนงานในโรงงานเครื่องจักรที่เดินผ่านไปมาต่างพากันกระซิบกระซาบพลางชี้มาที่เขา

เฉินเจียซิ่งกุมใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ปวดแสบปวดร้อนของตนไว้พร้อมกับหัวใจที่ไร้ซึ่งความหวัง

…….

ใบหน้าของเฉินเจียซิ่งแดงและบวม เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงก็กลับมาทั้งคู่แล้ว ทั้งครอบครัวกำลังรอเวลาอาหารเย็น

“หน้าของลูกไปโดนอะไรมา?” โจวลี่หรงสังเกตเห็นสิ่งที่ดูเหมือนรอยตบบนใบหน้าของเฉินเจียซิ่ง

เฉินเจียซิ่งก้มหน้าลงโดยไม่ได้ตอบอะไร จากนั้นจึงเดินขึ้นไปชั้นบน

ผู้เฒ่าเฉินเอ่ยเสียงดุ “หยุดอยู่ตรงนั้น”

เฉินเจียซิ่งจำต้องหยุดฝีเท้าพลางก้มหัวลง ด้วยไม่กล้ามองครอบครัวของเขา

“ปู่บอกให้หลานไปพาเสิ่นเสี่ยวเหมยกลับบ้าน แล้วทำไมหลานถึงกลับมาในสภาพนี้?”

จากนั้นผู้เฒ่าเฉินก็เดาได้ทันที “เสิ่นเสี่ยวเหมยตบหลานใช่ไหม?”

เฉินเจียซิ่งยังคงก้มหน้าก้มตาและนิ่งเงียบ

“หลานนี่มันไม่ได้เรื่องได้ราวจริงๆ” ผู้เฒ่าเฉินมองเขา แล้วลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ อยากจะต่อยเขา แต่ถูกคุณย่าเฉินห้ามเอาไว้

เฉินเจิ้นเจียงมองลูกชายที่อ่อนแอคนนี้ ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ทำไมหล่อนถึงตบลูก?”

ชายชาตรีคนหนึ่ง ตั้งแต่แต่งงานก็ถูกตบตีจนจมูกเขียวหน้าบวมอยู่บ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่บ้าน พวกเขายึดถือหลักการว่าจะไม่เข้าไปก้าวก่ายชีวิตคู่ของทั้งสอง จึงปิดตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด

ในตอนนี้เขาไปอยู่ข้างนอก ก็ยังถูกตบตีมาอีก

หน้าตาของตระกูลเฉินสูญสิ้นไปหมดเพราะลูกชายขี้ขลาดไร้ความสามารถคนนี้จริง ๆ

เมื่อสบตากับพ่อของเขา เฉินเจียซิ่งอธิบายด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “หล่อนไม่พอใจที่ผมไร้ความสามารถ ไม่สามารถทำให้พี่ใหญ่หย่ากับหลินเซี่ยได้”

เฉินเจียวั่งผู้ไม่เคยเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ด้วยเห็นว่าไม่ใช่กงการของตนพลันวางตะเกียบลง มองเฉินเจียซิ่งด้วยสีหน้าไม่แยแส และพูดเบา ๆ “แทนที่จะให้พี่ใหญ่หย่ากับเมียเขา ไม่สู้ให้พี่เป็นคนหย่ากับเมียพี่เองจะดีกว่า”

คุณย่าเฉินรีบขยิบตาให้เฉินเจียว่างเพื่อหยุดเขา “เจียวั่ง อย่าพูดแบบนั้น มีน้องชายที่ไหนบ้างยอมให้พี่ชายของตัวเองหย่าร้าง?”

“ย่าครับ ทำไมจะไม่มีล่ะครับ? พี่รองของผมพยายามอย่างหนักเพื่อทำลายชีวิตแต่งงานของพี่ใหญ่ของผมมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอครับ? ผมเองก็เรียนรู้จากเขามา”

ถ้อยคำของเฉินเจียวั่งทำเอาเฉินเจียซิ่งไร้คำพูดไร้คำตอบ

กระทั่งตอนที่เฉินเจียวั่งบอกว่าให้เขาเป็นฝ่ายหย่าร้างแทน ในใจลึก ๆ แล้วเขาก็มีความคิดแบบนั้นจริง ๆ

เฉินเจียซิ่งไม่อยากอาหาร จึงตรงกลับไปยังห้องของเขา แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียง

โจวลี่หรงนำผ้าเย็นมาให้เขาประคบใบหน้า

แม้ว่าลูกชายของพวกเขาจะไร้ความสามารถ แต่เขาก็ถูกตบตีมาโดยตลอด และพวกเขาในฐานะสมาชิกในครอบครัวต่างก็ทั้งเจ็บปวดหัวใจไปพร้อม ๆ กับเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้

โจวลี่หรงนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองดูเขา แล้วกล่าวว่า “เจียซิ่ง พี่ใหญ่ของลูกและหลินเซี่ยเป็นสามีภรรยากันแล้ว นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก่อนหน้านี้แม่ทำตามคำแนะนำของเสี่ยวเหมย พาลูกไปที่บ้านเกิดเพื่อต่อต้านพวกเขา จนทำให้พี่ใหญ่ของลูกเกือบจะตัดความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกกับแม่แล้ว แม่ขอแนะนำว่าลูกอย่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้อีก ไม่มีใครที่จะสามารถไปกำหนดพี่ใหญ่ของลูกได้ แล้วก็หลังจากเข้าไปสมาคมด้วย แม่ก็พบว่าหลินเซี่ยแตกต่างจากที่เสิ่นเสี่ยวเหมยพูดพร่ำโดยสิ้นเชิง พี่ใหญ่ของลูกมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่ และคนที่เขายอมรับย่อมไม่มีทางที่จะทอดทิ้ง ต่อไปลูกก็อย่าได้คิดที่จะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาอีกเลย”

“ถ้าอย่างนั้นจะให้ผมเลิกรากับหล่อนเหรอครับ?” เฉินเจียซิ่งใช้มือข้างหนึ่งจับผ้าประคบไว้บนหน้า พลางมองไปยังโจวลี่หรงซึ่งอยู่ข้าง ๆ

ณ จุดนี้ เขาหวังว่าแม่ของเขาจะให้คำตอบเชิงบวกแก่เขาและทำให้เขากล้าพอที่จะก้าวต่อไป

โจวลี่หรงคิดว่าเฉินเจียซิ่งกำลังบ่นต่อว่า จึงอธิบายด้วยเหตุผล “เจียซิ่ง แม่ไม่เคยอยากให้ลูกต้องยอมแพ้ในชีวิตแต่งงาน แม่ไปร้องขอหล่อนด้วยตัวเองถึงประตูบ้าน สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไรล่ะ? ลูกเองก็เห็นท่าทางที่ผู้เฒ่าเสิ่นปฏิบัติต่อแม่ในวันนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชีวิตแต่งงานของลูก ไหนเลยแม่จะต้องพยายามข่มกลั้นโทสะแบบนั้น? เหตุผลที่หล่อนไม่กลับมาเป็นเพราะไม่สามารถยอมรับที่พี่ใหญ่ของลูกแต่งงานกับหลินเซี่ยได้ ลูกทำให้เราถูกบีบให้อยู่ตรงกลางแล้วจะทำอย่างไร?”

เฉินเจียซิ่งหลับตาลงพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันมองไปยังโจวลี่หรงพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่ครับ ผมคิดดูแล้ว ถ้าหล่อนไม่อยากอยู่กับผมจริง ๆ งั้นก็หย่ากันไปเถอะครับ”

โจวลี่หรงไม่คิดว่าเฉินเจียซิ่งจะมีความคิดเช่นนี้ขึ้นมาในทันที

เขาเชื่อฟังเสิ่นเสี่ยวเหมยมากแค่ไหน ทุกคนต่างรับรู้

“การแต่งงานนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มก็มีแต่ผมที่ดันทุรังตามจีบหล่อน ผมยอมรับว่าในตอนที่ผมตามจีบหล่อน ผมชอบหล่อนมาก และด้วยความปรารถนาของผู้ชายที่จะพิชิตให้ราบคาบทำให้ผมรู้สึกว่าการที่คว้าหญิงสาวผู้เย่อหยิ่งเช่นนี้มาได้นั้นเป็นหน้าเป็นตาอย่างยิ่ง อันที่จริงหล่อนแต่งงานกับผมก็เพราะพื้นฐานครอบครัว ผมรู้ตัวดีว่าหล่อนไม่ได้ชอบผมเลย เพราะถ้าหล่อนจะพอมีใจให้ผมบ้างสักเศษเสี้ยว หล่อนจะไม่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผมในที่สาธารณะ รอยตบสองครั้งของหล่อนทำให้หัวใจผมแตกสลาย แม้ตัวผมเองจะไม่ใช่คนดีมากมายนัก แต่อย่างน้อยผมก็โตมาในชุมชนบ้านพักทหาร เมื่อออกไปข้างนอก ผมไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของตัวเองเพียงเท่านั้น ผมทำให้พวกคุณต้องอับอาย ทั้งยังทำให้ต้องผิดใจกัน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงได้กลายเป็นหนูสกปรกโสกโครกบนถนนที่ใครมาพบเห็นเขาก็ร้องด้วยความรังเกียจ”

ต่อให้เขาจะเป็นศัตรูกับโลกใบนี้ แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยก็คงไม่ชื่นชม

แล้วเขาจำเป็นต้องทำงั้นหรือ?

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หย่าโลดไอ้หนุ่ม แล้วจะรู้ว่าการได้เป็นอิสระจากความสัมพันธ์น่าอึดอัดนี่มันรู้สึกดีขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)