ตอนที่ 148 เทศกาลตวนอู่ (ตอนที่หนึ่ง)

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“อาซ้อเหลา อาซ้อเหลา” นางเถียนหอบแฮกคล้องตะกร้าไล่ตามมาทันป้าเหลาที่กำลังจะออกจากบ้าน “ได้…ได้ยินว่า…ภรรยาหย่งฟู่บ้านเจ้ามีแล้ว?”

“แหะๆ…ข้าคิดว่าเรื่องอะไร วิ่งมาเร็วอย่างนี้! ใช่ ท้องลูกสะใภ้คนโตของข้าในที่สุดก็ได้เรื่องเสียที!” ป้าเหลายิ้มร่าพยักหน้าหงึกๆ หลายวันก่อนได้ยินลูกชายคนโตบอกว่าลูกสะใภ้คนโตตื่นมาก็อาเจียน นางก็พอเดาได้แล้ว ยังบังคับให้หย่งฟู่พาไปตรวจที่โรงหมอชิงหยาง ตั้งครรภ์แล้วดังคาดจริงๆ นี่อย่างไรล่ะ อาหารสามมื้อหลายวันนี้ ล้วนเป็นนางที่ทำเสร็จแล้วก็ส่งไปที่ร้านตีเหล็ก

“เช่นนั้นก็ดี ข้ายังคิดว่านางสุ่ยเดามั่ว เอ้า นี่คือเนื้อที่ต้าฟู่เพิ่งแบ่งเสร็จ เอากลับไปตุ๋นให้สะใภ้เจ้ากิน” นางเถียนเปิดตะกร้าออก ควักเอาเนื้อหมูชิ้นหนึ่งที่ห่ออยู่ในกระดาษอาบน้ำมันส่งให้กับนางเหลา

“นี่มันจะได้อย่างไร เอากลับไปให้หลานเจ้าบำรุงร่างกายเถอะ นานๆ ต้านิวจะพาโต้วติงกลับมาเยี่ยมสักครั้ง” ป้าเหลาปฏิเสธไม่ยอมรับ

“โอ๊ย อาซ้อ เจ้ายังเกรงใจกับข้าอีกหรือ ตอนนี้พวกเรามีชีวิตสบายกันแล้ว ให้เนื้อหมูสักหน่อยก็ไม่ใช่ของขวัญชิ้นใหญ่อะไร…จะว่าไป ต้าเป่าก็จะกลับมาวันนี้ พ่อเขาจะฆ่าไก่สักตัวเหมือนกัน” นางเถียนยัดเนื้อหมูใส่แขนป้าเหลา “ทำไมต้องส่งอาหารไปให้พวกเขา” หรี่ตามองตะกร้าในมือป้าเหลา ในนั้นมีชามใหญ่ปิดไว้หลายชาม

“อ้อ หย่งฟู่บอกว่าภรรยาเขาสองสามวันนี้ไม่อยากอาหาร ไม่มีเรี่ยวแรง เฮ้อ ตอนนี้ก็หวังว่านางจะให้หลานข้าสักคน เรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่คิดถือสาแล้ว!” ป้าเหลาอธิบายอย่างเสียไม่ได้ ร้านตีเหล็กลูกชายคนโตที่เปิดห่างจากบ้านไกลมาก ทุกวันสามมื้อจะให้นางยกตะกร้าไปกลับครึ่งชั่วยามก็คงไม่ไหวจริงๆ แต่ลูกสะใภ้คนโตอย่างไรก็ไม่ยอมย้ายกลับมา ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้สะใภ้ก็ท้องโตมากแล้ว

“ข้าได้ยินต้าฟู่ว่า เจ้านายบอกว่าจะย้ายร้านตีเหล็กไปในเมือง อ้อ ไม่รู้ว่าหารือกับหย่งฟู่หรือยัง” นางเถียนกระซิบเบาๆ ข้างหูนางเหลา

“จริงหรือ” นางเหลาสองตาเป็นประกาย หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ย่อมดีอย่างมาก ร้านตีเหล็กลูกชายคนโตนางในหมู่บ้านหนึ่งปีมานี้ก็ไม่ค่อยมีงานเท่าไร มีแต่งานพวกซ่อมหม้อให้บ้านทางฝั่งตะวันตก หรืองานทำตาชั่งให้บ้านฝั่งตะวันออก ตอนการค้าได้ดีที่สุดก็คือสองสามปีก่อนตอนสามจวนพักตากอากาศกำลังก่อสร้าง แต่ตอนนี้สามจวนรวมเป็นเหอหยวนแล้ว เข้าเมืองก็สะดวกมาก เครื่องมือเหล็กหลายอย่างก็ไปซื้อหากันในเมือง ร้านเล็กๆ ของหย่งฟู่แม้มีคนเก่าแก่ฝานฮัวมาอุดหนุนกันอยู่บ้าง แต่ก็หาเงินได้ไม่มั่นคงเหมือนบิดา เหลาโหย่วคุนทำหน้าที่ดูแลสวนให้เจ้านาย ทุกเดือนได้หลายร้อยเหรียญทองแดง ปีหนึ่งเก็บได้หลายตำลึง ลำบากก็ส่วนลำบาก แต่ก็คุ้มค่า แต่ครอบครัวหย่งฟู่ ทั้งวันขลุกอยู่แต่ในร้านตีเหล็ก ปีๆ หนึ่งได้มาไม่ถึงสองตำลึง

“ต้าฟู่ก็อาจกำลังคิดเช่นนี้เหมือนกัน…ข้าว่านะอาซ้อเหลา หากหย่งฟู่ไปเปิดร้านในเมือง พวกเจ้าสองตายายก็ยิ่งรุ่งแล้ว” นางเถียนยิ้มสัพยอก

“เชอะ! อะไรรุ่งไม่รุ่ง พวกเขาสองคนตอนนี้ก็มีชีวิตที่ดี จะว่าไป เจ้าคิดว่าการที่ลูกชายรุ่งก็จะมองที่รวยหรือไม่หรือ เจ้าดูคู่หย่งเฉียง นอกจากปีใหม่ ยามปกติอย่าได้หวังว่าพวกเขาจะกลับมา” นางเหลาเบ้ปาก ลูกชายคนเล็กสองสามีภรรยาเปิดร้านขายของชำมาได้สี่ปีแล้ว หลานนางตอนนี้ก็สามขวบแล้ว มีแต่ตอนที่สองคนทะเลาะกันจึงจะส่งหลานมาพักที่นี่ระยะหนึ่ง

“นั่นมันก็จริง ดูต้าเป่าก็ไม่ใช่เช่นนี้หรือ กว่าจะกล่อมให้ยอมกลับบ้านบ้าง เทศกาลตวนอู่วันนี้ หากไม่ใช่หลายวันก่อนพ่อเขาไปที่ร้านส่งสินค้าแล้วตามเขา ไหนเลยจะคิดกลับมา เฮ้อ เจ้าว่าปีนี้เขาก็สิบเจ็ดแล้ว หน้าตาก็พอได้ ทำไมไม่ถูกใจแม่นางที่ไหนบ้าง” นางเถียนพอเอ่ยถึงเจ้าลูกชายก็กลัดกลุ้ม ว่ากันว่าได้พบแม่นางในเมืองไม่น้อย ด้วยอายุต้าเป่าควรจะอยู่ในวัยเรื่องพวกนี้ แต่ไม่ได้ยินว่าเขาจะเอ่ยถึงแม่นางบ้านไหน ไม่เห็นว่าต้องการแต่งงานกับใคร หากถูกใจใครเข้าจริง ด้วยความสำเร็จในวัยหนุ่มของเขาตอนนี้ ไม่กลัวแม่นางไม่ถูกใจเขาหรอกนะ

“ต้าเป่ามีความคิดกว้างไกล เจ้าไม่เห็นหรือว่า ตอนนั้นเขาอายุยังน้อยๆ ก็ไปตั้งกิจการค้าไม้คนเดียวที่เมืองฮ่วนซาหรือ วางใจ วาสนายังไม่ถึงเท่านั้น” นางเหลาปลอบใจ ต้าเป่าเป็นตัวอย่างของคนรุ่นเดียวกันในเมืองฝานฮัว อายุยังน้อย ก็เป็นเถ้าแก่ค้าไม้ที่เปิดกิจการใหญ่ถึงหกห้อง แม้ว่าในการนี้ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านายอยู่ไม่น้อยก็ตาม แต่อาศัยวิทยายุทธ์เขา กับความเป็นเถ้าแก่ร้านใหญ่ เลือกหาสะใภ้ดีงามสักคนก็แค่ช้าหรือเร็ว

“ก็ขอให้เป็นเช่นนี้ บ้านเราต้องอาศัยเขาสืบทอดวงศ์ตระกูล” นางเถียนถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “โอ๊ย สายแล้ว ไม่รบกวนอาซ้อแล้ว ข้ากินข้าวกลางวันแล้วก็จะไปช่วยห่อบะจ่างที่บ้านเจ้านายก่อน”

“ทำไม บ้านเจ้านายขาดคนห่อบะจ่างหรือ”

“บอกว่าห่อแล้วก็จะมอบให้ทุกคนในหมู่บ้านเป็นของกำนัลพิเศษ ข้าเองเช้านี้ก็ได้ยินนางสุ่ยเล่าจึงได้รู้”

“อย่างนั้นได้เลย ข้าส่งอาหารกลางวัน กลับมาก็จะตามไป” นางเหลาโบกมือ ก้าวตรงไปยังร้านตีเหล็กทางตะวันออก

คนทำงานรับจ้างชั่วคราวก็มีเงินเดือน นี่คือประสบการณ์ที่ได้มาจากการทำงานสามปีมานี้ ดังนั้นขอเพียงที่บ้านไม่มีอะไรสำคัญ พวกนางก็จะไปเป็นแรงงานเสริมกัน

เช่นตอนเก็บเกี่ยวที่ดินตนเองแล้ว ก็จะไปเก็บเกี่ยวให้บ้านเจ้านาย เช่นรวมตัวกันต้นฤดูใบไม้ผลิไปเก็บหน่อไม้ที่ยอดเขาซิ่วเฟิง ปอกเปลือกหน่อไม้ จะได้สะดวกเอาไปทำผักดองแปรรูป เช่นว่าปีใหม่เทศกาลต่างๆ บ้านเจ้านายคนไม่พอ ก็จะไปช่วยปัดกวาดทำความสะอาดและทำขนมกัน…

สรุปบรรดาสตรีแต่ละครอบครัวในเขตจวนพักตากอากาศฝานฮัว หลายปีมานี้ได้เงินทองไม่น้อยกว่าผู้ชายในครอบครัว

นอกจากดีใจแล้ว ของประดับประดาที่บ้านยังเริ่มดูดีขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงแจกันกระเบื้องที่ใช้มือสัมผัสลื่นละมุนที่ก่อนหน้านี้แม้แต่มองยังไม่กล้ามอง ตอนนี้แต่ละบ้านล้วนซื้อกันคนละใบไว้เป็นเครื่องประดับ ยังมีเสื้อผ้า ก็จะไม่ปะชุนชุดเก่าๆ อีก ทุกปีสี่ฤดูล้วนตัดชุดใหม่ให้คนในครอบครัวกันคนละสองชุด…

ทุกครั้งที่เข้าเมืองไปเดินเล่นในเขตการค้า ถูกใจของชิ้นไหนก็จะควักเงินจ่ายยิ่งกว่าพวกแม่บ้านในเมือง นี่คือช่วงเวลาที่พวกนางรู้สึกพึงพอใจที่สุดนาง ความภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับการเติมเต็ม ทุกอย่างนี้เป็นเพราะเจ้านายสามเมืองเล็กๆ เจ้านายตอนนี้ของร้านผักดองเหอหยวน

สำหรับคำพูดลือกันของบรรดาพวกขี้อิจฉาในเมืองที่บอกว่าชาวบ้านที่ช่วยงานในเหอหยวน ล้วนเป็นพวกบ่าวรับใช้หรือพวกเช่าที่ทำกิน แต่พวกเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่ต้องมาบอกว่าพวกเขาเป็นพวกเช่าที่ทำกินเลย พวกเขามีบ้านและที่ดินของตนเอง เพียงแต่ยามว่างไปช่วยงานเจ้านายหาเงินค่าขนมเพิ่มเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น หากสภาพเช่นนี้ถือว่าเป็นพวกเช่าที่ทำกิน พวกเขาก็ไม่สนใจ ขอเพียงมีชีวิตที่ดี ครอบครัวเป็นสุขดี ชาวบ้านทุกคนมีสุข สิ่งแวดล้อมงาม…ข้อดีขนาดนี้ จะถูกเรียกว่า ‘บ่าวรับใช้หรือพวกเช่าที่ทำกิน’ จะเป็นอะไรไป หรือว่าคนพวกนั้นในเมืองไม่ได้ทำงานรับใช้เจ้านายอื่น หรือคนพวกนั้นในเมืองมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการทำงานให้ผู้อื่น ช่างน่าขันจริง!

พวกเขาไหนเลยจะไม่รู้ว่า คนในเมืองที่กล่าววาจาเหลวไหลก็เพราะว่าอิจฉาริษยา โดยเฉพาะตระกูลฮัวเมืองฝานฮัวที่ย้ายออกไปเมื่อสามปีก่อน ไปอยู่ในเมืองแล้วก็ไม่ใช่ว่าดี ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อร้านขายของชำกิจการก็ไม่ได้ดีเหมือนร้านหย่งเฉียงสองสามีภรรยาที่เปิดหน้าร้านแค่หนึ่งห้อง ครั้งก่อนไปเจอกันที่เขตการค้า นางตระกูลฮัวยังคงประคอเราะรายเหมือนเดิม ทำเหมือนว่าครอบครัวเขาต้องย้ายออกจากเมืองฝานฮัว เป็นเพราะถูกชาวบ้านบีบคั้นอย่างนั้นแหละ

พอคิดถึงตรงนี้ ป้าเหลาก็โมโห แต่ทว่าโมโหก็ส่วนโมโห แต่ในใจก็รู้สึกสะใจ ตอนนางฮัวจะไปวาจายังยากจะรับฟัง แสดงให้เห็นว่าในใจนางนั้นอิจฉาริษยายิ่ง เหอๆ…ผู้ใดให้พวกเขาคิดแต่จะไปจากเมืองฝานฮัว ไปได้ดี! ไม่ไปก็คงไม่สะใจ เหอหยวนตอนนี้ไม่แค่เจ้าของจวนกับชาวบ้านที่รักในเหอหยวนร่วมใจปกป้อง ร่วมใจสรรสร้าง แต่ยังไม่ยอมให้พวกตาไร้แววพวกนั้นมาอิจฉาทำลายได้!

……

ตอนบ่ายวันเทศกาลตวนอู่ ณ ห้องครัวใหญ่จวนพักตากอากาศฝานฮัว รวมกำลังป้าๆ น้าๆ ที่ว่างงานจากหลายบ้าน พูดหัวเราะไปห่อบะจ่างกันไป ให้บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง

“ทำไมวันนี้ต้องห่อบะจ่างมากมายขนาดนี้” ซือชงที่ว่างงาน พอได้ยินเสียงดังเอะอะจากคนในห้องครัวก็ยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไร จึงแอบมาดูให้รู้ความ พอออกจากวงการนักฆ่าไปตั้งองค์กรข่าวลับหอกว่างชื่อโหลว เดิมนิสัยที่สนุกสนานมากสุดในบรรดาเขาทั้งสามคน ตอนนี้ก็ยิ่งเฮฮา

“โอ๊ะ ท่านสาม วันนี้ ทำไมว่างมา ห้องครัว?” นางเถียนนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา พอเห็นหน้าประตูห้องครัวมีซือชงที่ดูเหมือนมายืนแอบดูพวกนาง ก็ทักทายอย่างสนิทสนม ท่านสามคือคำเรียกขานที่พวกป้าๆ น้าๆ อย่างพวกนางเรียกขานเขา ตามที่เขาได้แนะนำตนเอง เรียงกันตามอายุ ในพวกเขาสี่คน เขาอยู่ในลำดับที่สาม ซือเล่าอายุน้อยกว่าเขาสามเดือน

“เห็นพวกน้าห่อบะจ่างกันยุ่งเช่นนี้ เลยมาดูพวกน้าเสียหน่อย” ซือชงยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“ท่านสาม ท่านเขยสั่งการ ให้ห้องครัวห่อบะจ่างมอบให้แต่ละบ้าน หอกว่างชื่อโหลวส่งคนนำไปส่งแล้ว ของพวกนี้ต้องส่งไปคนในเหอหยวน” แม่บ้านใหญ่ห้องครัวหัวเราะอธิบาย

“ท่านเขยสั่งการ?” ซือชงเลิกคิ้ว เหอๆ…คิดว่าต้องเป็นภรรยาเขาคิดรูปแบบซื้อใจคนแน่เลย ให้เขาแค่มาบอกเท่านั้น ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเย็นชาราวน้ำแข็งพันปีอย่างซือหลิง จะมาคิดเรื่องพวกนี้เองได้อย่างไร

“ท่านสาม ถึงตอนนั้นอย่าลืมชิมเสียหน่อย รสชาติปีนี้มีมากกว่าปีก่อนอีกหลายรส…” แม่ครัวพูดไปก็ยกบะจ่างที่ห่อเสร็จไปที่หน้าเตา

“แน่นอน” ซือชงส่งยิ้มตอบรับ พยักหน้าให้กับบรรดาป้าๆ น้าๆ แล้วก็เดินออกจากห้องครัวไปบ้านหลิน

กำลังจะก้าวผ่านประตูโค้ง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมา ก็เกิดความคิดอยากจะแกล้ง รีบแนบกายหลบหลังหลังพุ่มไม้

“ข้าบอกแล้วว่าเขาเป็นแค่คนซื้อ เจ้ายังต้องให้ข้ารับรองอย่างไรอีก” เสียงผู้หญิงดูร้อนใจ พร้อมกับเสียงเหนื่อยหอบผสมผสานกัน เริ่มเข้ามาใกล้ “กว่าจะได้กลับมา ขอร้องเถอะ อย่ามาโมโหใส่ข้า…” น้ำเสียงค่อยๆ อ่อนยวบลง ยังมีน้ำเสียงสะอื้นเจือปนมาเล็กน้อย

“ข้าเปล่า” เสียงแข็งของผู้ชายดังเข้าหูของซือชง สวรรค์ ถึงกับเป็นซือเล่า เขามีสตรีของเขาเองตอนไหนกัน น้ำเสียงฟังแล้วก็เหมือนกับเถ้าแก่รองร้านผ้าปักเยว่อวิ๋น ซือชงผนึกลมหายใจตนเองก่อนจะค่อยๆ ตัวแข็งทื่อ พลันเห็นซือเล่าตวัดตามองมาอย่างเอาเรื่อง

จากนั้นก็อุ้มเจียงอิ้งอวิ๋นที่กำลังพยายามอธิบายกลับเข้าเรือนเขาไป

“โอย…อาเล่า…ทำไมหัวข้าหมุน…”

“หุบปาก!”

……

“จุ๊ๆ…ช่างมหัศจรรย์! โลกนี้ยังมีสตรีทำให้เจ้าหมอนั่นหวั่นไหว…” จะว่าไปพวกเขาทั้งสี่ซือแห่งหอเฟิงเหยา ตอนนี้ก็เหลือแค่เขาคนเดียวที่ยังโสดแล้ว แม้ว่าซือทั่วถึงตายก็ไม่ยอมรับ แต่กับเจี้ยนเยว่องครักษ์เซวี่ยหมิงก็ใกล้มีข่าวมงคลแล้ว ตอนนี้แม้แต่ซือเล่า เจ้าหมอนั่นก็มีผู้หญิงของตนเองแล้ว ดูท่าแล้วเขาต้องเร่งพยายามเข้าแล้ว ไม่อาจมัวรั้งท้ายเช่นนี้ต่อไปได้ เช่นนั้นจะเป็นการเสียชื่อประมุขหอกว่างชื่อโหลวของเขาหมด…