ตอนที่ 45

Dungeon Defence

ngeon Defense: Volume 3 – Chapter 2 (Part 1)

Chapter 2 – Winter (Part 1)

เเจ้งเตือน : บทนี้มีฉากที่รุนแรงและเต็มไปด้วยเลือด

“ลองเรียกผมว่าพ่อหน่อยสิ”

“ฝ่าบาทเป็นบ้าไปแล้วงั้นเหรอ”

ตอนนี้ตลอดทั้งฤดูหนาวผมได้จัดเตรียมกองทัพมาโดยตลอด

อารมณ์ของทหารตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความดุร้ายและรุนแรง เพราะพวกเขาทนรับสายตาของเด็กอายุ 16 ปี ที่ทำตัวเหมือนเเม่ทัพไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมองไปที่พวกเขา ทหารพวกนั้นจะรีบเชื่อฟังในทันที เเต่มันก็เป็นเพียงเเค่ตอนที่มองไปเท่านั้น ในพื้นที่ๆผมมองไม่เห็น วงในเหล่าทหารต่างๆได้มีคำครหาต่อ นางฟาร์นาเซ ต้องขอบคุณพวกเเม่มดที่เป็นที่คุ้นเคยของพวกทหารไปทั่ว เราจึงได้แอบได้ยินสิ่งที่พวกหทารเขาพูดกันอย่างลับๆได้เต็มที่

“ฟังให้ดี”

หลังจากบันทึกคำพูดของพวกทหารลงในอาร์ติเเฟคที่เรียกว่า Memory Play(เครื่องกรอความทรงจำ) ผมจึงเปิดให้ ฟาร์นาเซ ฟังแบบเต็มๆ ทหารเรียกนางฟาร์เนเซว่า ‘นังโสเภนี’

— พวกเราล้วนเเล้วเเต่เป็นปีศาจ ทำไมหญิงโสเภณีบางคนถึงคลานมาที่นี่และบอกว่านางจะเป็นคนสั่งการพวกเราได้กัน? นี่มันเป็นเรื่องบ้าบออะไรเนี่ย?

– เป็นเรื่องที่โคตรจะไร้สาระจริงๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน

— แต่รูปร่างหน้าตาของนังนั้นก็ดูสละสลวยดีนี่

— ใครจะไปสนใจหน้าตาของนังนั่นกันเราทำสงครามเพื่อที่จะมองหน้ามันงั้นเรอะ? เราสู้เพื่อเอาคอของพวกมันมาเเนบกับใบหน้าต่างหาก ก็เเค่ว่านังโสเภณีนั่นมันทำเเค่จำประโยคสองสามบรรทัดจากหนังสือคู่มือการทำสงครามได้เท่านั้นเอง ข้าเเค่สงสัยว่าแม้แต่ข้าราชการตัวเล็กๆ ก็คงจะกลัวถูกเธอข่มขู่หลังจากได้ยินว่าเธออ่านหนังสือบางเล่มจบเเล้วก็เท่านั้น

– ใครจะไปรู้? หัวหน้าของพวกเราทั้งหมดอาจจะสมยอมให้นางไปเเล้วก็ได้ หลังจากที่นางหย่อนสะโพกกดลงไปและได้ยินเสียงเธอครางเเน่ๆ

เสียงหัวเราะต่างๆดังลั่น พวกเรายังคงได้ยินคำบ่นดูถูกนางจากรอบๆว่านางพยายามจะเป็นอีตัวคอยเก็บเเต้ม อันที่จริงผมชินเเล้วกับเหตการณ์แบบนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะหมิ่นเหม่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีการสนทนาที่เป็นการใช้คำพูดแบบจริงจังเท่าไรนัก มันถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียนที่รายล้อมไปด้วยเรื่องตลกขบขัน เมื่อฟังถึงจุดนั้น ผมก็ปิดอาร์ติเเฟคลง

“คิดว่าไงมั่ง?

“ดูเหมือนว่าพวกทหารจะพูดตามใจตัวเองแบบไม่ตริตรองให้ดีเสียก่อน โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้เสียเลย”

ฟาร์นาเซ พึมพำด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“หญิงสาวคนนี้ไม่เคยนอนร่วมเตียงกับฝ่าบาทเสียหน่อย พวกทหารมากความเสียจริง”

“เฮ้.”

ส่วนนั้นไม่ใช่ประเด็น

จะพูดยังไงดีล่ะ? ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการปล่อยปัญหาด้วยการนอนเฉยๆหรอก ใช่มั้ย? ถ้าจะให้ผมอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ก็คือว่า คำสั่งของเธอต่อพวกทหารไม่ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพแม้แต่น้อย แม้จะได้ยินความคิดเห็นของผมแล้ว ใบหน้าของฟาร์เนเซก็ยังคงไร้อารมณ์ เธอไม่แม้แต่จะหันมองมาทางผม แต่กลับอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ของเธอต่อไปอย่างเงียบๆ ขณะที่อ่านหนังสือของเธอ ฟาร์นาเซ ก็ได้พึมพำ

“เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกส่วนและแก้ไขปัญหาภายในกองทัพได้อย่างง่ายดาย พวกเขาไม่สามารถยอมรับคนนอกเข้าไปได้ง่ายๆ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาถูกมัดแน่นเเข็งเเรงอยู่ข้างในอยู่แล้ว เนื่องจากภายในแข็งแรง จึงไม่อาจยอมรับคนนอกได้เเละไม่กระจุยเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เป็นพวกหัวอภิชน“

“แล้วไงล่ะ?”

“หากหญิงสาวคนนี้ต้องกรีดคอนายร้อยและนายสิบลง หลังจากนั้นกองทัพที่แข็งแกร่งจะแตกออกจากด้านในและกลายเป็นเพียงฝูงชนธรรมดา นายทหารที่สบประมาทวาจาต่อหญิงสาวคนนี้ก็จะถูกชิงอำนาจลง และตำแหน่งของพวกเขาถูกเเทนที่ไปด้วยพวกที่เก่งในการประจบสอพลอหญิงสาวคนนี้ แทนที่จะเป็นนายทหารที่มีความสามารถ นายทหารที่เก่งเรื่องการประจบประเเจงคงจะต้องการได้รับสิทธิพิเศษสูงขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นไม่ถูกต้อง กองทัพคือกลุ่มคนที่ถูกผูกมัดโดยหลักการทำงานทั้งภายในและภายนอก หญิงสาวคนนี้กลัวความโง่เขลาของการปรับปรุงเพียงเเค่เปลือกชั้นนอกเเต่ภายชั้นในนั้นได้เสื่อมถอยลง”

ผมได้มองดูไปที่ผิวหน้าของ ฟานาเซ อย่างระมัดระวัง

แม้จะได้ยินคำหยาบคายที่พูดจาหยาบคายโดยกลุ่มคนที่ต่ำต้อย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะแสดงท่าทีต่อต้านใดๆ สิ่งเดียวที่มีอยู่คือเมื่อเห็นเธอใคร่ครวญถึงสิ่งที่เธอจะต้องทำเพื่อจัดการอย่างเหมาะสมในขณะที่ปฏิบัติต่อพวกทหารไม่ใช่ในฐานะคน แต่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือต่างหาก

ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ เป็นโรคจิต

อย่างไรก็ตาม เธอเป็นคนโรคจิตที่ฉลาด

“จะให้ผมมอบคำสั่งทหารทั้งหมดให้เลยเอาไหม?”

“ฝ่าบาทไม่ได้เรียกหญิงสาวคนนี้จากตลาดทาสเพื่อปล่อยให้ปกครองกองทัพของฝ่าบาทงั้นหรือ? เป็นการดีที่ฝ่าบาทจะไม่ต้องกังวลไป กิจการทหารเป็นหน้าที่ของหญิงสาวคนนี้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่หญิงสาวคนนี้ต้องเผชิญ หญิงสาวคนนี้จะจัดการเอง”

ผมรู้ว่าความกังวลนั้นไม่จำเป็น

ด้วยความตั้งใจที่จะจบบทสนทนานี้ด้วยการทดสอบ ผมเลยคิดจะตำหนิเธอสักหน่อย

“กิจการทหารจะจัดการได้เพียงเเค่ลมปากเพราะว่าคนอย่างเจ้าเอ่ยปากว่าจะจัดการได้อย่างงั้นเรอะ”

“คำพูดของฝ่าบาทค่อนข้างจะรุนเเรงนะ แทนที่จะใช้คำพูดปลูกฝังความกลัวให้หญิงสาวคนนี้ ใช้เป้าหมายเพื่อนำทางให้เธอจะดีกว่าไหม”

“ผมจะให้เวลาหนึ่งเดือน ภายใน 30 วัน ต้องมีการควบคุมวินัยทหาร ถ้าไม่สามารถรักษาคำพูด ที่เพิ่งพูดออกไปได้ ข้าจะเฆี่ยนตีเจ้าด้วยความผิดฐานกระพือปากของเจ้าโดยไม่คิด”

“เข้าใจแล้ว”

ฟาร์นาเซ ยังคงไม่ละสายตาจากหนังสือของเธอ เนื่องจากผมได้เปิดเส้นทางข้างหน้าเธออย่างรุนแรง ถึงเวลาแล้วที่จะสนับสนุนเส้นทางข้างหลังเธออย่างนุ่มนวล ผมถามเธออย่างประชดประชัน

“เเล้วมีอะไรให้ช่วยอีกไหม”

“โปรดมอบพวกแม่มดให้กับหญิงสาวคนนี้ หญิงสาวคนนี้จะใช้พวกเธอเป็นตาและหูของเราและใช้มันเพื่อตรวจสอบสิ่งที่หญิงสาวคนนี้ไม่สามารถมองเห็นหรือได้ยิน ”

“คำของ่ายๆ”

“อา ถ้างั้น—”

ฟาร์นาเซพูดขึ้น

“ทำไมฝ่าบาทถึงบอกว่าจะเป็นพ่อให้เเก่เราผู้นี้”

“ผู้คนจะสนใจเธอเพราะเป็นลูกของมนุษย์ ผมคิดว่าการดูถูกจะลดลงถ้ารับเธอมาเป็นลูกสาว”

ฟาร์นาเซ รวบรวมสายตาของเธอจากหนังสือของเธอ ในที่สุดเธอก็มองมาทางผม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย เกือบจะรู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังปฏิบัติกับผมราวกับเศษอาหาร

“นั่นค่อนข้างจะหยาบคายนะ คำพูดของฝ่าบาทนั้นอาจไม่ผิด แต่ความคิดของฝ่าบาทนั้นช่างน่าสมเพช ในโลกทั้งใบนี้ ฝ่าบาทพยายามจะแก้ปัญหาเรื่องทหารผ่านการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมอย่างงั้นสิ? แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะรู้อยู่ก่อนเเล้ว แต่ฝ่าบาทเป็นคนที่ค่อนข้างจะฟั่นเฟืองพอดู อย่างน้อยก็ไม่ปกติเเล้ว”

จะไปสนใจมันทำไมล่ะ!?

ฝ่าบาทคุณมันเป็นไอ้โรคจิต

ฟาร์นาเซ่ได้เข้าไปในที่พักของเหล่าหทาร วางผ้าปูที่นอนไว้ที่ด้านข้างของห้องพักที่ทหารได้พักอาศัยกันอยู่ตรงนั้น เธอได้นำชุดยูนิฟอร์มที่สวมใส่เป็นผู้บัญชาการทหาร เสื่อ,ผ้าห่มชุดหนึ่ง และชามคุณภาพต่ำ เธอวางแผนที่จะมาอาศัยอยู่ร่วมกับกองทัพในตอนนี้

เมื่อเห็นดังนั้น พวกนายทหารพากันมาหาผมและเริ่มโอดครวญออกมา

— พวกเรารู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากท่านจอมทัพเข้ามาเยี่ยมเยือนที่นี่กะทันหันเกินไป

— ถ้าหากท่านจอมทัพมาอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเราจะรับอาหารเช้าพร้อมชามของเรา ก่อนที่เราจะได้ตักน้ำซุป เราต้องเหลือบมองไปที่ท่านทันทีก่อนอย่างเเรก ระหว่างที่มองดูไปที่ท่านจอมทัพ เราลงเอยด้วยการเคี้ยวเนื้อในน้ำซุปน้อยลงไปหนึ่งที เพราะเราต้องระมัดระวังอากัปกิริยาเมื่อท่านมาถึง เราจึงลืมที่จะบดเคี้ยวอาหารไปหลายที เลยได้รับพลังงานไม่พอหลังรับประทานอาหารเสร็จและปวดท้องได้ง่าย บ้านของผมเขาว่ากันว่าไม่ควรรบกวนคนตอนกำลังกินข้าวเเม้เเต่คนที่โง่ที่สุดในหมู่บ้านก็ไม่ควร แต่เราจะต่อสู้อย่างที่ท่านคาดหวังพวกเราอย่างเหมาะสมได้อย่างไร ในเมื่อท่านจอมทัพรบกวนมื้ออาหารของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่? ได้โปรดเข้าใจด้วย.

– โปรดเข้าใจด้วย ฝ่าบาท

ผมเกาไปที่หน้าผากของตัวเอง

ผมเห็นไอ้พวกนี้มันเอาใจใส่กับอาหารการกินเหลือเกิน พวกมันกำลังดูถูกชื่อของผมอยู่สินะ พวกเเกที่มีกำลังเท่ากับเเพะ ได้เลยงั้นผมก็คงต้องทำตัวเเข็งกร้าวเหมือนกัน มาดูกันสิว่าพวกเเกจะรับมือกับการเเสดงความโกรธของผมยังไง?

หายใจเข้าลึกๆเเล้วปลดปล่อยคำพูดออกมาอย่างรุนเเรงเหมือนกระสุน

“พวกเเกกำลังพูดกันเรื่องบ้านของตัวเองต่อหน้าราชาของเเกอย่างงั้นหรอ? ถ้างั้นเเล้ว ผมควรจะบอกเรื่องทางบ้านของเเกกับอาหารทั้งหมดที่เเกเอากระเเทกเข้าหน้าทุกเช้านั้นมันมาจากข้า อาหารเย็นที่เเกกระเดือกเก็บลงไปในท้องและขี้ที่ออกมาจากร่างกายของเเก ทั้งหมดนั้นมาจากข้า เมื่อดาบของเเกหักลงเเล้วจะไปหาใครเพื่อขอให้ซ่อมมันกัน? ใครกันจะไปหาช่างตีเหล็กมาให้? ใครจะให้ม้าและเกวียนเพื่อเก็บอาวุธและนำไปส่งให้พวกช่างตีเหล็ก? และใครกันจะเป็นคนหาอาหารและที่พักให้กับสารถี(คนขับม้า)ที่เดินทางผ่านมา? ข้าเป็นผู้ปกครองที่เเห่งนี้ ไอ้พวกเนรคุณทั้งหลาย ข้าเป็นถึงราชาเป็นองค์เหนือหัว เพียงเพราะเเกรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยที่ต้องคงมารยาทไว้ตอนเเดกข้าวให้มากขึ้นอีกนิดและเคี้ยวให้น้อยลง เเกเลยเดินเข้ามาหาจะมาโวยวายออกนอกหน้างั้นสินะ?”

ผมคว้าหมอนไม้ที่ไว้ใช้นอนแล้วปาใส่นายทหาร เมื่อหมอนไม้กระแทกพื้นเเละกระเด็นกระดอนออกไป กระดูกสันหลังนายทหารก็เริ่มสั่นสะท้านทันที นายทหารก้มหัวตัวเองลงไป

น้ำเสียงในการพูดที่ผมใช้ในการเป็นจอมมารและน้ำเสียงที่ผมใช้ในตอนที่ต้องรับมือกับพวกทหารนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ผมจะไม่ปล่อยให้พวกทหารสั่นกลัวเเละวิ่งเตลิดออกไป ด้วยการกระทำอันสูงส่งและทรงพลังของจอมมารโดยไม่จำเป็น แต่ได้ลดระดับตัวเองลงมานิดหน่อยทำให้พวกทหารนั้นจมศีรษะลงไปที่พื้นเเละไม่สามารถขยับนิ้วเเม้ปลายนิ้วได้เเละก็เป็นไปตามเเผนที่คิดไว้

“ไอ้พวกปัญญาอ่อนพวกนี้”

— ฝ….ฝ่าบาทท่านตรัสได้ถูกเเล้ว

— พวกเราสมควรเเล้วที่ถูกตำหนิ

— พวกเราไม่ได้คิดตริตรองกันให้ดีเอง

“งั้นก็ดี ในเมื่อพวกเเกกล่าวคำขอโทษได้อย่างง่ายดาย ข้าจะให้โอกาสพวกเเกกลับตัวกลับใจซะใหม่ ตังเเต่นี้ไป ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ จะเป็นแม่ทัพที่สั่งการทหารแทนข้า เธอจะเป็นแม่ทัพรักษาการ ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน เธอก็เป็นราชาของพวกเเก เหตุผลที่ไม่ลงโทษในทันที ไม่ใช่เพราะยอมรับคำขอโทษ แต่เป็นเพราะข้าต้องการให้ไปหาเเม่ทัพรักษาการนี้และกล่าวขอโทษให้เสร็จ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกองทัพต้องได้รับการอภัยจากเเม่ทัพเท่านั้น”

— แต่ว่า ฝ่าบาท

— เราต่อสู้ด้วยกำลังที่ได้รับจากอาหารของเรา หากเราไม่สามารถทานอาหารของเราได้อย่างสะดวกใจแล้วล่ะก็

— เราไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่

ไอ้พวกเหี้ยนี้เเม่ง?

ผมชักดาบออกมา

“งั้นข้าควรจะช่วยทำให้กระเดือกอาหารกลืนลงคอได้ง่ายขึ้นไหม”

ในขณะนั้นเองที่ในที่สุดนายทหารก็ได้หนีไป เนื่องจากย่างก้าวของพวกเขานั้นเชื่องช้ามากกว่าที่จะเรียกได้ว่าว่องไว ผมได้วิ่งไล่ตามพวกนั้นไป นายทหารที่เห็นต่างตกใจเเละกรีดร้องออกมาทันที ผมหยิบหมอนไม้ขึ้นมาเเล้วปาออกไปอีกครั้งนึง เเละเพราะว่าผมมีพรสวรร์คในด้านการเป็นพิชเชอร์ หมอนไม้นั้นก็ได้ไปกระเเทกที่ตรงกลางด้านหลังหัวนายทหาร ถึงเเม้มันจะหนีไปได้ก็ตาม เเค่นี้ก็คงเพียงพอเเล้วในการสนับสนุนฟาร์นาเซ่

ผมเชื่อใจลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ ผู้ถูกกำหนดให้เป็นผู้บัญชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปเหมือนในประวัติศาสตร์ดั้งเดิม

แน่นอนว่าหลังจากนั้นผ่านไป 4 วัน ฟาร์นาเซ่ ได้ค้นพบปัญหาภายในกองทัพ ฟานาร์เซ่ที่สวมเครื่องแบบทหาร ได้เดินเข้ามามาแจ้งกับผม

“ความไม่มีเหตุผลในกองทหารตอนนี้มันใหญ่เอามากๆ ฝ่าบาท”

“ความไม่มีเหตุผลแบบไหนหรือ?”

“ถ้ามีเพียงผู้บังคับกองร้อย นายร้อย และนายสิบ ก็เพียงพอแล้ว เเต่อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการกองร้อยนั้นได้มอบหน้าที่ให้กับนายร้อย นายร้อยมอบหน้าที่ให้กับนายสิบ และนายสิบก็มอบหน้าที่ให้กับพลทหาร ในท้ายที่สุด พลทหารจะดูแลทุกอย่างในกองทัพ แม้แต่พลทหารก็เริ่มที่จะเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งนี้แล้ว แบ่งแยกคนระหว่างยศสูงและยศต่ำกันเอง คนชั้นต่ำก็ปูที่นอนให้คนที่สูงกว่ากระทั่งผ้าที่ต้องซัก”

“เป็นปัญหาหลักๆในกองทัพในตอนนี้”

“พลทหารควรต่อสู้เยี่ยงพลทหาร และนายร้อยควรต่อสู้เยี่ยงนายร้อย แต่ทำไมพวกนั้นถึงสั่งการ คนยศต่ำกว่าเพียงเพื่อทำให้ชีวิตของพวกตนง่ายขึ้นกัน? หญิงสาวคนนี้ซึ่งเป็นแม่ทัพควรเป็นผู้บังคับบัญชาเหล่าพลทหารสิ แต่เพราะมีผู้บังคับบัญชาจำนวนมากที่สั่งให้พลทหารทำสิ่งต่างๆมากมาย ราวกับว่าพวกเขามีแม่ทัพหลายๆคนพร้อมกัน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่กองบัญชาการทหารจะสามารถรวมตัวกันเป็นปึกเเผ่นและสร้างความมั่นคงให้กองทัพแบบนี้ได้หรอก”

ผมถ่มน้ำลายลงพื้น คอของผมมักจะรู้สึกแห้งตอนเป็นฤดูหนาว

“เธอแก้ปัญหาได้ใช่ไหม?”

“หญิงสาวคนนี้สามารถจะกำจัดปัญหานี้ได้เเน่นอน”

เอาตามจริงผมชอบที่จะปล่อยให้ความไร้เหตุผลนี้เป็นไปเหมือนเดิมและค่อยจัดการเรื่องนี้อยู่เบิ้องหลังอย่างเหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าลอร่า เดอ ฟาร์เนเซจะตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง เธอให้ทางเลือกว่าจะทนอยู่กับความไร้เหตุผลหรือทนให้เธอสั่งการคนเดียว ผมลองคิดว่าฝ่ายไหนจะสะดวกกว่ากัน

“งั้นก็ดีแล้ว ทำตามที่ต้องการต่อเถอะ”

“หญิงสาวคนนี้จะทำตามเป้าหมายของเฝ่าบาทให้สำเร็จให้ได้”

ฟาร์นาเซ่ เริ่มจัดการกับวินัยทหารให้เข้มงวดมากขึ้น

จากจุดนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนายทหาร ทหารผ่านศึก หรือผู้มาใหม่ ไม่ต้องคำนึงถึงยศหรือประสบการณ์อะไรทั้งนั้น ฟาร์นาเซ่ ได้กำหนดกฎเกณฑ์ที่ทุกคนต้องทำตาม เเละเธอก็ทำเป็นแบบอย่าง ต้องดำรงชีวิตด้วยตนเอง ต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวเธอเอง ฟานาเซ่ ล้างเครื่องแบบของเธอด้วยตัวเองและทำความสะอาดรองเท้าบูททหารของเธอเอง อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพลทหารได้นำอาหารมาให้เธอ เธอบอกเขาด้วยเสียงอันดังลั่น

“เอามันออกไป เห็นเราเป็นคนไม่มีมือไม่มีตีนและปากของตัวเองงั้นเรอะ?”

ฟาร์นาเซ่ ไม่ได้กินอะไรเลยในวันนั้น เมื่อผู้บังคับบัญชาได้โยนชามทิ้งไป ทหารก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เหล่าคนที่เป็นพลทหารที่คอยจัดหาอาหารให้ทหารมียศที่ผ่านศึกก็หายไปจากพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ มันได้หายไปเพียงเเค่เราไม่เห็นก็เท่านั้น

บางสิ่งที่หายไปจากสายของเรา ได้ซ่อนการกระทำในที่ๆเรามองไม่เห็นไว้

ในค่ำคืนเเห่งความทะเยอทะยาน พวกทหารมียศได้เเอบรวมตัวกันเเละเข้าทำร้ายพวกพลทหาร เราได้ใช้พวกเเม่มดช่วยในการฟังเสียงจึงได้ยินเสียงที่ออกมาจากมุมของค่ายได้แบบทันที

— เฮ้ ตั้งสติซะ ไอ้พวกเวร เเกคิดว่านังผู้หญิงแพศยานั่นจะอยู่ในที่พักของเราตลอดไปงั้นสินะ? นางก็เป็นเเค่กะหรี่เลวๆประเภทที่จะจากไปภายในครึ่งเดือน เมื่อนางจากไปเเล้ว หลังจากนั้นพวกเเกได้ตายคามือข้าเเน่

— คิดให้ดีๆว่าใครกันเเน่ที่คอยดูแลพวกเเกอย่างแท้จริง นางโสเภณีนั่นเป็นที่โปรดปราณของฝ่าบาทเเต่ว่ามันไม่ใช่กับพวกเรา ฟังคำเเนะนำของพวกข้าไว้ดีๆ

— ด…ได้ พ พวกเราเข้าใจแล้ว!

ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ละครก็ยังคงเป็นละครเหมือนๆกันทุกที่—.

ขณะที่ผมหันหูไปทางเสียงที่คุ้นเคย ฟาร์นาเซ่ ก็พึมพำอยู่ตรงนั้น

“……เข้าใจเเล้วไอ้พวกบ้ากำลังคิดจะท้าทายเราเพื่ออยากจะรู้ว่าใครจะชนะสินะ”

โอ้?

นี่อาจเป็นเเค่จินตนาการของผมนะ แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าของฟาร์นาเซ่เเสดงความโกรธออกมานิดหน่อย นี่มันหายากจริงๆที่ฟาร์นาเซ่จะเเสดงอาร์มออกมา น่าสนใจมากๆ

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฟาร์นาเซ่ เริ่มออกมาลาดตระเวนช่วงกลางคืน

เธอไม่ได้เดินเตร็ดเตร่ไปมาอย่างเปิดเผยนัก แต่ทำเป็นแสร้งตีเนียนว่าเป็นเรื่องบังเอิญผ่านไปเจอ ตัวอย่างเช่น แกล้งไปเข้าห้องน้ำกลางดึกและเดินผ่านไปทางด้านโกงดัง หรือแกล้งทำเป็นตื่นเพราะมีคนทำเสียงดังเเละเริ่มเดินตรวจตราด้านหลังของห้องพัก มันเป็นวิธีการที่เธอเลือกใช้ เเน่นอนว่าไม่มีวิธีใดได้ผลมากกว่านี้อีกเเล้ว เเละเเล้วก็เป็นเเม่ทัพนั่นเองที่ได้ปรากฏตัวออกมาจากความมืดมิด พวกทหารทำได้เพียงเเค่หวาดกลัวเท่านั้น

“พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่”

เจ้าหน้าที่อาวุโสที่กำลังข่มเหงนายทหารไม่สามารถตอบโต้ได้

ฟาร์นาเซ่ พูดออกด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

“เข้าใจแล้ว. คนที่ไม่นอนเวลานี้ต้องสู้ได้ดีทีเดียวเมื่อต้องสู้ เราผู้นี้รู้สึกโล่งใจที่พวกคุณทุกคนสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งเป็นหนึ่งเดียว เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ตรงนั้น ตามเรามา”

ฟาร์นาเซ่ ทำให้ทหารอาวุโสกลายเป็นคนใช้เเรงงาน ให้พลั่วพวกเขาคนละอันเเละเธอสั่งให้ขุดลงไป เพราะตอนนี้ผืนดินได้แข็งตัวจากความหนาวเย็น ปลายของพลั่วไม่สามารถเจาะพื้นได้ เมื่อมองดูพื้นดินที่ไม่สามารถขุดผ่านลงไปได้ ทหารก็จุดไฟเผาพื้นดิน หลังจากจุดไฟแล้ว พวกเขาก็ขุดลงไปจนต่ำกว่าที่อยู่ในค่ายทหาร ฟาร์นาเซ่ มองดูทหารและออกคำสั่งอีกครั้ง

“ทำได้ดี. เติมดินกลับเข้าไปใหม่เดี๋ยวนี้”

ทหารเทดินที่ขุดขึ้นมาเปล่า ๆ กลับเข้าไปในหลุม ใช้เวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมงในการขุดและเติมหลุม พื้นดินกลับเป็นพื้นราบ พลทหารที่ตอนนี้คิดว่างานของพวกเขาจบลงแล้วและกำลังปาดเหงื่อนั้นเอง ฟาร์นาเซ่ก็เอ่ยคำพูดที่อย่างเยือกเย็นออกมา

“ขุดลงไปใหม่อีกรอบ”

ใบหน้าของนายพลทหารผ่านศึกแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เป็นเวลาครึ่งวันเเล้วที่ทหารขุดซ้ำแล้วกลบซ้ำเล่า มันเป็นงานที่ไม่มีเหตุผลหรือเป้าหมาย เพราะไม่มีเป้าหมาย จึงมองไม่เห็นจุดจบ และเนื่องจากมองไม่เห็นจุดจบ พวกเขาจึงไม่สามารถทนต่อสถานการณ์ปัจจุบันได้ พวกเขาน่าจะอยากตายมากที่สุด มันคงรู้สึกเหมือนกำลังขุดหลุมศพของตัวเอง ขณะเอามือไว้ข้างหลังและยืนอยู่ห่างๆ ผมก็มองดู ฟาร์นาเซ่ ทรมานทหารผ่านศึกอย่างร่าเริง พูดตามตรงก็รู้สึกสนุกตามไปด้วย

— โปรดฆ่าผมเลยเถอะ

— พวกเราผู้ต้อยต่ำได้ทำผิดพลายไปเเล้วท่านเเม่ทัพ!

นายทหารก้มศีรษะลงกับพื้นและโค้งคำนับ นี่คงเป็นครั้งแรกที่ทหารเรียกฟาร์เนเซ่ว่าท่านเเม่ทัพ ฟาร์เนเซทำหน้าใสราวกับน้ำ มองลงมาที่เหล่าทหาร

“ทำไมเราจะจบชีวิตของคุณด้วยหล่ะ? ไม่มีใครรักพวกคุณทุกคนมากเท่ากับเราเเล้ว หยุดพูดพล่อยๆ แล้วขุดต่อไป”

ฟาร์นาเซ่ ยกขอบปากของเธอ เนื่องจากเธอยังไม่คุ้นเคยกับการแสดงออกทางสีหน้า ปากของ ฟาร์นาเซ่ จึงบิดเบี้ยวอย่างประหลาด น่าขนลุก

“หรือว่าบางทีพวกคุณอยากจะเจาะรูบนตัวเรากัน? พวกคุณทุกคนคิดว่าจะทำให้เรานั้นพอใจกับไอ้กระจ้อนที่ปวกเปียกของพวกคุณได้งั้นเหรอ”

เหล่าทหารต่างโห่ร้อง

หลังจากวันนั้น.

เธอได้มีฉายาเพิ่มขึ้นจากการเป็นหญิงแพศยาธรรมดาๆ เป็นหญิงโสเภณีที่ชั่วร้าย

ในอดีต เสียงที่เคยพูดว่า ‘หญิงแพศยาคนนั้น!’ ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถางที่ดังก้องไปถึงเพดาน แต่ตอนนี้ เสียงนั้นพูดว่า ‘หญิงโสเภณีผู้ชั่วร้ายนั่น……’ ด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและทุ้มต่ำลง เสียงที่ก้องกังวานสูงหายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสียงที่แผ่วเบาแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง

เหตุการณ์นี้ช่างน่ายินดียิ่งนัก

ทหารนายกองต่างๆวิ่งมาหาผมอีกครั้ง เเต่ว่าต่างจากเมื่อก่อน น้ำเสียงของพวกเขาเข้มงวดเอามากๆ สามารถสัมผัสได้ถึงความเร่งรีบ นายทหารทั้งหมดตอนนี้เรียก ฟาร์นาเซ่ ว่า (เเม่ทัพหญิง)Miss General อาจเป็นเพียงคำว่า ‘หญิง’ ที่ติดอยู่กับ ‘เเม่ทัพ’ เเค่นี้ก็มีความหมายโดยรวมมากมายเเล้ว ตัวอย่างเช่น ความหมายในระดับ ‘นังบ้านั่น’ มีแนวโน้มที่ออกมาน้ำเสียง นี่ไม่ใช่ความก้าวหน้าที่น่าประทับใจหรอกหรือ?

— ตอนนี้ท่านเเม่ทัพหญิงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทหาร ไม่เพียงแต่ในช่วงบ่ายเท่านั้นแต่ในตอนกลางคืนก็ด้วย เหล่าเด็กๆในค่าย จึงหลับนอนไม่สบายกัน ถึงเเม้ว่าพวกเราจะขาดพลังงานหลังมื้ออาหาร เราก็ยังสามารถต่อสู้กับความหิวนั้นได้ แต่คนจะสู้โดยไม่หลับได้อย่างไรกันท่าน?

— สิ่งที่เกิดนี้ไม่ได้มาจากหนังสือคู่มือการทำสงคราม แต่มาจากชีวิตด้วยตัวมันเอง คนเราควรอ่านหนังสือโดยตามชีวิต แต่ถ้ามีคนใช้ชีวิตโดยอาศัยเเค่หนังสือ โลกจะไม่กลับหัวกลับหางหรอกหรือท่าน? แม้ว่าความรู้ของนางเเม่ทัพหญิงจะลึกซึ้งเพียงใด เธอต้องอ่านหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวข้องกับยุทธวิธีในประเทศ แต่ชีวิตเเต่ละคนก็ย่อมเเตกต่างกันออกไป คนต่ำต้อยอย่างเราต้องการเเค่การใช้ชีวิตและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินชีวิตต่อไป ได้โปรดพิจารณาด้วย!

ผมนิ่งฟังคำพูดที่มาจากพวกนายทหาร หลังจากได้ยินทุกอย่างแล้ว ผมก็ไปที่โกดังและนำพลั่วไปด้วย มันเป็นพลั่วแบบเดียวกับที่นายทหารเจ้าหน้าที่อาวุโสเหวี่ยงไปจนหมดแรง จากนั้นผมก็พูดขึ้น

“ข้าเห็นว่าคำพูดของพวกเจ้าค่อนข้างลึกซึ้งทีเดียว ดังนั้นเเล้วจงเจาะหลักการอันวิจิตรงดงามนั้นลงไปในดินเสีย ให้ข้าได้ทดสอบหน่อยว่าร่างกายของเเกมีความสามารถขุดลงดินไปได้ลึกแค่ไหน”

พวกทหารได้วิ่งหนีออกไปเเล้ว

เดือนต่อมา ความไร้เหตุผลก็ถูกปราบปรามอย่างสมบูรณ์ภายในกองทัพ ธรรมเนียมของนายร้อยที่รับสินบนของนายสิบ และนายสิบที่รับสินบนของพลทหารก็ได้หายไป แนวโน้มที่จะมีการไถเงินจากผู้อื่น และการสมคบคิดกับคนเร่ขายของนอกและคนขายของเพื่อขายสินค้าในราคาที่สูงเกินไปก็หายไปเช่นกัน

ฟาร์นาเซ่ เป็นผู้หญิงใจมาร ยิ่งข้อเท็จจริงนี้แผ่ขยายออกไปในกองทหารมากเท่าไร กลับทำให้เสียงครหาของทหารที่ชี้มาทางเธอและเรียกเธอว่าหญิงโสเภณีที่ชั่วร้ายลดน้อยลงเท่านั้น ณ จุดหนึ่ง แทนที่จะเป็นหญิงโสเภณีที่ชั่วร้าย เสียงของผู้คนยกย่องเธอในฐานะแม่ทัพหญิงที่คิดถึงส่วนรวมมากกว่าคนอื่นๆ ไหลไปทั่วกองทัพ คงจะเป็นเพราะว่าตอนนี้มีหลุมในค่ายทหารมากกว่า 11 หลุมเเล้ว ที่ถูกสร้างขึ้น

นายทหารตอบสนองอย่างอ่อนไหวต่ออารมณ์ของพลทหาร เหมือนกับที่มนุษย์รับรู้อาการท้องอืดได้โดยอัตโนมัติ นายทหารได้เข้าใจความรู้สึกของพลทหารเเล้ว

นายทหารอ่านบรรยากาศและเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา พวกเขาคงกลัวผลที่จะตามมาจากการที่มาหาผมเพื่อบ่นอย่างไร้สาระตั้งแต่ นายทหารหันไปเข้าข้างเชียร์ ‘ไชโยสำหรับเเม่ทัพหญฺิงฟาร์น่าเซ่!’ นายทหารที่กำลังทำตัวราวกับจะเลียฝ่าเท้าของฟาร์เนเซคลานไปมา ในหมู่พวกนั้น มีผู้ติดตามคนหนึ่งพยายามเอาน้ำลายใส่นิ้วเท้าของฟาร์เนเซจึงถูกเตะออกไป

since the captains went around cheering ‘Hooray for Miss General Farnese!’. Captains that behaved as if they would lick the soles of Farnese’s feet crawled around. Among them, one fellow actually did try to put saliva on Farnese’s toes and was kicked. (งงมากๆ)

ตึ๊กตึ๋ง. Tsk tsk.

ช่างน่ารักเสียนี่กระไร

ในที่สุด ก็ยังเหลือกลุ่มบุคคลที่รู้จักกันในชื่อนายทหารเจ้าหน้าที่อาวุโสยังคงอยู่

คนเหล่านี้ไม่สามารถละทิ้งความสุขในการรีดไถคนที่อยู่ด้านล่างได้ พวกเขาคิดว่าตัวเองดีกว่าไพร่พลแต่ตวามจริงเเล้วกลับต่ำกว่านายทหาร ดังนั้นพวกเขาเลยเป็นเหมือนกับพวกอันธพาลในละแวกบ้าน คนเหล่านี้ขาดความสามารถทางการเมืองในการตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์อย่างที่นายทหารทำ เจ้าหน้าที่อาวุโสพยายามปกป้องอำนาจและคงไว้ซึ่งอาณาเขตของตน

เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงข่มเหงพวกพลทหารโดยการลากพวกเขาออกไปที่ไกลๆ พวกเขาลากพลทหารออกไปที่โกดังที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งในค่ายพัก หนูที่เป็นเเม่มดปลอมตัวมาได้แอบฟังเสียงที่รั่วออกมาจากช่องว่างบนผนังนั้น

— เฮ้ ไอ้พวกเวร ใครเป็นคนพาพวกเเกออกจากหมู่บ้านและพาเข้ามาเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพกันหะ? ข้าก็เป็นเเค่คนแก่ๆที่อาศัยอยู่ข้างๆบ้านพวกเเกไง เพียงเเต่ข้างบ้านที่ว่าหมายถึงกองทัพไงหล่ะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเเกก็ควรปฏิบัติต่อผู้อาวุโสจากหมู่บ้านเดียวกันด้วยความเคารพซะ!

— ถึงตอนนี้เราอาจอาศัยอยู่ในกองทัพนี้ แต่เมื่อเราตาย เราจะกลับบ้าน ถ้าพวกเเกละเลยรุ่นพี่ของเเกไปเรื่อยๆละก็อย่าคิดว่าจะมีคนมาร่วมจัดงานศพให้เเกสักคนเดียวเลย? เเก​คิดจริงๆใช่ไหม​ว่า​หญิง​โสเภณี​ที่​ชั่ว​ช้า​จะ​จัด​การ​งาน​ศพ​ของ​เเกให้ได้​ไหม? นางก็เป็นเเค่ผู้หญิงเลวๆที่จะสั่งให้เเกไปตาย นางไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่จะดูแลหลังจากที่เเกตายไปเเล้วหรอก

— เฮ้ อย่าทำเป็นเมินเรา เรากำลังพูดถึงสิ่งนี้โดยคำนึงถึงพวกเเกอยู่ นอกจากนี้ ต่อให้กรีดร้องแค่ไหน หญิงโสเภณีคนนั้นก็ไม่มาหรอก

ฟาร์เนเซ่เปิดประตูออกมา

“ใช่. เรามาเเล้วมาพราะคุณเรียกเราออกมา”

ทหารส่งเสียงกรีดร้องและล้มลงไปกองกับพื้น ผมได้ยินเสียงของวัตภุที่พังทลายลงพร้อมกับเสียงเลืองงลั่น ผมจะถามฟานาเซ่ ในภายหลังว่าเป็นเสียงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าพวกทหารจ้องมองเธอราวกับว่าเธอเป็นผี

“เป็นการดีที่จะตั้งตารอ เหล่าท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ให้เราสอนวิธีขุดหลุมอย่างถูกวิธีให้ในวันนี้”

เจ้าหน้าที่อาวุโสถูกบังคับให้ขุดดินเป็นเวลา 2 วันติดต่อกันโดยไม่ได้นอน

ในที่สุดวินัยทหารกลับมาตั้งตรง นายทหารดูแลพลทหารเองกันได้ หากไม่ใช่คำสั่งอย่างเป็นทางการจากเบื้องบน แม้แต่พวกพลทหารก็ไม่เชื่อฟังพวกทหารอาวุโสเเล้ว

ในวันสุดท้ายของระยะเวลา 1 เดือนที่สัญญากันไว้ ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ ได้ทิ้งเครื่องแบบของทหารทั่วไปและสวมเครื่องแบบของเเม่ทัพ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฟาาร์นาเซ่ ก็มาเยี่ยมผมด้วยร่างกายที่สะอาดสะอ้าน ผิวของ ฟาร์นาเซ่ ขาวกว่าหิมะที่เพิ่งตกลงสู่พื้นโลก และเสียงของเธอก็ชัดเจนราวกับท้องฟ้าที่ที่หิมะตกลงมา ผมไม่ได้ตระหนักถึงความตั้งใจของเธอที่ดูเหมือนหิมะและท้องฟ้าในขณะที่อยู่ข้างหน้าผม ไม่ว่าเธอจะรู้ว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเธอหรือเปล่า เด็กสาวโรคจิตตัวเล็กๆ ที่ก่อปัญหาก็พูดออกมาสั้นๆ

“ต่อไปนี้ หญิงสาวคนนี้จะรายงานว่าเธอบรรลุเป้าหมายของฝ่าบาทแล้ว ”

ความหยิ่งทะนงในตนเองและความทะนงตนสามารถเข้าใจได้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ นั้น

ผมอยากจะชมเชยผู้หญิงคนนี้ ผมต้องการรับทราบการทำงานหนักที่เธอต้องเผชิญโดยคอยตามล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงตลอดทั้งคืน ปลอบโยนทหารเกณฑ์ที่เข้ามาใหม่ และซักผ้าทั้งหมดด้วยมือของเธอเอง ผมทำท่าทางให้ฟาร์เนเซเข้ามาใกล้และปัดผมของฟาร์เนเซที่เข้าใกล้ด้วยหวีงาช้างอย่างแผ่วเบา

ผมยิ้ม

“ทำได้ดีมาก. อยากจะดื่มอะไรหน่อยไหม?”