ตอนที่ 129 ปลาต้มผักดอง
ในวันเดียวกันนั้นเอง ใจกลางเมืองหยางในฉินโจว
รังนกขนาดยักษ์ประดับแสงไฟกำลังส่องสว่างไสว พรมแดงปูทอดยาวจากประตูไปจนถึงบันไดแต่ละขั้นของเวที เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเต็มไปทั่วทุกมุม นักข่าวนับไม่ถ้วนรุดมาถึงที่แห่งนี้
การแข่งขันรอบตัดสินรายการสะพรั่ง!
กำลังถ่ายทอดสด!
ในรังนกเสียงดังอื้ออึง บรรยากาศคึกคัก การแข่งขันดำเนินมาครึ่งทางแล้ว เสียงในฮอลล์ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพลอยให้หลังคาของรังนกแทบพังครืนลงมา สมศักดิ์ศรีในฐานะรายการประกวดอันดับหนึ่งของฉินโจว
“ผู้ชมทุกท่านครับ!”
พิธีกรชายเสียงดังก้อง “หลังจากผ่านการฟาดฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านหลายรอบในค่ำคืนนี้ ก็ได้ผู้เข้าแข่งขันสองคนสุดท้ายของการแข่งขันรายการสะพรั่งในปีนี้แล้วนะครับ พวกเธอก็คือ…”
“ถังเยวี่ย! ถังเยวี่ย!”
“ซย่าฝาน! ซย่าฝาน!”
ฝูงชนตะโกนตอบอย่างคึกคัก
เสียงของพิธีกรหญิงกังวานใส “ผู้ชมในห้องส่งของเราได้พูดชื่อของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนออกมาแล้วนะคะ เชื่อว่าผู้ชมซึ่งรับชมอยู่หน้าจอโทรทัศน์ทุกท่านก็คงตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ว่าพวกเราจะพักกันก่อนสักครู่ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองเตรียมเพลงกันสักหน่อย และผลงานของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองหลังจากนั้น จะเป็นตัวตัดสินว่าชัยชนะของปีนี้จะไปอยู่ในมือใครค่ะ!”
“…”
ด้านหลังเวทีการแข่งขัน
ซย่าฝานกำลังรอคอยด้วยความกระวนกระวาย จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ทำใจให้สบายก็พอแล้ว ตอนนี้คู่แข่งของเธอก็กังวลเหมือนกัน ถ้าเธอทำผลงานได้ดีก็มีความหวังสูงมากที่จะได้เข้ารอบแล้ว”
ซย่าฝานลุกขึ้นยืน “พี่จ้าว!”
ผู้พูดก็คือจ้าวเจวี๋ยซึ่งรีบเดินทางมาจากสตาร์ไลท์ ซย่าฝานนึกไม่ถึงว่าจ้าวเจวี๋ยจะมาด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ซย่าฝานเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสตาร์ไลท์ พวกเธอได้พบหน้ากันครั้งหนึ่ง ฉะนั้นจึงไม่นับว่าไม่รู้จักกันเลยสักเดียว
“ทำได้ไม่เลวเลย”
จ้าวเจวี๋ยเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
เธอรุดมาที่สนามแข่งขันรายการสะพรั่งไม่ใช่เพราะซย่าฝานเป็นเพื่อนของหลินเยวียน ที่สำคัญก็คือซย่าฝานทะลุเข้ามาเป็นสี่คนสุดท้ายได้ และยิ่งในตอนนี้ก็คว้าตั๋วเข้ารอบตัดสินซึ่งนับว่าล้ำค่ายิ่ง ห่างจากบัลลังก์แชมป์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
เรื่องนี้ทำให้จ้าวเจวี๋ยตื่นเต้นมาก
ก่อนหน้านี้เธอรับปากเซ็นสัญญากับซย่าฝานล้วนเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหลินเยวียน ในตอนนั้นจ้าวเจวี๋ยไม่รู้เลยว่าความสามารถของซย่าฝานเป็นอย่างไร เธอมองเพียงว่าเป็นการแสดงน้ำใจต่อหลินเยวียนก็เท่านั้น
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าซย่าฝานจะทำผลงานในสะพรั่งได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ และทำให้จ้าวเจวี๋ยประหลาดใจได้ทุกครั้ง!
ในตอนนี้กลายเป็นว่าจ้าวเจวี๋ยไม่ได้แสดงน้ำใจต่อหลินเยวียน กลับเป็นหลินเยวียนที่แสดงน้ำใจต่อตนเสียมากกว่า ซย่าฝานซึ่งมีความสามารถยอดเยี่ยมหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ บริษัทย่อมอยากเซ็นสัญญาด้วยโดยไม่ลังเล
“หนูไปห้องน้ำก่อนนะคะ”
ซย่าฝานพูดด้วยความกระดากอาย
จ้าวเจวี๋ยพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยด้วยท่าทีปลอบประโลม “เข้ามาได้ถึงรอบชิงก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเธอเก่งขนาดไหน เธอไม่ต้องกดดันตัวเองมากเกินไป ทางนี้ฉันจะคอยช่วยเธอดูเอง”
ซย่าฝานพยักหน้า
จ้าวเจวี๋ยมองตามแผ่นหลังซย่าฝาน เม้มปากเล็กน้อย
แม้ปากจะเอ่ยปลอบซย่าฝาน ทว่าที่จริงแล้วจ้าวเจวี๋ยก็หวังให้ซย่าฝานคว้าแชมป์มากยิ่งกว่าใคร!
ต้องเข้าใจก่อนว่าซย่าฝานเซ็นสัญญาล่วงหน้ากับสตาร์ไลท์แล้ว ขอเพียงซย่าฝานคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ก็จะเท่ากับว่าผู้ชนะรายการสะพรั่งทั้งสองครั้งติดกันล้วนเข้าสตาร์ไลท์!
และนั่นจะเป็นผลดีมหาศาลต่อชื่อเสียงของสตาร์ไลท์!
สตาร์ไลท์ได้แสงเต็มที่ จะต้องกดซาไห่กับเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงให้ได้!
ถ้าหากซย่าฝานได้เพียงตำแหน่งรองชนะเลิศ แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็ย่อมไม่เลว ทว่าเมื่อเทียบกับคุณค่าของผู้ชนะแล้ว ก็ย่อมห่างกันอีกไกลโข
ในตอนนั้นเอง
จ้าวเจวี๋ยชำเลืองไปด้านหลังเวที ทันใดนั้นก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย
ทำไมถึงเป็นเธอ?
จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ หรือว่า…
สิบนาทีให้หลัง
ซย่าฝานกลับมาแล้ว
เธอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยแปลกชอบกล จึงเอ่ยถาม “พี่จ้าว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“มีเรื่องจริงๆ นั่นแหละ”
จ้าวเจวี๋ยตอบ “เมื่อกี้ฉันเห็นสีเหม่ย เธออาจไม่รู้ว่าคือใคร เป็นหัวหน้าผู้จัดการของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงน่ะ”
ซย่าฝานชะงักไป
จ้าวเจวี๋ยนหรี่ตา “ถ้าฉันเดาไม่ผิดละก็ สีเหม่ยน่าจะมาเพราะถังเยวี่ย ครั้งนี้ตาไวมือไวใช้ได้เลย”
ซย่าฝานรู้สึกกังวลอยู่บ้าง “เธอควบคุมผลการแข่งขันได้มั้ยคะ”
จ้าวเจวี๋ยหัวเราะ “สีเหม่ยยังไม่มีความสามารถพอที่จะทำอย่างนั้นได้หรอก ยิ่งไปกว่านั้นมีฉันอยู่ ต่อให้เธอใช้ลูกไม้ตุกติกก็ไม่มีทางทำได้ แต่ว่า…”
ซย่าฝานถาม “แต่ว่าอะไรเหรอคะ”
จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้า “เตรียมตัวดูการแข่งขันเถอะ อีกเดี๋ยวถังเยวี่ยน่าจะขึ้นเวทีแล้ว หวังว่าสิ่งที่ฉันกังวลจะไม่เป็นจริงนะ”
……
บนเวที พิธีกรดูเวลาไปพลาง คอยรักษาจังหวะในการปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม ยามที่ในอินเอียร์มีเสียงแจ้งเตือนจากผู้กำกับ พิธีกรฉายก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้นมา “ผู้ชมทุกท่านรอนานแล้วใช่มั้ยครับ ต่อจากนี้จะขอเชิญถังเยวี่ยผู้เข้าแข่งขันของพวกเราขึ้นมาร้องเพลงสุดท้ายในค่ำคืนนี้ของเธอกันครับ!”
“ถังเยวี่ย!”
“ถังเยวี่ย!”
“ถังเยวี่ย!”
ฝูงชนส่งเสียงกู่ร้องขึ้นมาอีกครั้ง และระหว่างที่เวทีไฮดรอลิกยกขึ้นเสมอกับเวที ในที่สุดถังเยวี่ยก็ปรากฏตัวพร้อมกับเสียงเพลง เป็นท่วงทำนองของเพลงที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย “ปีนั้นบุปผาแย้มบาน เธอลังเลอยู่เสียนาน”
“เพลงใหม่?”
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวงการทั้งสี่คนสบตากัน ต่างคนต่างเห็นความประหลาดใจในสายตาของกันและกัน
เพลงนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพลงที่ยังไม่เคยปล่อยออกมา
เพลงสุดท้ายของถังเยวี่ยเป็นเพลงใหม่เลยเรอะ!
เธอมั่นใจขนาดนั้นเชียว?
ร้องเพลงใหม่บนเวทีประกวด ไม่ใช่ตัวเลือกที่ปลอดภัยเอาซะเลย
นั่นเพราะเพลงใหม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการรับรู้ของผู้ชม
แต่เพลงเก่าที่คุ้นหู สามารถดึงดูดความคุ้นเคยและใกล้ชิดของผู้ชมทันทีที่ได้ฟังเพลง
ดังนั้นผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ ก็ล้วนเลือกร้องเพลงเก่าที่ปล่อยออกมาแล้ว
นอกเสียจากว่าเพลงใหม่ของผู้เข้าแข่งขันนั้นดีจนทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ทันทีที่ได้ฟัง!
ไม่อย่างนั้น การเลือกเพลงเก่าก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น ขณะที่ฟังไปเรื่อยๆ กรรมการก็ค่อยๆ เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
เพลงใหม่นี้ยอดเยี่ยมมาก!
เป็นอย่างที่คิด ถังเยวี่ยเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว!
เพลงใหม่นี้ได้รับการรังสรรค์มาเพื่อถังเยวี่ย!
ตั้งแต่ทำนองจนถึงเนื้อเพลง ก็ล้วนลงตัวกับเสียงและบุคลิกได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
มิน่าล่ะเธอถึงกล้าหยิบเพลงใหม่ออกมาในรอบตัดสิน
นี่คือท่าไม้ตายของเธอ!
น่าจะปิดเงียบมานานมากแล้ว!
หลังจากเจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบการฝึกซ้อมได้ฟังเพลงของถังเยวี่ยแล้ว ก็เผยรอยยิ้มจนใจ
เปลี่ยนเพลงเลยเหรอ
นี่ไม่ใช่เพลงที่ฝึกซ้อมกันก่อนหน้านี้!
ผู้เข้าแข่งขันปีนี้อุบายลึกล้ำกันเหลือเกิน
หลังเวที
สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “เรื่องที่ฉันกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ถึงว่าสิสีเหม่ยมาปรากฏตัวที่นี่ เพลงนี้ต้องมาจากฝีมือของนักแต่งเพลงมือทองของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงสักท่านหนึ่งที่เขียนให้ถังเยวี่ยอย่างแน่นอน…”
เธอมองไปยังซย่าฝาน พูดอย่างจริงจัง “เป็นฉันที่เตรียมการไม่รอบคอบเอง ฉันควรช่วยเธอเตรียมเพลงล่วงหน้าสักเพลง”
เดิมทีซย่าฝานอยากบอกว่าขอไปเข้าห้องน้ำก่อน
จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงหนึ่งดังมา “นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอเธอที่ด้านหลังเวทีรายการสะพรั่ง หรือว่าเธอเองก็เซ็นสัญญากับผู้เข้าแข่งขันไปแล้ว?”
จ้าวเจวี๋ยไม่ต้องหันหลังไปก็รู้ว่าใครมา
สีเหม่ยจากเซวี่ยนล่านอิ๋นกวง
คู่ปรับเก่าแก่มานานหลายปีของเธอเอง!
เธอหันหลังไปมองสีเหม่ย พูดพลางยิ้มบาง “เธอก็เซ็นสัญญากับถังเยวี่ยก่อนหน้าไม่ใช่เหรอ แถมยังลงทุนเขียนเพลงระดับนี้ไม่ใช่หรือไง”
“ไม่เลวเลยใช่มั้ยล่ะ”
สีเหม่ยแบมือยักไหล่ “อีกประเดี๋ยวรอถังเยวี่ยคว้าแชมป์ ฉันก็จะแถลงเรื่องเซ็นสัญญาทันที สตาร์ไลท์ของพวกเธอจะชนะทุกครั้งก็คงไม่ได้หรอก”
จ้าวเจวี๋ยยิ้มเย็นเยียบ “เธอคิดว่าตัวเองชนะแน่นอนแล้ว?”
สีเหม่ยมองไปยังซย่าฝานซึ่งประหม่าจนหนีบขาแน่น รู้สึกอยู่ไม่สุขไปทั้งตัว ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีนัยยะ “มีเหรอจะไม่ชนะ?”
ใช่แล้วล่ะ
สีเหม่ยรู้แต่แรกแล้วว่าเพลงสุดท้ายที่ซย่าฝานเลือกคือเพลงอะไร รายการสะพรั่งมีการฝึกซ้อมทุกวัน เรื่องพรรค์นี้ปิดบังกันไม่ได้หรอก
เป็นเพลงเก่าที่เลือกมาเพื่อรับประกันความปลอดภัยก็แค่นั้น
ในทางเดียวกัน เพลงที่ถังเยวี่ยใช้ฝึกซ้อมก็เก็บเป็นความลับไม่ได้
ทว่านี่เป็นอุบายของสีเหม่ย เธอปกปิดเพลงสุดท้ายของถังเยวี่ย จงใจจุดระเบิดควันเพื่อพรางตา เพื่อให้มองภายนอกว่าถังเยวี่ยฝึกซ้อมเพลงเก่าเพื่อเพลย์เซฟ แต่ลับหลังกลับแอบให้ถังเยวี่ยฝึกซ้อมเพลงใหม่
สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
บนเวที เพลงของถังเยวี่ยได้จบลง
บรรยากาศในห้องส่งคึกคักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกคนล้วนตะโกนเรียก ‘ถังเยวี่ย’ ดังสนั่น!
กรรมการทั้งสี่ก็ผลัดกันพูด ในคำวิจารณ์ที่มีต่อเพลงของถังเยวี่ยนั้นมีแต่คำชื่นชม!
“จ้าวเจวี๋ย”
สีเหม่ยอารมณ์ดีสุดขีด ราวกับเพลิดเพลินใจที่ได้เห็นสีหน้าของจ้าวเจวี๋ยเช่นนี้ “หรือว่าตอนนี้เธอเอาปลาตัวนั้นมาช่วยได้ทัน หรือเอาไว้พวกเรานัดกันกินข้าวสักมื้อ ปลาต้มผักดองของเมืองหยางรสชาติใช้ได้เลยนะ!”
ซย่าฝานเงยหน้าขึ้นทันที
จู่ๆ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเธอ สายตากลับฉายแววเย็นยะเยือก จ้องเขม็งไปยังสีเหม่ยพร้อมกับกล่าวว่า “ก็ไม่แน่นะคะ คุณป้า”
คุณป้า?
สีเหม่ยโมโหแล้ว
ฉันแก่ขนาดนั้นเลยเรอะ
ต่อจากนั้น สีเหม่ยก็ประหลาดใจอีกครั้ง ซย่าฝานกังวลจนพูดไม่ออกอยู่แท้ๆ ทำไมอยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งได้ล่ะ
ใช่แล้ว เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย
ความรู้สึกนี้ แปลกประหลาดเหลือเกิน!
ซย่าฝานหันไปมองเวที เอ่ยเสียงเรียบ “เดิมทีฉันก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนี้ เพราะฉันคิดว่าทำแบบนี้ออกจะหน้าไม่อายไปหน่อย ฉันอยากพึ่งความสามารถของตัวเองเพื่อให้ได้แชมป์รายการนี้ แต่ถ้าพวกคุณทำก่อน ฉันทำแบบนี้บ้างก็คงจะไม่นับว่าหน้าไม่อายแล้ว แถมคุณก็ยังพูดถึงเขาคนนั้นแล้วด้วย…”
สีเหม่ยสับสน “อะไรนะ”
ในตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่รุดเข้ามาเตือนสีเหม่ย “ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกรุณาอย่ารบกวนการพักผ่อนของผู้เข้าแข่งขันนะคะ ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมตัวด้านหลังเวทีค่ะ”
“เหอะ”
สีเหม่ยถลึงตาใส่ซย่าฝาน ก่อนจะหันหลังเดินจากไป รองเท้าส้นสูงแปดเซนติเมตรกระทบกับพื้นเสียงดังกึกๆ
“ทำได้ยอดเยี่ยมมาก!”
จ้าวเจวี๋ยยกนิ้วโป้งให้ซย่าฝาน “นึกไม่ถึงว่าเธอจะกล้าพูดกับสีเหม่ยแบบนี้ โบราณกล่าวไว้ว่ายังไงนะ แพ้คนไม่แพ้ศึก หลังจากนี้พี่จ้าวจะปกป้องเธอเธอเอง! การประกวดครั้งนี้จะแพ้ก็แพ้ไป สตาร์ไลท์ของพวกเราไม่สนใจ!”
“ไม่ค่ะ พี่จ้าว วันนี้หนูจะไม่แพ้ศึก ไม่แพ้คนด้วย!”
แววตาของซย่าฝาน ชั่วขณะนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ที่เธอประกวดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจริงจังขนาดนี้ “การแข่งขันครั้งนี้ หนูมีเหตุผลให้แพ้ไม่ได้!”
จ้าวเจวี๋ยงงงัน
เธอยังคงใคร่ครวญว่าจะปลอบใจซย่าฝานอย่างไรดี ไม่ทันไรสิ่งที่ทำให้จ้าวเจวี๋ยตะลึงงันไปก็เกิดขึ้น
พรึ่บ!
จู่ๆ ซย่าฝานก็ถอดเครื่องประดับอลังการแต่ละประเภทออก ปล่อยให้เครื่องแต่งกายหรูหราร่วงลงกับพื้น “ไม่งั้น…หนู…รู้สึกผิดต่อเพื่อน”
“เธอบ้าไปแล้ว!”
จ้าวเจวี๋ยอยากจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทันการ เครื่องประดับกระจายเกลื่อน ไข่มุกกลิ้งกระจายไปกับพื้น ในตอนนั้น ซย่าฝานเหลือเพียงเสื้อผ้าซึ่งเรียบง่ายที่สุด
แบบนี้จะไปแข่งได้ยังไง
จ้าวเจวี๋ยรู้สึกว่าสมองใกล้แตกเป็นเสี่ยง เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “เธอคิดว่าสีเหม่ยมาข่มขวัญ ที่จริงแล้วไม่ใช่หรอก สีเหม่ยไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอก หัวหน้าผู้จัดการของเซวี่ยนล่านอิ๋นกวงจะไร้วิสัยทัศน์ขนาดนั้นได้ยังไง เขาก็แค่มาปั่นประสาทเธอเท่านั้นแหละ เธอเองก็กลัวแพ้ ถ้าเธอรู้สึกกระวนกระวายเพราะเรื่องนี้ ก็จะเป็นไปตามแผนของสีเหม่ย!”
“หนูรู้ค่ะ”
ซย่าฝานมองไปยังเวที แววตาสุกสกาวราวกับแสงของดอกไม้ไฟ และแลดูราวกับแสงดาวพราวระยับบนท้องฟ้ายามราตรี “มีแค่ครั้งนี้ หนูไม่อยากแพ้ รบกวนพี่จ้าวช่วยไปแจ้งหลังเวทีให้หน่อยนะคะ ว่าหนูก็จะ…
เปลี่ยนเพลง!”
……………………………………………