บทที่ 113 ผู้แข็งแกร่งมีหลักการของตนเอง

เจ้าของร้านพิศวง

เผลอ…เปิดมันเข้าแล้ว?!

จี้จือซู่นิ่งค้างจ้องกล่องทองเหลืองที่เปิดออก

ยังมีร่องรอยการกระเพื่อมของอีเธอร์ที่สลายไปให้เห็นอยู่ มันราวกับตัวล็อกที่มองไม่เห็นถูกปลดออกและยังมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนพื้นผิวที่เปล่งประกายหลงเหลืออยู่บ้าง

เลือดดูจะ ‘เอ่อนอง’ และมีกลิ่นอายชั่วร้ายโชยออกมา

ทว่ามันก็เป็นเพียงภาพลวงตา วินาทีต่อมา มันก็มีเพียงแค่แสงจาง ๆ ที่เปล่งออกมาจากภายในกล่องเท่านั้น

หลินเจี๋ยเองก็ไม่มีปฏิกิริยา เขาแค่ส่งของให้มูเอนเอาไปถือชั่วคราว แค่ปล่อยเธอไว้ไม่กี่นาทีโดยไม่ได้ควบคุมอะไร เธอก็เปิดกล่องออกมาแล้วเหรอ?

นับแต่ที่ชายหนุ่มช่วยมูเอนไว้ เด็กคนนี้ปกติก็ขี้สงสัยในเรื่องราวประจำวันมากอยู่แล้ว และเธอก็อยากจะแตะต้องทุกอย่างที่เธอเห็นด้วย การส่งกล่องที่เหมือนตัวต่อเลโก้นี่ให้ก็เหมือนยั่วเธอนั่นแหละ

ยิ่งกว่านั้น ด้วยความสามารถเรียนรู้ที่บ้าคลั่งนั่นของเธอ การเปิดตัวล็อกกล่องได้ก็ไม่ได้แปลกอะไรเลย

ช่างมันเถอะ…เรื่องมันแล้วไปแล้ว แล้วคำขอของคุณหนูจี้ก็คือการเปิดกล่องด้วย

มันไม่ได้มีความแตกต่างที่สลักสำคัญอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยของเขาหรือตัวหลินเจี๋ยเองที่เปิดมัน

ทว่า…เด็กคนนี้ได้แตะต้องสิ่งของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แถมนี่ยังเป็นอะไรที่เจ้าเดนมนุษย์นั่นเหลือไว้ด้วย…นั่นอาจจะถูกใช้เพื่อการแบล็กเมล์และอาจทำให้จี้จือซู่รู้สึกไม่สบายใจได้

ยังไงเด็กคนนี้ก็สมควรที่จะขอโทษเธออย่างเหมาะสม

ในขณะที่ผู้ใหญ่ทั้งสองยังมองอยู่ มูเอนก็ผลักกล่องไปให้หลินเจี๋ยแล้วรีบซ่อนมือของเธอไว้ข้างหลังเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

เธอมองหลินเจี๋ยอย่างมีความผิดแล้วพึมพำ “ฉันแค่อยากลองดูน่ะค่ะ”

เธอแค่อยากลอง แล้วเธอก็เลยลองแล้วเปิดมันแค่นั้นน่ะเหรอ?

แม้ว่าอักขระที่ผนึกกล่องไว้จะง่าย แต่จากจำนวนอักขระบนกล่องนั้นแล้ว มันต้องใช้นักเวทมนตร์ขาวที่เชี่ยวชาญด้านนี้นะ!

เด็กสาวคนนี้ ที่จริงแล้วเป็นนักเวทมนตร์ขาวที่เชี่ยวชาญเรื่องอักขระหรือเปล่า?!

จี้จือซู่ไร้ข้อกังขาอีกต่อไปเมื่อเธอคิดมาถึงจุดนี้ ในทางกลับกัน เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ควรคาดไว้แล้ว อย่างไรเสียเธอก็เป็นผู้ช่วยของคุณหลินนี่นา!

จี้จือซู่พยักหน้า ตัวตนที่เหมาะสมกับการเป็นผู้ช่วยของเขานั้นต้องไม่ธรรมดาแน่แท้

ในขณะที่จี้จือซู่คิดไปต่าง ๆ นานา หลินเจี๋ยก็เลื่อนกล่องไปหาจี้จือซู่ด้วยรอยยิ้มขอโทษขอโพย “เด็ก ๆ มักจะไม่รู้เรื่องแล้วแตะต้องของไปเรื่อย ขอโทษด้วยครับ”

“ความคิดของเธอยังไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลนัก ถึงเธอจะมีความสามารถสูงมากในบางเรื่อง แต่เธอก็ยังขาดสามัญสำนึกและผมก็ยังไม่ได้สอนเธอเรื่องการวางตัวกับคนอื่นเลย”

มูเอนกะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้งแล้วพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “อื้อ”

‘เด็กแตะต้องของไปเรื่อย’ ของคุณนี่หมายถึงปลดอักขระผนึกของกล่องนี้ที่เฮริสผู้ระแวดระวังซ่อนสูตรดั้งเดิมไว้เหรอคะ? นี่น่ากลัวยิ่งกว่าคำพูดที่ว่า ‘แค่อยากลอง’ อีกนะคะ…

จี้จือซู่สบถเงียบ ๆ แต่สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเมื่อนึกถึงความหมายอีกชั้นหนึ่งที่ซ่อนอยู่หลังคำพูดของหลินเจี๋ย…เด็กสาวคนนี้อาจจะเป็น ‘นักเวทมนตร์ขาว’ ก็ได้ ที่จริงแล้วคุณหลินเป็นคนสอนเธอ

ความคิดของเธอยังไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลนัก แล้วการขาดสามัญสำนึกและความรู้สึกที่จี้จือซู่มีเมื่อครู่นี้…

หรือจะเป็น…

หัวใจของจี้จือซู่เต้นรัวเมื่อความคิดที่น่าตกใจแล่นผ่านในใจของเธอ แต่เพราะมันร้ายกาจเกินไป เธอจึงทำได้เพียงหยุดตัวเองไม่ให้นึกภาพไปมากกว่านี้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหลินเป็นคนที่ฉันเคารพและเชื่อใจ ผู้ช่วยของคุณก็เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่ฉันต้องซ่อนเรื่องนี้เลย”

หลินเจี๋ยส่ายหน้า คุณหนูคนนี้เชื่อใจคนง่ายเกินไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เธอโดนหลอก!

แม้ว่าเธอจะเชื่อใจอาจารย์หลินและแน่นอนว่าเป็นหลินเจี๋ยที่นำทางเธอและได้ความไว้เนื้อเชื่อใจจากเธอ แต่นี่ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าจี้จือซู่เผยจุดอ่อนบางอย่างของเธอง่ายเกินไป…

เมื่อนับแล้ว เขากับคุณหนูจี้ได้พบกันแค่สามครั้ง แม้ว่าเขาจะคู่ควรกับความเชื่อใจของเธอก็ตาม แต่มันไม่ได้หมายความว่าใครที่โผล่มาอยู่ข้างเขาจะเป็นเหมือนกันด้วย

หลินเจี๋ยมองจี้จือซู่แล้วกลับสู่ท่าเท้าคางกับฝ่ามืออย่างปกติ

“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกคุณว่า ‘นรกคือผู้อื่น’ ที่จริงแล้วผมก็พูดแบบนี้กับคนอื่นบ่อย ๆ แต่มีน้อยคนมากที่จำมันได้ สุดท้ายแล้วพวกเขาก็มักจะจบด้วยการจ่ายค่าโง่อะไรไปไม่มากก็น้อย…”

“ผมหวังว่าคุณจะไม่ซ้ำรอยความผิดเดิม แล้วคิดถึงความรู้สึกของคุณในตอนที่คุณถูกหักหลังในครั้งแรกนะครับ”

“ผมจะอบรมมูเอนที่ฝั่งผมให้ แต่คุณควรระวังตัวกว่านี้ เพราะถึงอย่างไร ของพวกนี้ก็เป็นของส่วนตัวคุณนะครับ”

‘แต่คุณจะไม่หลอกฉัน คุณเห็นทุกอย่างที่ฉันมีได้ และไม่มีเหตุผลเลยที่ฉันจะต้องมาระวังคุณ’

จี้จือซู่อยากจะพูดทั้งหมดนี้ด้วยความเลื่อมใสและรู้สึกผิดเล็กน้อย ทว่าในเมื่อเป็นหลินเจี๋ยที่พูดเช่นนี้ คุณหนูสาวจึงทำได้เพียงก้มหัวอย่างเชื่อฟัง “ฉันจะทำค่ะ ขอบคุณที่ย้ำเตือนฉันนะคะ”

แต่ว่า…ผู้แข็งแกร่งมีหลักการของตัวเอง คุณหลินไม่ได้สนใจของในกล่องเลย

บางที ไม่สิ เขาคงไม่สนใจ มันก็แค่สูตรดั้งเดิม อะไรที่ตัวตนอย่างคุณหลินคงคุ้นชินแล้ว

ในขณะที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านในใจเธอ ดวงตาของจี้จือซู่ก็มองไปที่กล่องทองเหลืองที่เปิดออกแล้ว

ภายในกล่องนั้นรองด้วยกำมะหยี่สีดำ และสิ่งที่จมอยู่ตรงกลางคือหลอดแก้วคริสตัลขนาดเล็กที่ถูกจุกก๊อกผนึกไว้ด้านบน ภายในหลอดนั้นบรรจุของเหลวข้นสีชาด

โลหิตข้น ๆ สีแดงเข้มนั้นเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องภายในหลอด มันเต้นตุบและหดตัวอยู่ที่ผนังหลอดราวกับมีชีวิต แล้วเรืองแสงราวกับอัญมณี

แสงหักเหผ่านเลือดในหลอดแก้วคริสตัลใส ทำให้ภายในกล่องฉาบด้วยแสงสีแดงที่เจิดจ้าและน่าขนลุก

สวยเหลือเกิน เย้ายวนเหลือเกิน…นี่คือสูตรดั้งเดิมของเลือดอสูรที่บรรจุอำนาจของสัตว์มายา

ตึกตัก! ตึกตัก!

หัวใจของจี้จือซู่เต้นประสานไปกับการบีบตัวของเลือด แล้วเธอก็ขนลุกซู่โดยสัญชาตญาณ

เพราะเลือดอสูรในร่างของเธอก็มาจากสกายวูล์ฟ ดังนั้นการเต้นหัวใจนี้…

นี่หมายความว่าสูตรดั้งเดิมนี้เป็นของจริง!

“เฮ้อ…”

จี้จือซู่จ้องมองหลอดทดลองในกล่องแล้วผ่อนหายใจโล่งอก นี่หมายความว่าตัวเธอในตอนนี้มีองค์กรนักล่าใหม่พร้อมด้วยรากฐานของมันแล้ว

ครอบครองสูตรแล้วแทนที่หมาป่าขาวเดิม พวกเธอกลายเป็นองค์กรโดยชอบธรรมที่แท้จริง!

น้ำหนักมหาศาลที่ถ่วงอยู่ในใจของจี้จือซู่ถูกยกออก แล้วเธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แต่จากนั้น ดวงตาของเธอก็ทอดมองไปที่ด้านข้างของกล่องทองเหลือง

ระหว่างกล่องทองเหลืองและกำมะหยี่สีดำที่ก้นด้านในมีกระดาษเขียนหนังสือยับ ๆ อยู่

จี้จือซู่เอื้อมไปหยิบกระดาษแล้วคลี่มันออก มันมีทั้งหมดสองแผ่น และทั้งคู่เป็นข้อความลับที่จ่าหน้าถึงเฮริส