ตอนที่ 409 แยกย้ายหาคน

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 409 – แยกย้ายหาคน

 

    “พวกเราคืออาหาร” ครึ่งชั่วยามให้หลัง ทุกคนหยุดอยู่ที่ทางเดินแห่งหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่แตกต่างกับก่อนหน้านี้  เนี่ยอู๋ชางอ้าปากแล้วพูดประโยคนี้

    พริบตานั้น สายตาของทุกคนล้วนรวมกันอยู่บนร่างนาง

    เนี่ยอู๋ชางกล่าวต่อว่า “อยากจะมีชีวิตรอด จะต้องฆ่าเจ้าสิ่งที่กินพวกเรา หรือไม่ก็ต้องไปจากที่นี่”

    ลมปราณของพวกจินสือสามคนไม่เสถียรอย่างเห็นได้ชัด ได้ยินวาจานี้แล้ว อวี้กุยที่ขวัญอ่อนที่สุดในนั้นมองไปทางจินสืออย่างตื่นตระหนก “พี่ใหญ่ นี่……” พวกเขาหนีมาพักใหญ่ ๆ แล้ว ปราณมารเมื่อเทียบกับพวกโม่เทียนเกอสี่คนน้อยกว่ามาก หนีถึงตอนท้าย ผู้ที่ทนไม่ไหวก่อนจะต้องเป็นพวกเขา

    จินสือจับจ้องเนี่ยอู๋ชาง อ้าปากถามว่า “สหายเต๋า……เทียนฉานท่านนี้ ท่านจะบอกว่า เหมยเฟิงผู้นั้นลวงพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อป้อนให้ตัวประหลาดนี้หรือ”

    เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้าเบา ๆ “ข้อเท็จจริงอยู่เบื้องหน้า แต่ว่า สรุปแล้วเป็นเป้าหมายสุดท้ายหรือไม่ นั่นก็ไม่ทราบแล้ว”

    “หากพวกเราถูกกิน ยังจะต้องการเป้าหมายสุดท้ายอะไรอีก” ยงหรูอวี้หน้าปั้นยาก ขมวดคิ้วแน่น “หรือว่าตัวประหลาดนี้กินพวกเราแล้วจะแกร่งขึ้น”

    เนี่ยอู๋ชางร้องหึเบา ๆ สายตากราดไปทางเขา “หรือท่านไม่ได้ค้นพบว่าหลังจากพวกเราโจมตี ลมปราณบนร่างตัวประหลาดนั่นเข้มข้นยิ่งขึ้น”

    ยงหรูอวี้ตะลึง เรื่องนี้เขาไม่ได้ค้นพบจริง ๆ ตอนนั้นโจมตีล้มเหลว เขาเพียงรู้สึกหงุดหงิด แต่คิดอย่างละเอียด ถึงจะเพิ่มความแข็งแกร่งก็ไม่ได้แกร่งเพิ่มสักกี่มากกี่น้อยกระมัง ไม่อย่างนั้น ด้วยระดับประสาทสัมผัสอันเฉียบคมต่อลมปราณของผู้ฝึกตน ไม่ต้องสังเกตก็ค้นพบได้

    พวกจินสือสามคนครุ่นคิด มู่ซีผู้นั้นเอ่ยอย่างลังเลว่า “อันที่จริง……ครั้งแรกที่พวกเราพบตัวประหลาดนี้ มันไม่ได้มีความแข็งแกร่งอย่างตอนนี้เลย”

    อวี้กุยฟังแล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง มองจินสือแล้วเอ่ยว่า “นั่นไยมิใช่……พวกเราถึงจะร่วมมือกันทั้งหมดก็เอาชนะมันไม่ได้”

    “แตกตื่นอะไร!” จินสือเห็นสีหน้านี้ของเขา ตำหนิหนึ่งคำ หันไปทางเนี่ยอู๋ชาง ถามอย่างสุภาพว่า “สหายเต๋าท่านนี้ในเมื่อค้นพบจุดนี้ ใช่หรือไม่ว่ามีวิธีการรับมือ”

    เนี่ยอู๋ชางส่ายหน้า เอ่ยว่า “มีเงื่อนงำนิดหน่อย แต่ขณะนี้ยังคิดวิธีการไม่ออก”

    จินสือฟังจนอึ้ง “เช่นนั้นถัดจากนี้ไปพวกเราจะทำอย่างไร หรือว่าจะหนีไปเรื่อยโดยไม่หยุดพักอย่างนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ สุดท้ายพวกเราไม่อาจฟื้นฟูปราณมาร ในที่สุดยังจะถูกกิน!”

    “ข้ามีข้อเสนอ” โม่เทียนเกอที่เงียบงันมาโดยตลอดจู่ ๆ เปิดปากขึ้นมา ดึงดูดสายตาของทุกคนในพริบตา

    ถึงแม้ว่ายังรู้จักกันไม่นาน แต่นิสัยของแต่ละคนคะเนได้อย่างคร่าว ๆ แล้ว ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วสองคน สามารถลงมือ ความรอบรู้ก็ไม่เลว แต่ช่วงเวลาวิกฤตกลับปั่นป่วนได้โดยง่าย ส่วนพวกจินสือสามคน อวี้กุยไม่ต้องเอ่ยถึง มู่ซีถึงจะจิตใจละเอียดอ่อน แต่สายตาจำกัด ส่วนจินสือหยาบกระด้างอยู่บ้าง เช่นนี้แล้ว ผู้ที่สามารถเสนอความเห็นที่เป็นไปได้ออกมาในช่วงเวลาวิกฤตมีเพียงเนี่ยอู๋ชางและโม่เทียนเกอสองคนเท่านั้น

    โม่เทียนเกอกล่าวต่อว่า “ถ้าหากด่านแรกมีเพื่อทำให้พวกเราสับสน ที่นี่จึงเป็นเป้าหมายของเจ้าเมืองเหมย เช่นนั้น ทุกคนน่าจะมาถึงที่นี่กันหมดถึงจะถูก”

    “มิผิด” จินสือถึงจะหยาบกระด้าง แต่ไม่ได้โง่ ได้ยินประโยคนี้แล้วก็คิดได้ทันทีว่านางอยากจะพูดอะไร “พวกเรารวบรวมทุกคนเข้าด้วยกัน ไม่แน่ว่าจะสามารถ……”

    “อืม ร่วมแรงร่วมใจ ไม่จำเป็นว่าจะไม่มีความหวัง” โม่เทียนเกอพยักหน้าเห็นด้วย

    มู่ซีเริ่มคำนวณอย่างละเอียดทันที “พวกเราที่นี่มีเจ็ดคน อย่างนั้นคนที่ไม่อยู่ที่นี่น่าจะมีแปดคน มีหนึ่งคนถูกกลืนกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พวกเราเห็นกับตา สมมติว่าคนอื่น ๆ ล้วนไม่เกิดเรื่องก็จะยังมีอีกเจ็ดคน!”

    สีหน้าของยงหรูอวี้ลังเลอยู่บ้าง “พวกเราต้องไปหาคนอื่น ๆ ให้หมดจริง ๆ หรือ แต่ว่าที่นี่เป็นอย่างกับเขาวงกต จะหาอย่างไร” ทางแยกมากขนาดนี้ แต่เดินไปครบรอบยังนานมากเลย

    “เอาอย่างนี้” เนี่ยอู๋ชางเอ่ย “พวกเราแบ่งกลุ่ม ทำสัญลักษณ์ตลอดทาง ทุก ๆ ครั้งที่แยกกันไปครึ่งชั่วยามจะต้องมารวมตัวกันหนึ่งครั้ง อย่างนี้จะรับประกันได้ว่าจะไม่เดินหลง”

    “ก็ได้อยู่” จินสือพูด “แต่ว่า ถึงจะเป็นอย่างนี้ พวกเราก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาคนครบ อีกอย่าง ถ้าไม่อาจฟื้นฟูปราณมารตลอดไป……”

    “ดังนั้น จะต้องกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน” โม่เทียนเกอพูด “ทุกคนบอกมาก่อนว่าโอสถบนตัวของตนเองสามารถรักษาพลังวิญญาณให้เต็มเปี่ยมได้นานเท่าไหร่”

    “นี่……” จินสือลังเลเป็นคนแรก บนตัวมีโอสถมากน้อยเท่าไหร่ สำหรับผู้ฝึกตนแล้วเป็นความลับสุดยอดเทียบเท่ากับอาวุธเวท เรื่องประเภทนี้ หากให้คนอื่นรู้เข้า ตอนต่อสู้จะต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ ในยามปกติแม้แต่สหายยังไม่ถามคำถามอย่างนี้

    ตรงกันข้าม ยงหรูอวี้กล่าวทันทีว่า “มิผิด ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ศัตรูแข็งแกร่งอยู่ต่อหน้า แน่นอนว่าการร่วมมือกันมีความน่าจะเป็นที่จะมีชีวิตรอดสูงกว่า นี่จะต้องไว้วางใจเพื่อนร่วมกลุ่ม แต่ว่า ข้าหวังว่าพวกเราทุกคนจะสามารถตั้งสัตย์สาบานว่าก่อนที่จะหนีรอดอย่างปลอดภัยจะไม่หักหลังเป็นศัตรูกันเป็นอันขาด”

    “นี่ไม่มีปัญหา” โม่เทียนเกอมองจินสือ “สหายเต๋าทั้งสามท่านคิดอย่างไร”

    “นี่……” จินสือยังลังเล

    ยงหรูอวี้เห็นดังนั้นแล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “สหายเต๋าทั้งสาม พวกท่านเป็นผู้ฝึกมาร เทียบกันแล้ว พลังจำกัดที่คำสาบานมีต่อพวกท่านเทียบพวกเราไม่ได้ หากแม้กระทั่งเรื่องนี้พวกท่านยังไม่สามารถยอมรับ เช่นนั้นระหว่างพวกเราจะไว้วางใจกันได้อย่างไร ไม่มีความไว้วางใจ แล้วจะประสานงานกันอย่างไร”

    “พี่ใหญ่ เขาพูดถูก” มู่ซีเตือนเสียงเบา ๆ “สถานการณ์เร่งร้อน ได้แต่เป็นเช่นนี้แล้ว”

    จินสือลังเลครึ่งค่อนวันแล้วกัดฟัน “ได้ไม่อาจไม่เสี่ยงดวงแล้ว!” พูดจบ เขายกมือเอ่ยว่า “ข้าจินสือขอสาบานต่อเทพมารที่นี่ ว่าการเดินทางนี้จะร่วมรุกร่วมถอยกับสหายเต๋าทั้งหลายในที่แห่งนี้ ไว้วางใจกันและกัน สหายเต๋าทั้งหลายปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ข้าก็จะปฏิบัติด้วยอย่างนั้น หากข้ามีความชั่วร้ายในจิตใจ ฝ่าฝืนคำสาบาน ขอให้ข้าไม่อาจเลื่อนขึ้นจิตวิญญาณใหม่ไปชั่วชีวิต ณานศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างเสื่อมสูญ!”

    หลังจากเขาท่องจบ มู่ซีและอวี้กุยก็ปฏิบัติตาม หลังจากเอ่ยคำสาบานแล้ว ทั้งสามคนจับจ้องโม่เทียนเกอและพวก

    โม่เทียนเกอไม่ได้ลังเล เอ่ยขึ้นก่อนใครว่า “ข้าขอใช้จิตมารกล่าวสาบาน ก่อนที่จะหนีรอดอย่างปลอดภัย ขอเพียงสหายเต๋าทุกท่านไม่ฝ่าฝืนคำสาบาน ข้าจะไว้วางใจอย่างเต็มที่ ไม่กลายเป็นศัตรูกับทุกท่านเป็นอันขาด หากฝ่าฝืนคำสาบานนี้ บรรพบุรุษเต๋าจงเป็นพยานให้ข้าติดอยู่ในจิตมารไปชั่วชีวิต ระดับการฝึกตนไม่คืบหน้าสักชุ่น ณานศักดิ์สิทธิ์เสื่อมสูญ”

    จากนั้นเนี่ยอู๋ชาง, ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วก็กล่าวคำสาบานไปทีละคน

    รอจนคนสุดท้ายพูดจบ ทั้งเจ็ดคนล้วนถอนหายใจโล่งอกคำหนึ่ง ในที่สุดมีความไว้วางใจขั้นต้นระหว่างกันและกันแล้ว

    สิ่งของอย่างคำสัตย์สาบานนี้ ปุถุชนอาจจะสามารถพลิกลิ้นไม่ยอมรับ แต่พวกเขาผู้ฝึกตนเหล่านี้ทำไม่ได้ สาเหตุที่พวกเขาเดินไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนก็เพราะเชื่อว่าบนโลกนี้มีเซียนมีมาร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะสามารถฝ่าฝืนคำสัตย์สาบานได้อย่างไร ถึงแม้ว่าผู้ฝึกมารไม่ได้ฝึกตนโดยมีสภาวะจิตใจอันเข้มงวดอย่างผู้ฝึกเต๋าก็ยังมีข้อห้ามของพวกเขาเอง

    หลังจินสือสาบานก็ล้วงโอสถหลายขวดออกมาจากอกเสื้อตรง ๆ กล่าวว่า “สำหรับพวกเราผู้ฝึกมาร โอสถที่สามารถใช้ตรง ๆ มีไม่มาก หลังจากเข้าสถานที่ลับนี้ พวกข้าใช้ยามารไปไม่น้อยแล้ว ไม่กี่ขวดนี้เป็นโอสถที่ข้าเหลืออยู่ คาดว่าสามารถอยู่ได้วันสองวัน”

    มู่ซีกล่าวต่อว่า “ข้าน้อยกว่าพี่ใหญ่อยู่หน่อย แต่ประหยัด ๆ ก็อยู่ได้หนึ่งวันไม่มีปัญหา”

    อวี้กุยเปิดกระเป๋าเอกภพออกดู พูดว่า “ข้าไม่ต่างกับมู่ซี กะ ๆ แล้วก็อยู่ได้แค่หนึ่งวัน”

    เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว นางรู้ว่าโอสถของผู้ฝึกมารเดิมก็มีไม่มาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะน้อยขนาดนี้ โพรงถ้ำนี้ พวกเขาเดินมานานขนาดนี้ยังสัมผัสปลายทางไม่ได้ คิดว่าการเสาะหาจนถ้วนทั่วไม่ใช่เรื่องในหนึ่งวันเป็นอันขาด นอกจากนั้น เพื่อจัดการตัวประหลาดนั่น จะต้องเก็บโอสถส่วนหนึ่งไว้จนถึงช่วงเวลาสุดท้าย ไม่สามารถใช้จนหมดเกลี้ยง

    ต่อจากนั้นคือฉิวเฉิงรั่ว “สถานการณ์ของพวกข้าดีหน่อย ข้ามักจะหลอมโอสถในยามปกติ มีโอสถที่สามารถกินเสริมพลังวิญญาณมากมาย คิดว่าข้ากับซือเกอกินไปสามวันห้าวันไม่มีปัญหา”

    ได้ยินอย่างนี้แล้ว สีหน้าของโม่เทียนเกอดีขึ้นมาหน่อย ผู้ฝึกตนก่อเกิดตาน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนก่อเกิดตานที่มีสำนัก มีโอสถมากขนาดนี้จึงนับว่าผ่านเกณฑ์

    เนี่ยอู๋ชางแบมือ เอ่ยว่า “โอสถข้าไม่มาก แต่ว่า ข้ามีสมบัติชิ้นหนึ่ง สามารถเสริมพลังวิญญาณ ก็สามารถอยู่ได้สามวันห้าวัน”

    สุดท้ายเป็นโม่เทียนเกอ นางเอ่ยว่า “บนตัวข้าค่อนข้ามีโอสถ สามวันห้าวันก็ไม่เป็นปัญหา” นางไม่ได้พูดหมดเปลือก เอ่ยต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเรามาตกลงเรื่องอื่น ๆ”

    คนอื่น ๆ ล้วนไม่มีข้อคัดค้าน ตกลงเรื่องสัญลักษณ์รวมทั้งเส้นทางคร่าว ๆ สุดท้ายแยกเป็นสามทาง ผู้ฝึกมารสามคนนั้นย่อมยังอยู่ด้วยกัน ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วหนึ่งทาง โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางหนึ่งทาง ถึงแม้ทุกคนล้วนสาบานแล้ว แต่เรื่องประเภทการแบ่งกลุ่มยังคงต้องการความไว้วางใจกันและกันและมีความรู้ใจกันถึงจะดี

    “สหายเต๋าทั้งหลาย ข้ากับซือเม่ยไปก่อนก้าวหนึ่ง” พูดรายละเอียดจบแล้ว ยงหรูอวี้กุมมือบอกลาไปก่อนใคร ทางที่พวกเขาสองคนเลือกคือด้านซ้าย สมมติว่าพบกับทางแยกมากเกินไปก็จะกลับมาล่วงหน้าแล้วถ่ายทอดเสียงแจ้ง

    จากนั้นเป็นจินสือ “เช่นนั้นพวกข้าก็ไปล่ะ” พูดจบก็ไม่ร่ำไร พาพี่น้องสองคนไปด้านขวา

    สุดท้ายเหลือเพียงสองคน โม่เทียนเกอกับเนี่ยอู๋ชางสบตากัน ถอนหายใจให้กันและกัน สาวเท้าเดินไปเส้นทางตรงกลาง

    เดินไปได้พักหนึ่ง จิตหยั่งรู้สัมผัสร่องรอยของคนอีกสองทางไม่ได้แล้ว เนี่ยอู๋ชางจู่ ๆ ถามว่า “ความคิดนี้ของท่านมิใช่เพียงอยากจะรวบรวมคนทั้งหมดกระมัง”

    โม่เทียนเกอเหล่มองนางแวบหนึ่ง ยิ้มขื่นส่ายหน้า “ยังคงปิดท่านไม่ได้จริง ๆ ด้วย มิผิด ข้อเสนอนี้ อันที่จริงแล้วมีความหมายอีกชั้นหนึ่ง ถ้าหากสามารถรวบรวมคนทั้งหมดมาด้วยกันย่อมจะดี แต่ถ้าทางนี้ไปไม่ได้ ผู้คนกระจัดกระจาย กลับจะเป็นการช่วงชิงเวลาให้กับทุกคน”

    พวกเขาแยกย้ายกระทำการ ตัวประหลาดนั้นได้แต่ไล่ตามไปทีละเป้าหมาย คนอื่น ๆ ค่อนข้างปลอดภัยกว่า หากร่วมมือกันดี ๆ พลังวิญญาณที่เผาผลาญก็น้อย พวกเขาจะสามารถอยู่ไปได้อีกสักพัก วิธีการนี้ไม่สามารถรับประกันแน่นอนว่าทุกคนจะปลอดภัย แต่ว่า ถึงจะมีคนสละชีพ ก็จะสามารถช่วงชิงเวลาให้กับคนอื่น

    “พวกเขารับปากเร็วขนาดนั้น จะต้องไม่รู้ความคิดของท่าน”

    “ข้ารู้” โม่เทียนเกอไม่ได้ปิดบังเลย “แต่ว่า ล้วนเป็นคนแปลกหน้า สละคนจำนวนหนึ่งเพื่อแลกให้ตนเองปลอดภัย พวกเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร ถึงอย่างไรข้อเสนอนี้เป็นสิ่งที่ข้าพูด พวกเขาเพียงยอมรับก็พอ” 

    “แต่หากผู้ที่สละชีพเป็นพวกเขาเอง……”

    “นั่นได้แต่โทษว่าโชคไม่ดี ถึงจะเป็นพวกเราก็เช่นกัน” โม่เทียนเกอน้ำเสียงราบเรียบ มาถึงวันนี้ นางไม่เกิดคลื่นในใจกับเรื่องประเภทนี้แล้ว บนเส้นทางการฝึกเซียน บางเวลาสิ่งที่ต้องใช้เดิมพันก็คือโชค โชคดี เลื่อนระดับไปทีละขั้น โชคไม่ดี ก็ได้แต่กลายเป็นหินรองเท้าให้คนอื่น

    เนี่ยอู๋ชางเงียบไป เรื่องประเภทนี้ นางยังคุ้นชินกว่าโม่เทียนเกออีก ผ่านไปพักหนึ่ง นางถามอีกว่า “แต่ว่า เป้าหมายสุดท้ายของท่านไม่ใช่เรื่องนี้กระมัง”

    โม่เทียนเกอหันศีรษะ แต่มองนางแล้วยิ้ม “นี่ยังต้องถามท่านแล้ว ตัวประหลาดตัวนั้น อันที่จริงท่านรู้จักกระมัง”

………………..

 

ตอนที่ 410 – มารกำเนิด