จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 118

ที่หน้าประตูทางเข้าสํานักเทียนจี๋มีผู้คนเนืองแน่นราวกับอยู่ในตลาด

เส้นทางขึ้นเขามีผู้คนเดินทอดยาวอยู่บนบนไดหินที่คล้ายกับมังกรทอดตัวจากจากตีนเขาสู่ยอดเขา

เทียบกับหน้าทางเข้าอันเงียบสงบของนิกายจิงซินแล้ว ที่นี่ดูคึกคักมีชีวิตชีวากว่า

สํานักเทียนจี๋เป็นสํานักใหญ่ที่มีระดับชั้นสูงกว่านิกายจิงซิน ในรัศมีหมื่นลี้มีแว่นเคว้นอยู่หลายสิบแคว้น มีสานุศิษย์อยู่จํานวนนับไม่ถ้วน

มาตราฐานในการรับศิษย์สายนอกของสํานักเทียนจี๋เข้มงวดอย่างยิ่ง

หากมีระดับบ่มเพาะไม่ถึงขั้นรวบรวมวิญญาณก็จะไม่รับ ถึงมีระดับผ่านเกณฑ์ แต่หากอายุเกินสามสิบก็จะไม่รับ ระดับการบ่มเพาะนั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และภูมิปัญญาของแต่ละบุคคล พรสวรรค์สูงกว่าย่อมบ่มเพาะได้เร็วกว่า การจะไปถึงขั้นรวบรววิญญาณก่อนสามสิบย่อมไม่ลําบากกินแรง และสําหรับเหล่าผู้บ่มเพาะได้เชื่องช้า สํานักก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องชุบเลี้ยงเอาไว้

จากเกณฑ์อันเข้มงวดนี้ จํานวนผู้ที่ผ่านก็จะหลงเหลืออยู่ไม่มาก ถัดจากศิษย์สายนอกก็จะเป็นศิษย์สายใน ซึ่งผู้ที่จะเป็นศิษย์สายในได้จะต้องมีผลงานยิ่งใหญ่ บ่มเพาะได้รวดเร็ว ได้รับการประเมินไว้อย่างสูงจากผู้อาวุโส หรือผ่านการสร้างผลงานให้กับสํานักมากเพียงพอจึงจะมีคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์สายใน

สํานักเทียนจี๋มีภารกิจอยู่มากมายหลายหลากให้กระทํา การสร้างผลงานอาจจะดูเรียบง่าย หากแต่ในความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น จํานวนรางวัลนั้นขึ้นอยู่กับความยากของภารกิจ ภารกิจที่หลินหยานและกลุ่มของเขารับมาตอนนั้นคือการเดินทางไปสังหารราชาซากศพ เป็นภารกิจที่มีความยากสูง ค่าตอบแทนคือ แต้มผลงานจํานวนสามพันแต้ม

จําเป็นต้องใช้แต้มผลงานหนึ่งหมื่นแต้มในการผ่านเกณฑ์เข้าเป็นศิษย์สายใน

แต้มผลงานภายในสํานักเทียนจี๋ก็เปรียบเสมือนค่าเงินสกุลหนึ่ง

กล่าวคือ แต้มผลงานหมายถึงทุกสิ่ง

ท่ามกลางแถวผู้คนที่ยาวเหยียด

“ฝ่าบาท อีกไม่นานก็ถึงคิวของพวกเราแล้ว โปรดอดทนรออีกหน่อยเถอะพะย่ะค่ะ” บุรุษที่แต่งกายเหมือนบ่าวรับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเกรงกลัวขณะที่ร่างกายสั่นเทาอยู่เบาๆ

“อืม” ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยเนื้อผ้าชั้นดีตอบกลับอย่างเย่อหยิ่ง ใบหน้ามีร่องรอยดูถูกเหยียดหยาม เขากวาดสายตามองคนอื่นๆก่อนจะแค่นเสียง เขามองไปยังบ่าวรับใช้นั้นอย่างเย็นชาก่อนจะยกเท้าเตะออกไป บ่าวรับใช้นั้นพลันลอยไปกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง หากแต่บ่าวรับใช้ก็ไม่ได้กล่าวอะไรและรับวิ่งกลับเข้ามา

คนทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ของสํานักเทียนจี๋ ดังนั้นต่อให้พวกเขาต่อยตีกันจนตายก็ไม่มีผู้ใดคิดขัดขวาง

ชายหนุ่มที่แต่งกายหรูหราได้แสดงความโดดเด่นออกมาผ่านการเตะเมื่อครู่ ในหมู่ผู้ที่ต่อแถ วสมัครเข้านิกายเหล่านี้ ผู้บ่มเพาะขั้นกลั่นวิญญาณย่อมดูโดดเด่นสะดุดตา

“ขั้นกลั่นวิญญาณ!”

มีบางคนในฝูงชนโพล่งออกมา ทําให้เหล่าผู้ที่ต่อแถวอยู่พลันตื่นเต้นขึ้นมา

” เขาก็คือ อวี๋เฉิ้งองค์ชายสิบสามแห่งราชวงศ์เซินหลง เขาได้ฝึกฝนวิชาลับปราณมังกร ไม่กี่ปีก่อนก็ทะลวงระดับมาอยู่ในขั้นกลั่นวิญญาณ นับเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปีของราชวงศ์เซินหลง”

“แม้แต่องค์ชายสิบสามก็ยังต้องการจะเข้าศึกษาที่สํานักเทียนจี๋ ชัดเจนว่าพวกเราคิดไม่ผิดที่มาสมัครเข้าที่นี่”

“ฮ่าๆ….ที่นี่คือสํานักเทียนจี๋ สํานักชั้นนําของสิบสํานักใหญ่แห่งทวีปเทียนหยวน ลือกันว่าท่านหลงเสี่ยวเทียนได้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นจักรวาลแล้ว หากจากขั้นจุติอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น”

ผู้คนพูดคุยกันขณะที่เท้าก็ก้าวเดินเข้าใกล้ประตูทางเข้าสํานักเทียนจี๋

ฉินเทียนและเมิ่งฝานอีก็อยู่ในขบวนฝูงชนนี้

“น้องฉิน ด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว ใช้เวลาไม่ถึงเดือนก็คงเข้าเป็นศิษย์สายใน ถึงตอนนั้นท่านเจ้าสนักคงให้ความสนใจ” เมิ่งฝานอีเป็นศิษย์สายในอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องเข้าแถวต่อคิวคัดตัว แต่ที่มาต่อแถวตอนนี้ก็เพียงเพื่ออยู่เป็นเพื่อนฉินเทียนเท่านั้น

ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณสังหารระดับเก้าขั้นกลั่นวิญญาณในกระบวนท่าเดียว ไม่อยากเป็นที่สนใจก็เกรงว่าจะยาก

ภายในสํานักเทียนจี๋นั้น พลังก็คือทุกสิ่ง ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะ แต่ละเดือนศิษย์สายนอกจะได้รับน้ำยาชําระกระดูกจํานวนหนึ่งขวด แต่สําหรับศิษย์สายใน พวกเขาจะได้รับเม็ดยาระดับสูง ได้หากได้รับความชื่นชมจากผู้อาวุโสหรือประมุขตําหนัก ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าพวกเขาอาจได้รับกระทั่งอาวุธวิเศษหรือสมบัติอมตะ

ฉินเทียนหัวเราะแต่ไม่ได้กล่าวตอบแต่อย่างใด

เขามายังสํานักเทียนจี๋ก็เพื่อสังหารหลงเสี่ยวเทียน

ทุกคราที่ได้มองดูแหวนมิติของคังเทียนจี้ที่เปรียบดังคลังสมบัติเคลื่อนที่ หัวใจของเขาก็จะฟูฟ่อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตัวภารกิจระดับ SSS ยังมีรางวัลให้แยกต่างหาก เพียงค่าประสบการณ์ที่จะได้รับก็มากเสียจนอยู่เหนือจินตนาการแล้ว

การจะสังหารหลงเสี่ยวเทียนนั้นไม่ใช่งานง่ายๆ ทอดตามองดูทั่วทวีปเทียนหยวนแห่งนี้แล้ว จํานวนผู้ที่อยู่ในขั้นจักรวาลย่อมมีอยู่อย่างนับนิ้วดูได้ และการจะฆ่าตัวตนเช่นนี้ก็ยากเย็นดุจปีนป่ายขึ้นสวรรค์

และนี่ก็ยังเป็นเหตุผลที่ฉินเทียนเดินทางมายังสํานักเทียนจี๋แห่งนี้

หากไม่อาจลงมืออย่างซึ่งหน้าได้ล่ะก็ เขาก็ต้องลงมือจากในเงามืด หากจากในเงามืดก็ยังไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้เล่ห์กล

สรุปก็คือ เขาจะต้องเข้าสํานักเทียนจี๋และกลายเป็นศิษย์สายในโดยเร็วที่สุด แสดงผลงานจนเข้าตาหลงเสี่ยวเทียนและทําให้อีกฝ่ายไว้วางใจในตัวเขา

ยังมีอีกเหตุผลข้อหนึ่ง นั่นก็คือสํานักเทียนจี๋มีภารกิจอยู่มากมาย มีภารกิจให้สังหารสัตว์อสูรปีศาจ กระทั่งข้อมูลของแดนอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เขาเพิ่มเลเวลได้อย่างรวดเร็ว

เทือกเขาคุนหลุนและเทือกเขาเสวียนคงไม่อาจเติมเต็มเขาได้อีกแล้ว สัตว์อสูรที่ระดับห้าไม่ดึงดูดความสนใจเหมือนเช่นวันวาน

ทางเข้าสู่ดินแดนปีศาจก็ถูกทําลายไปแล้ว หากเขาต้องการที่จะเพิ่มเลเวล เขาก็ต้องหาดินแดนที่มีความพิเศษแห่งอื่นๆ ทั่วทวีปเทียนหยวนมีมิติและโลกต่างๆอยู่มากมาย มิติเหล่านั้นยังมีสมบัติที่ตกทอดมาจากยุคโบราณอยู่ด้วย ในโลกเหล่านั้นอาศัยอยู่ด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายเผ่าพันธุ์ ทั้งลึกลับทั้งอันตราย

สิ่งที่ฉินเทียนต้องการก็คือข้อมูลของโลกมิติเหล่านี้ ขอเพียงเรียกใช้เคล็ดวิชชุทะลวงฟ้าออกไปสักครั้ง ฉินเทียนก็จะสามารถเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่เดินทางมายังสํานักเทียนจี๋ ตัวเขาก็ได้รับคําแนะนําจากเมิ่งฝานอีจนเข้าใจระบบภารกิจของสํานักเทียนจี๋ และภารกิจส่วนใหญ่ก็กําหนดไปที่โลกมิติเหล่านี้เอง

” คนต่อไป!”

ผู้บ่มเพาะอาวุโสตะโกนอย่างเบื่อหน่าย

” ฝ่าบาท ถึงคิวของพระองค์แล้วพะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้โค้งตัวลงกล่าวโดยไม่สนใจความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อตอนก่อนหน้า

อวี๋เฉิ้งระบายลมหายใจ เขาเผยรอยยิ้มพลางก้าวเดินออกไป

จากนั้นไม่นานก็มีเสียงตะโกนดังออกมา ”ระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณ ประตูเทียน!”

“ระดับสามขั้นกลั่นวิญญาณ?”

” ช่างแข็งแกร่งจริงๆ เกรงว่าเขาคงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเราแล้ว”

“ประตูเทียน?!” เมิ่งฝานอีตะลึง “ระด’สามขั้นกลั่นวิญญาณก็สามารถเข้าประตูเทียน?”

ศิษย์สายนอกจะถูกแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม นั่นคือ เทียน เตอ ซวน หวง

เทียนหมายถึงดีเยี่ยม หวงหมายถึงย่ำแย่ ศิษย์กลุ่มเทียนนับเป็นศิษย์ที่สํานักให้ความสําคัญ พวกเขาจะมีตัวตึกพักอาศัยแยกให้ต่างห่าง ทั้งยังจะได้รับโอสถที่ดีกว่าศิษย์คนอื่นๆ

หลังจากนั้นไม่นานก็ถึงคิวของฉินเทียน

เมิ่งฝานอีเดินออกจากแถวพลางกล่าวว่า “ในเมื่อขั้นกลั่นวิญญาณผู้นั้นได้เข้าประตูเทียน อย่างนั้นน้องฉินก็คงได้เข้ากลุ่มเดียวกัน”

ฉินเทียนหัวเราะก่อนจะก้าวเดินออกไป

ชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าประตู ที่ด้านข้างมีศิษย์สวมชุดสีเขียวยืนอยู่ทั้งสองด้าน ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่ร่างกายมีกลิ่นอายของขั้นกลั่นวิญญาณแผ่ออกมาจางๆ

หลังจากแนะนําตัวเองง่ายๆ ชายชราก็พาฉินเทียนไปที่แท่นศิลาสีดํา ”ปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา”

” ทั้งหมด?” ฉินเทียนขมวดคิ้วขณะในใจครุ่นคิด มีพลังปราณอยู่เกือบสองแสนจุด หากวัดตามปริมาณแล้วก็คงเทียบได้กับระดับเก้าช่วงปลายขั้นกลั่นวิญญาณกระมัง

“เลิกเสียเวลาได้แล้ว ผู้อาวุโสให้เจ้าทําเช่นไรเจ้าก็ทําเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยให้มาก” ศิษย์ชุดเขียวที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียงกล่าว

ฉินเทียนเหลือบมองผู้กล่าวคราหนึ่งก่อนจะก้าวเดินไปยืนที่หน้าแท่นศิลาดํา ในกายโคจรพลังปราณก่อนจะวางมือขวาลงไปบนแท่นศิลาดํา แท่นศิลาพลันมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน มันค่อยๆส่องสว่างก่อนที่สุดท้ายจะสว่างเจิดจ้าบาดตา ฉินเทียนเอ่ยปากถาม “ใช้ได้หรือไม่?

ตกตะลึง!

คนทั้งสามหันมาจ้องมองฉินเทียนตาค้าง ปากของพวกเขาอ้ากว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง

” ปริมาณปราณเทียบเท่าระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณจะเจ้า ระดับการบ่มเพาะของเจ้าอยู่ที่ระดับห้าขั้นกลั่นวิญญาณ เว้นแต่ปริมาณปราณของเจ้าสูงล้ำกว่าระดับบ่มเพาะ?” ผู้อาวุโสพลันลุกขึ้นยืนพลางจ้องมองฉินเทียนอย่างเหลือเชื่อ

ปริมาณปราณอยู่เหนือระดับบ่มเพาะ กรณีเช่นนี้ยากที่จะพบเห็นได้ยากยิ่ง

พลังปราณก็คือรากฐานในการบ่มเพาะ สมบัติล้ำค่าและทักษะวิชาต่างก็ล้วนต้องใช้พลังปราณ ยิ่งพลังปราณหนาแน่น คนผู้นั้นก็ยิ่งจะไปได้ไกล

ฉินเทียนผงะก่อนจะคิดขึ้นในใจ ก็แค่พลังปราณของลูกพี่มีมากหน่อย จะตกใจกันไปทําไม?”

อีกทั้งนี้ยังไม่ใช่พลังปราณทั้งหมดของเขา หากปลดปล่อยออกมาทั้งหมด คนเหล่านี้ไม่ใช่ว่าคงช็อคตายคาที่เลยเหรอ?

เห็นทั้งสามยังคงอ้าปากตาค้าง ฉินเทียนก็รู้สึกเบิกบานใจ…