บทที่ 91 ท่านดูอีกสองรอบก็ทำเป็นแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 91 ท่านดูอีกสองรอบก็ทำเป็นแล้ว

อาจื้อส่ายหน้า กล่าวโดยไม่ออกเสียง ‘ข้าเองก็ไม่รู้’

สุดท้ายเขาก็ผูกมั่ว ๆ ออกมาและกล่าวว่า “มัดเสร็จแล้ว!”

เมื่อมวยผมด้านขวาถูกเกล้าขึ้นเรียบร้อยแล้ว หลินเหราก็จับช่อผมด้านซ้ายของอาซือและทำแบบเดียวกัน เขาเกล้ามวยอีกมวยหนึ่งขึ้นมาก่อน แล้วให้อาจื้อมัดด้วยผ้ารัดผม

อาซือถูกดึงผมจนน้ำตาซึม แม้แต่ศีรษะก็ไม่กล้าขยับเพราะกลัวจะถูกดึงจนเจ็บอีก นางรออยู่นานจนกระทั่งอาจื้อหยุดเคลื่อนไหว นางจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เสร็จหรือยัง?”

สุดท้ายอาจื้อก็จัดการกับผ้ารัดผมทั้งสองข้างเสร็จสิ้น และตอบกลับไปว่า “เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว”

เมื่อเขาเกล้าผมเสร็จ หลินเหราก็ใช้หวีหวีผมหน้าม้าให้กับอาซืออีกครั้ง

อาจื้อถอยหลังหนึ่งก้าว เด็กชายมองน้องสาวพลางพยักหน้า “สวยงามมาก”

หลินเหราเองก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ไม่เลวเลย”

ทั้งสองคนต่างพากันพึงพอใจกับผลลัพธ์ที่พวกเขาร่วมมือกันทำอย่างมาก แต่ในใจยังคิดว่าเด็กผู้หญิงที่ต้องหวีผมทุกวันคงวุ่นวายยิ่งนัก โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทำเช่นนั้น เพราะหากต้องเกล้ามวยอะไรนั่นคงกลุ้มใจน่าดู…

อาซือคลำบนศีรษะของตัวเองอย่างไม่วางใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปทางหลินเหราส่งสัญญาณให้เขาอุ้ม “ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าอยากส่องกระจก”

หลินเหราอุ้มเด็กหญิงขึ้น พานางไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

กระจกทองเหลืองไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก แค่สะท้อนเงาเลือนรางเท่านั้น ทว่ากลับมองเห็นมวยที่บิดเบี้ยวทั้งสองข้าง และผ้ารัดผมสีเหลืองขนห่านด้านบนถูกพันวนมั่ว ๆ ซ้ำหลายรอบอย่างชัดเจน อีกทั้งด้านหนึ่งก็เอียงเหมือนจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่

อาซือตกตะลึง จ้องตัวเองในกระจกทองเหลืองโดยไม่ละสายตา ก่อนจะส่งเสียงร้องไห้ ‘แง’ ออกมา

หลินเหราเกิดความกระวนกระวายใจ ก่อนเอ่ยถามอย่างหดหู่ใจว่า “เป็นอะไร? เอ้อเป่าร้องไห้ทำไม?”

อารมณ์ของเด็กน้อยเดิมทีก็ยากจะควบคุมอยู่แล้ว เมื่อครู่ถูกหลินเหราและอาจื้อสองพ่อลูกวุ่นวายกับตนอยู่นาน ดึงทึ้งหนังศีรษะจนตอนนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บ อาซืออยากร้องไห้นานแล้วเพียงแค่อดกลั้นมาตลอด

ตอนนี้เมื่อเห็นทรงผมที่พวกเขาทำให้ตนเอง ในที่สุดก็ระเบิดอารมณ์ออกมา

“น่าเกลียดชะมัดเลย…ฮึก! ฮือ ฮือ…. น่าเกลียด!”

เด็กหญิงร้องไห้ยกใหญ่และสะอึกสะอื้นไม่หยุด ทำให้หลินเหราทั้งปวดใจทั้งร้อนใจ

เขารีบปรี่เข้ามาปลอบนางทันที “น่าเกลียดตรงไหน? เอ้อเป่าของเราเป็นเด็กน้อยที่งามที่สุดต่างหาก”

หลินเหราเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ย่อมไม่รู้ว่าจะปลอบใจคนอย่างไร ได้แต่พูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดอยู่อย่างนั้นหลายรอบ

แต่เด็กหญิงกลับร้องไห้หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม

อาจื้อกล่าวขึ้น “ท่านพ่อ น้องสาวบอกว่ามวยผมน่าเกลียด ไม่ใช่นางที่น่าเกลียด”

หลินเหราได้ฟังก็ปวดหัว ถลึงตาใส่อาจื้อหนึ่งครั้ง

อาซือแหกปากร้องไห้อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “ไหนบอกว่าจะผูกเป็นปมผีเสื้อไง! ท่านพี่โกหก…”

เปลวไฟแห่งโทสะได้แผดเผาลามมายังอาจื้อ เขามักจะยั่วโมโหให้อาซือร้องไห้ด้วยเหตุผลไร้สาระอยู่เสมอ แต่เวลาปลอบน้องสาวกลับทำได้อย่างคล่องแคล่ว

“ผูกเป็นปมผีเสื้อจะไปสวยได้อย่างไร? ผีเสื้อเป็นแมลงที่กลายร่าง! ข้าเลยผูกเป็นนกกระเรียนให้เจ้าไง …นกกระเรียนน่ะเจ้ารู้จักหรือไม่? เป็นนกที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่เทพเซียนเชียวนะ ดีกว่าผีเสื้ออะไรนั่นตั้งเยอะ—”

“ข้าไม่อยากผูกเป็นนกกระเรียนนี่” เด็กหญิงกลับไม่คล้อยตาม ยังคงร้องไห้จนหน้าแดงไปหมด “ข้าอยากผูกเป็นผีเสื้อ! ข้าอยากได้ผ้ารัดผมสีชมพูของข้า ฮือ ฮือ!”

เด็กหญิงยังคงไม่ยอมและร้องไห้ต่อไป ซานเป่าที่เล่นกับตนเองอย่างว่านอนสอนง่ายอยู่บนเตียงอีกด้านเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่สาว จึงหันไปมองอาซือครู่หนึ่ง จากนั้นก็แผดเสียงร้องไห้ตามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

อาจื้อจึงตื่นตระหนกตกใจ รีบเข้าไปอุ้มน้องชายอย่างลนลาน “ซานเป่าเจ้าร้องไห้ทำไม? ข้าไม่ได้หวีผมให้เจ้าเสียหน่อย…”

สาวน้อยที่อยู่ในห้องและเด็กน้อยเหมือนกำลังแข่งกันว่าใครจะร้องไห้ได้เสียงดังกว่ากัน จนหลินเหรารู้สึกว่าหูของตนจะแตกเพราะพวกเขาเสียให้ได้

เมื่อเหยาซูได้ยินเสียงร้องดังระงมจึงรีบออกมาจากห้องครัวตรงเข้าไปในห้อง ในมือยังคงถือถ้วยข้าวต้มที่เพิ่งตักแบ่งเอาไว้

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ข้าออกไปครู่เดียวทำไมเด็ก ๆ ถึงร้องไห้กัน?”

เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของมารดา เด็กทั้งสองก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม

ซานเป่าพูดไม่ได้ รู้แค่ต้องร้องไห้ ส่วนอาซือนั้นร้องไห้สะอึกอื้นพลางฟ้องว่า “พี่ชายดึงหัวข้าจนเจ็บไปหมด ทั้งยังโกหกข้าว่าจะผูกเป็นปมผีเสื้อ… ผมที่ท่านพ่อหวีให้ก็น่าเกลียด ฮือ ฮือ!”

เหยาซูวางถ้วยลง พร้อมกับถลึงตาใส่หลินเหรา “ท่านไปอุ้มซานเป่า”

นางเดินมาตรงหน้าของอาซือพร้อมกับเอ่ยปลอบลูกสาวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “อาซือเด็กดี ไม่ต้องร้องไห้แล้ว บอกแม่มาซิยังเจ็บอีกหรือไม่?”

อาซือกลั้นน้ำตาของตนเองไม่ให้ร่วงหล่นลงมา นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และกล่าวว่า “ไม่เจ็บแล้ว”

เหยาซูลูบไปบนมวยผมที่บิดเบี้ยวของเด็กสาวอย่างเบามือ รู้สึกเวทนาจนแทบทนไม่ได้ แต่ก็ยังต้องปลอบใจเด็กสาวว่า “แล้วใครเลือกผ้ารัดผมให้เล่า? สีเหลืองขนห่านน่ารักมากจริงเชียว ประเดี๋ยวแม่หวีผมให้เจ้าใหม่ และใช้ผ้ารัดผมทั้งสองเส้นนี้เลยดีหรือไม่?”

อาซือกล่าวพลางสะอึกสะอื้นว่า “ข้าอยากใช้ผ้ารัดผมสีชมพู แต่พี่รองเอาไปเส้นหนึ่ง…”

เหยาซูยิ้มพลางกล่าวว่า “เอ้อเป่าอยากผูกเป็นปมผีเสื้อไม่ใช่หรือ? ผีเสื้อไม่มีสีชมพูเสียหน่อย — เจ้าจำได้หรือไม่ว่า ในตอนที่เราขึ้นไปที่บ่อน้ำพุร้อนเมื่อครั้งที่แล้ว ผีเสื้อสีเหลืองสวยมากเลยไม่ใช่หรือ?”

เด็กสาวยังครุ่นคิดอย่างจริงจัง จนมั่นใจว่าผีเสื้อสีเหลืองงดงามจริง ๆ จึงได้พยักหน้า “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าเอาผีเสื้อสีเหลืองก็ได้”

เหยาซูปลอบใจทางฝั่งนี้จนสงบแล้ว แต่ซานเป่าที่อยู่ในอ้อมกอดของหลินเหรายังคงแหกปากร้องไห้ไม่หยุด

นางทำได้แค่หันไปพูดกับหลินเหราว่า “ท่านก็คิดหาทางสิ!”

หลินเหราหมดปัญญาพลางกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ตอนเด็ก ๆ อาจื้อและอาซือไม่เคยร้องไห้เช่นนี้”

เหยาซูถลึงตาใส่เขา “ยังจะพูดอีก! อาซือร้องไห้ไม่ใช่เพราะท่านหรืออย่างไร? แค่หวีผมให้ลูกเหตุใดถึงยากเพียงนั้น?”

ถือว่าอาจื้อมีสมองที่ปราดเปรื่องทีเดียว เขาใส่รองเท้าลงจากเตียง จากนั้นก็วิ่งตึงตังไปยังโต๊ะ นำถ้วยข้าวต้มที่เหยาซูเตรียมไว้ลงมาก่อนจะวางลงตรงหน้าของซานเป่า

เด็กน้อยราวกับถูกกดปุ่มบางอย่างและหยุดร้องไห้ในชั่วพริบตาเดียว

เขามองถ้วยที่อยู่ในมือของอาจื้อด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคราบน้ำตา ข้าวต้มอยู่ที่ใด สายตาก็กวาดตามไปที่นั่น

ในที่สุดเด็กสองคนก็หยุดร้องไห้ หลินเหราเหมือนได้รับการช่วยเหลือ แสดงสีหน้าโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

เหยาซูใช้ผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดหน้าให้อาซือ แกะมวยผมที่ยุ่งเหยิงบนศีรษะนางออก พลางกล่าวอย่างอมยิ้มว่า “เอาละ เด็กดี แม่จะมัดผมให้เจ้าใหม่แล้วนะ”

ซานเป่าเงียบลงแล้ว นอนซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของหลินเหราสายตาจ้องเขม็งไปยังข้าวต้ม

อาจื้อเห็นดังนั้นจึงหยิบช้อนไม้ขึ้นตักป้อนให้น้องชายทีละคำ

“ค่อย ๆ กินนะ” อาจื้อกลัวว่าซานเป่าจะสำลัก จึงป้อนเขาอย่างช้า ๆ “ของเจ้าทั้งหมดเลย จะรีบทำไม!”

เหยาซูล้อหลินเหราอยู่อีกด้าน “ดูสิ สู้ลูกชายของท่านไม่ได้เลย”

หลินเหรากล่าวอย่างเจ็บปวด “อาซู เจ้าลำบากเกินไปแล้ว”

คิดดูสินางต้องดูแลเด็กทั้งสามเพียงลำพัง ปกตินอกจากทำงานบ้านแล้ว ยังต้องไปทำการค้าในเมืองด้วย หลินเหราคิดว่าชีวิตของเหยาซูไม่ง่ายเลยจริง ๆ

เหยาซูส่ายหน้า “พวกเขาสามคนรู้ความมากแล้ว ต้าเป่า เอ้อเป่ายังช่วยแม่ทำงานบ้านได้ใช่หรือไม่? หือ?”

เมื่อเห็นท่านแม่ถามด้วยรอยยิ้ม อาจื้อจึงพยักหน้าหงึกหงัก อาซือเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

เด็กหญิงที่ยิ้มได้แล้วดูน่ารักมากทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นดวงตาของนางก็ยังงดงามและละเอียดอ่อนมากอีกด้วย ราวกับแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกับเหยาซูก็ไม่ปาน เห็นทีไรใจต้องละลายทุกครั้งไป

แต่เมื่อหลินเหรานึกถึงเสียงปีศาจที่แสบทะลุแก้วหูของอาซือเมื่อครู่ มันก็ทำให้เขาหวาดผวาอยู่ไม่น้อย

นิ้วมือของเหยาซูเคลื่อนไหวคล่องแคล่วแบ่งผมเป็นสองช่ออย่างชำนาญ รวบด้านข้างบิดมันเบา ๆ สองครั้ง แล้วม้วนสองสามรอบก็กลายเป็นทรงภูเขาเล็ก ๆ กลม ๆ หนึ่งลูก

หลินเหราเห็นนางหวีสองสามครั้งก็ผูกผมด้านหนึ่งของอาซือเสร็จสมบูรณ์ จึงกล่าวด้วยความแปลกใจ “มวยผมของเอ้อเป่า ต้องหวีเช่นนี้หรือ?”

“จริง ๆ มันก็ไม่ยาก…”

เหยาซูลังเลเล็กน้อย นึกถึงทรงผมที่หลินเหราหวีให้อาซือ สูงต่ำไม่เท่ากันเช่นนั้นก็ได้แต่ช่างมัน เพราะแม้แต่มวยผมทรงกลมที่ง่ายที่สุดเช่นนี้ยังทำให้ยุ่งเหยิงได้ จึงยังกล่าวเสริมว่า “ท่านดูอีกสองรอบ ก็ทำเป็นแล้ว”

…………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เอ็นดูความไม่รู้จะปลอบลูกสาวยังไงของท่านพ่อเลยค่ะ รู้หรือยังว่าอาซูเลี้ยงลูกลำบากแค่ไหน

ไหหม่า(海馬)