นที่ 42 เริ่มการบำบัด (วันที่1-4)
“งั้นผมจะเริ่มอธิบายแผนการรักษา…ไม่สิ เรามาคิดไปด้วยกันดีกว่านะครับท่านพี่”
ฟาร์มาได้เข้าไปดึงปาลเล่ที่ล้มลงจากเก้าอี้ ฟาร์มาเคารพพี่เขาในฐานะแพทย์โอสถและไม่ควรให้เขาได้รับการรักษาแต่เพียงฝั่งเดียว
“อ่ะ อื้อ…”
“คุณเซดริกครับ ช่วยนำน้ำชามาให้พวกเราหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”
เซดริกได้นำชาร้อนมาเสิร์ฟให้กับปาลเล่และฟาร์มาในขณะที่ลอตเต้ได้เข้ามาวางช็อกโกแลตเสริมทันที ปาลเล่ได้ดื่มชาเข้าไปจนใจที่สุดก็ใจเย็นขึ้น
“นี่นายคือฟาร์มาจริงๆงั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิครับ”
“งั้นความรู้พวกนี้นายไปเอามาจากไหนกัน? คงไม่ใช่จากเอเลโอนอร์แน่ๆ”
“มันมาจากห้วงความฝันของผม ในตอนที่ผมโดนฟ้าผ่าครั้งนั้นครับ”
ฟาร์มาให้ข้อแก้ตัวที่ดูสมเหตุสมผลออกไป จนปาลเล่ไม่อาจจะซ่อนความตกใจเอาไว้ได้
“นี่มันการค้นพบครั้งใหม่…เทพองค์ใดกันที่ให้ภูมิปัญญานี้กับนายมา?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” ฟาร์มาตอบ
แล้วปาลเล่ก็ยืนขึ้นก่อนจะออกไปนอกร้าน ฟาร์มาที่ลุกขึ้นตามพี่ชายของเขาไปก่อนที่เอเลนจะตะโกนเรียกปาลเล่
“นั่นนายจะไปไหนน่ะ?”
“ฉันก็จะไปให้โดนฟ้าผ่าน่ะสิเฟ้ย!”
“นี่นายบ้าหรือเปล่า เดี๋ยวก็ได้ตายหรอกถ้าไปโดนฟ้าผ่าแบบนั้น!!”
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ ถ้าเป็นเอเลนคงไม่มีวันจะทำแบบนั้นแน่ๆ แต่ท่าทางฝั่งของปาลเล่ดูจะเอาจริง
“โอกาสที่คนเราจะโดนฟ้าผ่าได้นั้นมันไม่ใช่ง่ายๆนะครับ” ฟาร์มาเสริม
สิ่งที่ฟาร์มาพูดถึงกับทำให้ปาลเล่หยุดเดิน
“เอเลโอนอร์ลองคิดดูสิ ความรู้และภูมิปัญญาทางการแพทย์ทั้งหลายที่เราเรียนกันมา..มันคืออะไรกัน? ถ้าหากได้เห็นแบบนี้ใครๆ ก็ต้องบอกว่ามันไร้ความหมาย”
“ไม่ใช่ไม่มีความหมาย หรือไร้ค่าสักหน่อยครับ” ฟาร์มาปฏิเสธคำดังกล่าว
“ที่ผ่านมา ยาต่างๆในอดีตนั้นมันก็ได้ผลใช่หรือเปล่าล่ะครับ?”
“มันก็ใช่นะ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะไม่ได้ผลหรือบางทีมันก็ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย……” เอเลนเสริมให้กับปาลเล่
“ฟาร์มา นายต้องเขียนทุกสิ่งที่นายเห็นในความฝันนั้นเดี๋ยวนี้ คายออกมาแล้วอธิบายให้พวกเราฟังซะ”
“ครับ ที่จริงผมก็กำลังทำแบบนั้นอยู่แหละครับ พวกเอกสารนี่ไงครับ”
ฟาร์มาได้ตัดสินใจที่จะบรรยายความรู้ต่อแพทย์โอสถขั้นหนึ่งทั้งสอง
“งั้นผมจะเริ่มอธิบายต่อเลยนะครับ คือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวถูกจัดไว้สองประเภทตามรูปแบบของความเร็วในการแสดงอาการครับ โดยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic Leukemia) นั้นจะมีอัตราการลุกลามที่ช้า ในขณะที่มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute Leukemia) นั้นจะมีอัตราการลุกลามที่รวดเร็วครับหากไม่รีบทำการรักษา ไม่ได้หมายความว่าหากเราเป็นชนิดเฉียบพลันแล้วหลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนเป็นเรื้อรังนะครับ ชนิดเรื้อรังนั้นจะมีปัญหาในจุดที่ต้นกำเนิดของสเต็มเซลล์เลย ส่วนทางด้านของชนิดฉับพลันนั้นจะเกิดปัญหาตรงระหว่างการเปลี่ยนองค์ประกอบของเลือดจากสเต็มเซลล์ครับ ถ้าอย่างงั้นแล้วโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ท่านพี่เป็นอยู่นั้นคิดว่าเป็นประเภทไหนกันครับ?”
ฟาร์มานั้นต้องการจะให้ความรู้เหล่านี้ฝังลงไปยังความทรงจำของทั้งสองจึงได้ใช้การอธิบายเช่นนี้ ปาลเล่ที่เป็นนักเรียนชั้นเยี่ยมจึงสามารถซึมซับในสิ่งที่ฟาร์มาพูดได้เป็นอย่างดี
“ชนิดเฉียบพลัน” ปาลเล่ตอบ
“เอ๋ ไม่ใช่ชนิดเรื้อรังงั้นเหรอ?” เอเลนตอบไปอีกทาง
“ชนิดเฉียบพลันเป็นคำตอบที่ถูกนะครับ งั้นต่อไปนะครับ มีสองทางเลือกในการที่จะสู้กับเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พวกคุณคิดว่าคืออะไรครับ?” ฟาร์มาถาม
แล้วเขาก็นำภาพประกอบภายในเอกสารออกมาให้ดูว่า เซลล์เม็ดเลือดและส่วนประกอบอื่นเจริญเติบโตอย่างไรจากสเต็มเซลล์ต้นกำเนิด
“ทำการฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว”
ปาลเล่เหมือนจะตอบกลับมาในไม่ช้า
“ถูกต้องครับ งั้นอีกอันหนึ่งล่ะครับ เอเลนคุณคิดว่าไงบ้าง”
“ขอยอมแพ้ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน?”
เอเลนยกธงขาวอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนทั้งสองกำลังรอคำตอบจากตัวฟาร์มาอย่างใจจดใจจ่อ
“ทำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้กลายเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติครับ”
“ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
ปาลเล่แสดงความตื่นเต้นออกมา ก่อนจะเอนตัวเล็กน้อย
“เป็นไปได้ด้วยงั้นเหรอที่มันจะกลับมากลายเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติ ไม่ใช่ว่ามันคือเซลล์ที่ผิดปกติงั้นเหรอ?” เอเลนแสดงความสงสัยกับคำพูดของฟาร์มา
“เซลล์ที่อยู่ในสภาวะที่ไม่อาจกลายเป็นเม็ดเลือดขาวได้นั้นคือว่าผิดปกติก็จริงครับ แต่หากมันกลายเป็นเม็ดเลือดขาวแล้ว เราก็สามารถพูดได้ว่ามันกลับมาเป็นปกติครับ”
เมื่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้งหมดถูกแปลงให้กลายเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว มันจะสามารถกำจัดอาการของมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ในที่สุด ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้ยาตัวหนึ่งที่ส่งผลให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (leukemic) นั้นกลับกลายเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว (leukocytes) ซึ่งมันถูกเรียกว่า All-Trans Retinoic Acid (ATRA) .
NOTE : ATRA นั้นจะส่งผลทำให้APLนั้นกลายเป็นเซลล์ที่ทำงานได้ตามปกติ (นิวโทรฟิล) ซึ่งมันจะช่วยลดจำนวนของมะเร็งเม็ดเลือดขาวในไขกระดูก ซึ่งตัวยาดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นคีย์สำคัญในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (APL) ในระยะเริ่มแรกดั่งที่ปาลเล่เป็นอยู่
“อย่างงั้นเหรอ?!”
“เดี๋ยวก่อนนะ แบบนั้นจะไม่แย่เอาเหรอ หากปริมาณของเม็ดเลือดขาวภายในร่างกายเพิ่มขึ้นแบบนี้ จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายเหรอ?” ปาลเล่ตั้งคำถามได้ตรงจุด
“เซลล์เม็ดเลือดที่เกิดขึ้นมานั้นมันไม่ได้อยู่ภายในเลือดตลอดเวลาหรอกนะครับ เซลล์เม็ดเลือดพวกนั้นมันมีอายุขัยของตัวมันเองอยู่ครับ แล้วพวกเซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นไม่กี่วันมันก็ตายแล้วครับ โดยม้ามซึ่งเป็นจุดทำลายเซลล์ดังกล่าว แต่ถ้ายังไม่ได้ผลพอ กรดเรติโนอิคก็จะถูกหลั่งออกมาอีกทีครับ”
ATRA นั้นเป็นยาที่มีไว้สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันโดยเฉพาะ (APL) ซึ่งมันก็มีผลข้างเคียงอยู่
เม็ดเลือดขาวซึ่งถูกเปลี่ยนโดยผลจากATRAนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเหมือนตามที่ปาลเล่อธิบาย ซึ่งการเพิ่มปริมาณดังกล่าวนั้นอาจจะไปทำลายหลอดเลือดหรือเกิดสภาวะหัวใจล้มเหลวได้ แต่นั่นมันก็เป็นเคสที่หาได้ยากยิ่งและส่งผลถึงชีวิตเลยด้วย
“อย่างงั้นเหรอ…”
แน่นอนว่าผลข้างเคียงย่อมมาคู่กับตัวยาเสมอ ถ้ามัวแต่กลัวก็คงจะรักษากันไม่หายพอดี
“เพราะแบบนี้ขั้นแรก ก็ดื่มATRA เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนสภาพของเซลล์ของเม็ดเลือดขาวเถอะครับ (ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์) ”
NOTE : การเปลี่ยนสภาพของเซลล์ คือกระบวนการเปลี่ยนจากเซลล์หนึ่งไปเป็นอีกเซลล์หนึ่ง ในกรณีนี้ ATRA จะส่งผลให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดขาวปกติ
ฟาร์มายื่นมือขวาของเขาออกมาตรงหน้าของทั้งสอง
“นอกจากนี้ มีสารต้านมะเร็งที่สามารถรับได้โดยการฉีดผ่านเข็มเพื่อให้มันเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งครับ” ฟาร์มาได้ยกมือซ้ายตามขึ้นมาอีกที
กรณีวินิจฉัยทางการแพทย์ของปาลเล่นั้นได้ข้อสรุปแล้วว่า ATRA นั้นเหมาะสำหรับการใช้รักษาอาการ แต่อย่างไรก็ตามฟาร์มาก็ต้องพยายามลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของตัวยาให้ได้มากที่สุด โดยใช้ATRAร่วมกับสารต้านมะเร็ง
“ซึ่งในจุดนี้เราจะทำการกำจัดเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ทั่วด้วยยาสองชนิดครับ”
แล้วเขาก็นำแขนทั้งสองมาไขว้กัน
“นี่ก็เป็นรายละเอียดการรักษาขั้นต้นนะครับ ส่วนเรื่องของตารางการจ่ายยาแบบละเอียดผมจะบอกในภายหลัง”
ฟาร์มาคิดว่าปาลเล่นั้นฉลาดพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแบบคร่าวๆนี้
“ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่า?” เอเลนพูดถึงข้อสรุป
“โรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ให้หายขาดครับ” ฟาร์มาตอบ
เอเลนโล่งอกส่วนปาลเล่ก็ดูจะมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย ทางด้านลอตเต้กับเซดริกนั้นก็ได้หันหน้ามาหัวเราะให้กัน
“โดยวิธีการดังกล่าวเราเรียกมันว่าเคมีบำบัดครับ”
ฟาร์มามอบยาและน้ำ ให้กับปาลเล่ ซึ่งมันก็คือATRAชนิดแคปซูล
“ให้ทานมันหลังอาหารทุกมื้อนะครับ นี่ครับสำหรับมื้อกลางวัน”
“ให้ทานมันตอนนี้เลยสินะ? ย่อมได้…”
ปาลเล่ทานยาที่ฟาร์มามอบให้ ซึ่งตัวฟาร์มาก็แอบกังวลเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารของปาลเล่อยู่บ้าง
“ครับ งั้นตอนนี้การรักษาก็ได้เริ่มขึ้นแล้วนะครับ รีบกลับบ้านกันดีกว่าครับ ท่านพี่ ลอตเต้ วันนี้ผมอยากจะพักนั่งรถม้าเล่นด้วยสิ”
ฟาร์มาคิดอยู่เสมอว่าอาการเลือดออกในสมองนั้นอาจจะเกิดขึ้นได้หากพี่เขาขี่ม้า
“ส่วนอาการเลือดออกของท่านพี่ควรจะพักสักสองสามวัน หลังทานATRAไปนะครับ แต่พอมันทำงานแล้วยังไงท่านพี่ก็คงจะหลับไปเองแหละครับ”
“ATRA อย่างเดียวงั้นเหรอไม่ใช่ว่านายบอกมียาสองตัวไม่ใช่เหรอ?” ปาลเล่ถามฟาร์มาเผื่อว่าเขาเกิดลืมขึ้นมา
“อิดารูบิซีน (idarubicin) จะฉีดให้หลังจากกลับไปที่บ้านครับ”
Note : อิดารูบิซีนเป็นยาต้านมะเร็ง (รูปแบบเคมีบำบัด) ที่ขัดขวางการเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งในร่างกาย ซึ่งใช้สำหรับโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งเต้านม
ฟาร์มาอธิบายเพิ่มว่าพิลลูจควรจะพักผ่อนและอิดารูบิซีนจะถูกฉีดให้ยังห้องที่สะอาดแทนที่จะเป็นในพื้นที่คนหนาแน่นเช่นนี้ ระหว่างทางกลับบ้านฟาร์มาก็ได้โยนคำถามให้กับพิลลูจ ซึ่งเอนเอียงไปมาในรถม้าในสภาพอ่อนล้า
“พี่ชายตอนนี้มีคนที่คบด้วยอยู่หรือเปล่าครับ?”
“อยู่ดีๆทำไมนายถามแบบนั้นล่ะ?”
“มันเป็นข้อมูลที่สำคัญมากเลยนะครับ”
“เราพึ่งจะเลิกกันเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ แฟนสาวคนที่ 25 ของฉัน เธอเป็นผู้หญิงที่ดีนะ แต่เข้าผิดใจกันหนักเกินไปหน่อยน่ะ แต่อย่างน้อยฉันก็ป้องกันนะ”
’ไม่เห็นจะเคยได้ยินแบบนี้จากพี่มาก่อนเลย’ ฟาร์มาคิด
ดูเหมือนปาลเล่จะไม่ได้มีปัญหากับการใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มที่ อาจจะเป็นไปได้ว่าที่พวกเขาเลิกกันเป็นเพราะปัญหานกเขาไม่ขันของปาลเล่ก็ได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าโล่งใจสำหรับฟาร์มาที่แฟนสาวคนนั้นไม่ตามเขามาจากโนวารูตถึงเมืองหลวงนี้ พอลอตเต้ได้ยินเรื่องพวกนี้เข้าก็ถึงกับหน้าแดงและทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่
“ระหว่างทานATRAนี้ก็อย่าไปจิ้มใครเข้านะครับ เพราะหากเธอตั้งครรภ์ขณะทางยาดังกล่าวลูกที่เกิดออกมาอาจจะกลายพันธุ์เอาได้”
ATRA นั้นมีผลข้างเคียงที่สามารถทำให้ทารกเกิดมาพิการได้ ไม่ใช่เพียงแค่จากตัวผู้หญิงที่ทาน แต่จากพ่อของเด็กที่ทานด้วย
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกตอนนี้ฉันก็ใช่จะกลับไปที่นั่นสักหน่อย”
“เวลาที่ผมบอกมันคือสองปีนะครับ”
เขาถูกบังคับให้เลิกเรื่องทั้งหมดเป็นเวลาถึงสองปี และคงจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าไม่ได้อีกแล้ว
… ━ … ━ … ━ …
“ว่าไงนะ! ปาลเล่เป็นโรคร้ายแรงขนาดนี้เลยงั้นหรือ..”
บรูโนได้ฟังรายงานจากฟาร์มาหลังเขากลับมาจากวิทยาลัยยา ขั้นตอนรายละเอียดการรักษานั้นได้ถูกอธิบายให้กับบรูโน ทั้งเรื่องมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไหนอย่างไร เม็ดเลือดขาวคืออะไร บรูโนที่มีความเข้าใจในพื้นฐานอยู่ก่อนแล้วจึงได้ใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจสั้นกว่าปาลเล่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นตัวเขาก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจอยู่ดีเพราะสภาพของปาลเล่ในตอนนี้คือมีโอกาสถึงขั้นเสียชีวิต
“หากเกิดอาการเลือดออกขึ้นมาอีก บางที่ท่านพี่อาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นวันพรุ่งนี้ มันเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหวมากในตอนนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ATRAในการรักษาครับ” ฟาร์มากล่าวเสริม
“อืม..พ่อก็พอเข้าใจนะเพราะโรคเกี่ยวกับเลือดพ่อก็เคยเป็นแต่…ทั้งที่ปาลเล่ดูท่าสบายดีขนาดนั้นแท้ๆ”
“ครับ ที่เหลือก็ให้ผมจัดการได้เลย”
“ได้สิ พอไว้ใจเจ้าให้เป็นผู้รักษาปาลเล่นะ”
ในฐานะคนเป็นพ่อและแพทย์โอสถผู้ปรารถนาจะดูแลการรักษาลูกชายที่รักนี้ด้วยตนเอง แต่เขาก็คิดว่าฝากปาลเล่ไว้กับฟาร์มาจะเป็นการดีกว่า เพราะนั้นอาจจะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของปาลเล่ด้วยก็ได้
“แล้วมีอะไรที่พ่อพอช่วยได้บ้างหรือเปล่า ให้ไปเตรียมอะไรให้ไหม หรือถ้าจะยืมมือพ่อบ้างก็ไม่มีปัญหานะพ่อพร้อมเสมอ”
“นั่นสินะครับ ถ้าเช่นนั้นได้โปรดอนุญาตให้ผมได้เก็บตัวอย่างเลือดของข้ารับใช้ภายในบ้านที่อยู่ในกรุ๊ปเดียวกันกับท่านพี่ด้วยนะครับ เลือดพวกนั้นสามารถใช้ในการถ่ายทดแทนเกล็ดเลือดที่ขาดหายไปและปัจจัยต่างๆที่เกิดจากการแข็งตัวของเลือดด้วย ถึงอาจจะไม่ได้ใช้แต่มีไว้ก็ไม่เสียหายครับ”
‘เพราะถ้าเราเอาเลือดของตัวเองมาใช้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนี่สิ…’ ฟาร์มาคิด
มันเป็นปัญหาร้ายแรงที่ถึงขั้นเขาอาจจะตายเพราะอาการช็อก เนื่องจากเลือดของบรูโนไม่ใช่สามารถใช้กับตัวของปาลเล่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าเลือดของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดจะสามารถช่วยได้
“แต่การถ่ายเลือดดังกล่าวต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายด้วยนะครับ”
“แล้วก็หากเคมีบำบัดนั้นไม่ได้ผล หรืออาการกำเริบ เราคงต้องเปลี่ยนวิธีไปเป็นการปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ แถมเซลล์เม็ดเลือดของท่านพ่อกับท่านพี่นั้นก็หายากเรียกได้ว่าโอกาสพบเพียง 1% นอกจากนั้นก็คงจะเป็นบลานช์ครับ ดังนั้นหากเกิดในกรณีนี้ขึ้นคงต้องขอความร่วมมือจากท่านพ่อแล้วก็บลานช์จะได้หรือเปล่าครับ?”
Note: อันที่ไว้กันช็อกนี่คือเม็ดเลือดแดงนะครับ ส่วนที่จะปลูกถ่ายกันนั้นคือเม็ดเลือดขาว
ความน่าจะเป็นที่เซลล์เม็ดเลือดขาวของพ่อและแม่นั้นจะใกล้เคียวกับลูกเป็นไปได้น้อยมาก แต่ด้วยสังคมชนชั้นสูงเช่นนี้การแต่งงานกับสายเลือดใกล้เคียงกันไม่ใช่เรื่องแปลก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่พ่อกับลูกชายจะมีลักษณะคล้ายกัน ฟาร์มาจึงเอาจุดนี้มาพิจารณาด้วย แต่บลานช์ที่ยังเป็นแค่เด็กคงจะรับภาระในการถ่ายเลือดไม่ไหว ฟาร์มาคงต้องพยายามหลีกเลี่ยงและหาผู้บริจาคอื่นแทนหากเป็นไปได้
“ได้เสมอ สำหรับความก้าวหน้าของยาและการรักษาผู้ป่วยแล้วแค่ชีวิตพ่อก็ไม่ลังเลที่จะยอมเสียสละเพื่อพวกเขา”
บรูโนรับปากด้วยความมั่นใจ ฟาร์มาที่ได้รับการสั่งสอนมาจากบรูโนเข้าใจได้ในทันที เพราะตัวเขานั้นก็ได้จิตวิญญาณในการรักษาผู้ป่วย มาจากบรูโนเช่นกัน
“แล้วการฟื้นตัวกับโอกาสในการรักษาอยู่ที่เท่าไหร่หรือ??”
หรือจะบอกว่า” โอกาสที่จะรักษาสำเร็จโดยสมบูรณ์นั้นมีเท่าไหร่กัน?”
บรูโนคาดว่าจะได้ยินโอกาสสำเร็จที่ต่ำมาก แต่ฟาร์มาก็ไม่คิดจะปิดบังและบอกข้อมูลไป
“หากไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกและการรักษาดำเนินการไปถามแผนที่ผมวางไว้โอกาสสำเร็จก็อยู่ราวๆ 80-90%ครับ แต่ถึงจะบอกว่าการรักษาเสร็จสิ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายดีเป็นปกตินะครับ เพราะมะเร็งเม็ดเลือดขาวนั้นจะมีปริมาณที่ค่อยๆ ลดลงไปจนท้ายที่สุดก็หายไปเองจึงจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติครับ”
“90%? ไม่ใช่ว่ามันสูงไปหน่อยหรือเปล่า?!”
“ถูกต้องตามนั้นครับ ATRA เป็นยารักษาระดับโมเลกุล ซึ่งต่างจากยาต้านมะเร็ง โดยมันมีหน้าที่ในการกำจัดเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวเพียงเท่านั้น โดยไม่ไปทำลายเซลล์ปกติอื่นๆ แต่ถึงแม้ว่าจะรักษาเสร็จแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหายขาดนะครับ เพราะมีโอกาสที่เราจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเหมือนกัน”
“หนักหนาเหมือนกันนะ…”
“ครับก็เป็นเช่นนั้น เพราะหากมีอาการเลือดออกในสมองหรืออวัยวะสำคัญระหว่างที่ใช้ยา ผมก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วครับ”
เราไม่อาจจะพูดได้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เราต้องการ…เพราะแบบนั้นคงไม่เรียกว่าการรักษาหรอก
ฟาร์มานั้นไม่ใช่แพทย์และไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำคลินิกหรืองานศัลยกรรม งานที่เขาทำก่อนหน้านี้ก็เป็นเชิงนักเคมี มากกว่าเภสัชกรเสียอีกซึ่งมีความสามารถในการค้นพบยารักษา มากกว่าจะทำการรักษา นั่นเลยเป็นสาเหตุที่อาจจะมีโรคอะไรที่เขาไม่รู้และจำเป็นต้องตรวจก่อน
โรคมะเร็งนั้นไม่ได้ง่ายเลย ถึงแม้ว่าเราจะมีตัวยาที่ใหม่แต่มันก็อาจจะไม่ได้ผลตามที่ต้องการก็ได้
‘เราคงต้องระมัดระวังและอุทิศร่างกาย จิตวิญญาณให้กับการรักษาพี่ชายของเรา’ ฟาร์มาคิด
“แล้วก็ความร่วมมือจากทางบ้านถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากครับเพราะในการดูแลผู้ป่วยนั้นเราต้องมั่นใจได้ว่าพี่ชายจะไม่ภูมิคุ้มกันตกและติดเชื้อได้”
“นั่นสินะ ตอนนี้ก็มุ่งเป้าไปที่รักษาอาการของปาลเล่ให้หายขาดก็แล้วกัน” บรูโนพูด
เมื่อฟาร์มาออกจากห้อง แล้วกลับไปยังห้องของเขา ปาลเล่ก็ออกมาจากห้องของตัวเองโดยมีสายตาของคนรับใช้จับจ้อง
‘ท่านพี่จะออกไปไหนเหรอครับ?’ ฟาร์มาถาม
ฟาร์มาเป็นกังวลเกี่ยวกับปาลเล่จึงได้ตัดสินใจตามเขาไป เพราะคงจะรู้สึกอายด้วยที่เหล่าข้ารับใช้ต่างจ้องมอง จากนั้นปาลเล่ก็เดินไปยังโบสถ์ที่อยู่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ โดยมีรูปปั้นของเทพโอสถตั้งอยู่ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับสถานการณ์ที่ไม่สามารถออกไปโบสถ์ภายในเมืองได้ ดังนั้นเขาจึงสร้างมันขึ้นมาสำหรับสักการะเทพโอสถภายในบ้าน
‘พี่นี่เป็นคนเคร่งศาสนาจริงๆเลยนะ’ ฟาร์มาคิดขณะที่ปาลเล่เดินเข้าไปในโบสถ์
ฟาร์มาที่ตามปาลเล่เข้าไป ก็พบว่าปาลเล่ได้คุกเข่าอยู่ต่อหน้ารูปปั้นเทพโอสถ ฟาร์มาเดินผ่านปาลเล่ที่หลับตาและภาวนาอยู่ ก่อนจะเดินผ่านไปยังด้านหลังของรูปปั้นเทพโอสถ แล้วเขาก็ได้ยินคำภาวนา
“ท่านเทพโอสถ ทำไม… ทำไมท่านถึงมอบประสบการณ์เช่นนี้ให้กับผมกัน หรือเพราะความศรัทธาของตัวผมมันยังมีไม่มากพอ ร่างกายถึงได้เป็นเช่นนี้ เพียงแค่หายใจยังทำได้ยากเลย ก็เพียงได้แต่หวังว่ายาของน้องชายจะได้ผล จึงทำได้เพียงว่าภาวนากับท่านเพียงเท่านั้นนั่นคือสิ่งที่ผมคิดได้อย่างเดียวในตอนนี้..…”
เมื่อฟาร์มาได้ยินคำพูดของปาลเล่ เขาก็เข้าใจดีว่าปาลเล่นั้นทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าครอบครัวแต่จริงๆเขาป่วยหนักและทรมานจากมันมาก การรักษาโรคคงจะแย่มากยิ่งขึ้นหากกำลังใจของผู้ป่วยถดถอยไป ฟาร์มาสงสัยว่าปาลเล่จะได้รับกำลังใจได้จากทางไหนดี
‘คงจะไม่ใช่จากเราในฐานะน้องชาย….แต่ควรจะเป็นจากเทพโอสถสินะ.’
ฟาร์มาแตะที่รูปปั้นเทพโอสถจากด้านหลัง และทันทีที่มือเขาสัมผัสรูปปั้นสีซีดนั้นก็ได้ตอบสนอง เนื่องจากรูปปั้นนี้มีลักษณะเดียวกันกับของที่โบสถ์ในเมืองซึ่งมันตอบสนองต่อพลังของฟาร์มา
ปาลเล่รู้สึกงุนงงเพราะรูปปั้นเทพโอสถนั้นอยู่ดีๆก็เรืองแสงออกมา
“อะไรกัน?!”
ฟาร์มาที่เฝ้าดูปาลเล่จากด้านหลังรูปปั้น เขาได้สร้างซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ที่มีออกซิเจน 20%ให้ตัวเองสูดดมอย่างช้าๆ ก่อนจะพูดกับปาลเล่ด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย
“ปาลเล่ เจ้าได้ยินเราหรือเปล่า?”
เสียงอันไพเราะและทุ้มต่ำ ดังออกมาจากรูปปั้นในโบสถ์ที่ว่างเปล่าจนปาลเล่รู้สึกประหลาดใจก่อนจะมองไปยังรูปปั้น
“ระ… หรือว่า… ท่านเทพโอสถ?!”
“เรานั้นเฝ้าดูเจ้าอยู่เสมอ”
ปาลเล่ก้มหัวลงกับพื้น เห็นได้ชัดว่าฟาร์มาที่สูดดมเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์ จนทำให้พูดออกมาในเสียงที่ต่ำ ตรงข้ามกับก๊าซฮีเลียม
“ผมไม่ทราบว่านั่นมันคือความผิดพลาดของท่านหรือไม่ แต่ท่านเทพโอสถเพราะเหตุใดกันท่านถึงได้มอบความรู้ให้กับน้องชายของผมแทนที่จะเป็นตัวผมล่ะ?”
‘ผมก็อยากจะได้ภูมิปัญญานั้นเช่นเดียวกับน้องชายของผม’ ปาลเล่ได้กลืนคำพูดนั้นลงไป
“สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญนั้นจะถูกรักษา แล้วเจ้าจะก้าวข้ามโรคภัยนี้ และรอดชีวิตก่อนจะกลายมาเป็นแพทย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่…”
ก่อนที่ฟาร์มาจะจบบทพูดของเขา ปาลเล่ก็หมดสติไปเสียก่อนที่เขาจะได้ลุกขึ้นยืน ฟาร์มาได้ออกมาจากหลังรูปปั้นและเข้าไปช่วยปาลเล่
“ความดันโลหิตต่ำลงขณะเปลี่ยนท่า!?”
ฟาร์มาได้พาปาลเล่กลับไป จนถึงช่วงเช้าในที่สุดปาลเล่ก็ตื่นขึ้นมาก่อนจะลุกจากเตียงแล้วยืนนิ่ง
“ฝันงั้นเหรอ?”
ปาลเล่ถึงกับไหล่ตก
“หืมมม?”
ดูเหมือนจะไม่ใช่ฝันเพราะเมื่อเขามองไปยังรอยช้ำที่หัวเข่าอันเนื่องมาจากการคุกเข่าในโบสถ์
“ท่านเทพโอสถได้มาเข้าฝันเรางั้นเหรอ…”
ปาลเล่รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
“อืม โย้ช!”
ปาลเล่ได้นึกถึงภูมิปัญญานั้น ก่อนจะได้ปะติดปะต่อเกี่ยวกับคำพูดของเทพโอสถที่ว่า “สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญนั้นจะถูกรักษา”
อันที่จริงเขาไม่อาจจะเก็บตัวอย่างเลือดจากแขนได้ด้วยตัวเอง แถมผู้ป่วยโรคดังกล่าวไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวคนเดียว ปาลเล่จึงตีความไปว่าเทพโอสถนั้นได้มอบงานให้กับฟาร์มาเพื่อมาช่วยรักษาตัวเขาแทน
“เพื่อจะช่วยชีวิตเรา ท่านเทพโอสถจึงได้บอกกับฟาร์มาเช่นนั้นสินะ? ถ้าแบบนั้นทุกอย่างก็ลงตัว…”
หลังจากได้รับการคุ้มครองและกำลังใจจากเทพโอสถ ปาลเล่ก็ได้ทบทวนข้อสงสัยต่างๆก่อนมันจะกระจ่างขึ้นทั้งหมด
“วันนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ?”
ในวันที่สองขณะทำการรักษา ฟาร์มาก็ได้เตรียมยาและเข็มฉีดมาให้ปาลเล่
“ไม่ได้รู้สึกไม่ดีแล้ว แถมฉันยังรู้สึกอีกว่าจะต้องดีขึ้นในเร็ววันนี้แน่”
“ผมเห็นผลการตรวจเลือดตอนเช้านี้แล้วนะครับ ดูเหมือนเซลล์มะเร็งจะเริ่มลดลงแล้ว ถือว่าATRAแสดงผลได้อย่างเหมาะสมเลยนะครับ” ฟาร์มาพูดเสริมปาลเล่
“ท่านพี่ใหญ่เป็นยังไงบ้างคะ ท่านพี่ใหญ่จะสามารถกลับมาฝึกศาสตร์แห่งเทพได้ในเร็วๆนี้หรือเปล่าคะ?”
บลานช์ยังคงสวมหมวก ผ้าปิดปากและผ้ากันเปื้อนอยู่ โดยทำการฆ่าเชื้อที่มือก่อนจะเข้ามายังห้องปลอดเชื้อนี้แล้วพร้อมกันกับฟาร์มา
“น่าเสียดายนะ แต่พี่คงจะบอกไม่ได้เหมือนกัน” ปาลเล่พยามจะพูดออกมาเต็มพลัง แต่เสียงเหมือนจะไม่เป็นใจ
“ต่อจากนี้ไปเราจะเริ่มใช้ยาต้านมะเร็งอิดารูบิซีนกันนะครับ เพราะเราจำเป็นจะต้องทำลายพวกเซลล์มะเร็งที่ดื้อต่อ ATRA แต่มันไม่เหมือนกับATRAที่รักษาในระดับโมเลกุล แต่มันจะไปทำลายทั้งเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวกับเซลล์ปกติด้วย”
“ฆ่าเซลล์ปกติ…หมายความว่ายังไงกัน?!”
“มันอาจจะมีผลข้างเคียงนะครับ เตรียมใจไว้ด้วย”
หลังจากทำการใช้ยา ผลข้างเคียงที่ว่าก็อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียน เยื่อบุในช่องปากอักเสบ การกดการทำงานของไขกระดูก ผมร่วง และอื่นๆ ซึ่งมันก็ใช่ว่าจะเป็นเอาซะทั้งหมด มันก็ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนไปด้วย ฟาร์มาบอกกับเขาว่าบางคนอาจจะไม่เป็นอะไรส่วนบางคนอาจจะอาการหนัก ซึ่งมันก็คือความเสี่ยง ปาลเล่ก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ยาแรงเอาเรื่องเลยนะ…แต่มันจะได้ผลสินะ ไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้จะมียาแบบนี้ด้วย” แม้ปาลเล่จะยอมรับการรักษามันแต่ก็อดรู้สึกกดดันไม่ได้
“ถ้าอย่างงั้นก็ใจเย็นแล้วพักผ่อนขณะให้ยาออกฤทธิ์นะครับ แล้ววันนี้ก็อย่าออกจากคฤหาสน์ไปไหนนะครับ”
“นี่ต้องถูกขังแบบนี้นานขนาดไหนกัน?”
“ก็ไม่นานหรอกครับ แต่เมื่อท่านพี่ใช้ยาตัวนี้ มันจะไปยับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดเลือดขาว ในอีกความหมายหนึ่งก็คือร่างกายของท่านพี่จะอ่อนแอและมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงมากจากการที่เม็ดเลือดขาวลดลงครับ แต่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ผมได้ทำความสะอาดหมดแล้วจึงวางใจได้”
“ทั้งคฤหาสน์เนี่ยนะ? ได้ไงกัน?”
ขณะที่ปาลเล่กำลังหลับนั้นฟาร์มาก็ได้สร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาจากคทาแห่งเทพโอสถ ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสภายในอากาศ ทำให้บ้านเดอ เมดิซิส กลายเป็นห้องปลอดเชื้อขนาดใหญ่ไปแล้ว
“นายจัดการกับพวกเชื้อโรคและแบคทีเรียทั้งหมดได้ยังไงกัน?”
“นั่นก็..เอ่อ…คือ..” ฟาร์มาไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
“ยังไงก็เถอะครับ เอาเป็นว่าที่นี่มันปลอดภัยก็แล้วกัน หรือหากท่านพี่อยากจะออกไปข้างนอกก็ขอให้เรียกผมด้วยนะครับ”
‘เพราะบริเวณรอบๆตัวผมมันมีเขตแดนกางไว้สำหรับฆ่าแบคทีเรียและไวรัสในอากาศอยู่แล้ว’ ฟาร์มาพูดอย่างแผ่วเบา
ฟาร์มานั้นสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาเหมือนกับห้องปลอดเชื้อเดินได้ดีๆนี่เอง
“ทำไมต้องกับนายด้วยล่ะ?”
“อ่ะคือ ก็ผมจำเป็นต้องไปกับท่านพี่เผื่อมีกรณีฉุกเฉินไงครับ”
“ถ้างั้นก็ฝากด้วยละกัน…” ปาลเล่ตอบออกมาแบบเหนื่อยๆ
“นี่ท่านพี่ใหญ่จะไม่ยอมให้หนูช่วยเหมือนกับที่ท่านพี่ฟาร์มาทำงั้นเหรอคะ?” บลานช์เข้ามาบีบแก้มของเขา
“ฮ่ะๆ งั้นก็ขอฝากน้องด้วยละกัน” ปาลเล่ลูบหัวของบลานช์ ดูเหมือนเธอจะทำเรื่องใหญ่เอาซะแล้วสิ
“ยังไงก็ตาม ไม่ต้องกังวลนะครับ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว แล้วเกิดวันไหนผมป่วยขึ้นมาก็ขอฝากท่านพี่ด้วยนะครับ”
“โอ้ว ได้สิ แต่ถึงจะบอกแบบนั้น ฉันก็คงจะทำอะไรไม่ไหวในฐานะแพทย์โอสถช่วงปีสองปีนี้หรอกนะ…”
“ท่านพี่เป็นคนฉลาดอยู่แล้วครับ ดังนั้นคงปรับตัวเข้ากับสังคมนี้ได้ไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าพอทานยาต่อเนื่องจะออกไปข้างนอกไม่ได้หรอกนะครับไม่ต้องเป็นห่วง”
“ฟาร์มา พี่จะพักสักหน่อยนะหลังทางรับยานี่แล้ว”
“ครับงั้น เดี๋ยวเอเลนจะมาดูแลแทน ถ้าอย่างงั้นอยากทำอะไรระหว่างนั้นดีครับ??”
ฟาร์มานั้นยังมีงานที่ร้านขายยาดังนั้นเขาจึงได้ขอสับเปลี่ยนกับเอเลนเข้ามาดูแลปาลเล่ในวันนี้แทน
“งั้นให้พี่อ่านหนังสือแพทย์ที่นายเขียนฆ่าเวลาไปแล้วกัน”
“ได้เลยครับ ไว้เดี๋ยวผมจะเขียนมาให้อ่านเพิ่มด้วยนะครับ”
หากกำลังใจของปาลเล่จะมาจากการเรียนแล้ว ฟาร์มาก็ยินดีจะเขียนเอกสารบทความต่างๆให้
“แต่จะว่าไปพอเป็นโรคนี้แล้วมันก็มีข้อดีอยู่นะ เพราะตอนนี้ฉันได้เข้าใจแล้วว่าความเจ็บปวดของผู้ป่วยที่เผชิญกับโรคร้ายนี้เป็นเช่นไรเมื่อเขาไม่เคยเป็นกันมาก่อนเลย”
ฟาร์มาถึงกับตะลึงในวิธีคิดของปาลเล่ เรียกได้ว่ากำลังใจด้านบวกของเขาเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
“เพราะแพทย์โอสถจะมาเป็นผู้ป่วยซะเองก็ไม่ได้นี่เนอะ” ปาลเล่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ซึ่งฟาร์มาคิดว่ามันมีประกายมาก
“ทุกสิ่งจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมันครับ”
“งั้นเราก็มาพยายามไปด้วยกันเถอะน้องพี่”
ฟาร์มากับบรูโนได้ผลัดเข้าไปเฝ้าไข้ปาลเล่เผื่อการรับมือในเหตุคับขัน และก็ผ่านไปแล้วสี่วันกับการใช้เคมีบำบัดด้วย ATRA และ อิดารูบิซีน ในช่วงกลางดึก ฟาร์มาตื่นขึ้นมาด้วยลางสังหรณ์ใจที่ไม่ค่อยดี เมื่อเขาไปยังห้องของปาลเล่ก็มีบางอย่างผิดปกติกับตัวปาลเล่ เขาหายใจผิดปกติ และดูทรมาน
“ท่านพี่!”
ฟาร์มาถึงกับตื่นตระหนกและไม่ช้าเขาก็ใช้ดวงตาวินิจฉัย แสงสว่างส่องออกมาจากปอดทั้งสองข้างของเขา
(แบบนี้นี่เอง…!)
ผลข้างเคียงจาก ATRA นั้นแสดงผลแล้ว ในขณะที่จำนวนของเม็ดเลือดขาวเข้ามาแทนที่เซลล์มะเร็งมากยิ่งขึ้นมันก็ได้เข้าไปทำลายหลอดเลือดภายในปอดของเขา ซึ่งนำพามาสู่อาการเลือดออกในปอด
อาการเลือดออกในปอดอาจทำให้หายใจลำบากและถึงขึ้นเสียชีวิต แล้วฟาร์มาก็ได้วางมือเหนือปากของปาลเล่
“สังเคราะห์ออกซิเจน”
ออกซิเจนถูกส่งไปยังปอดของปาลเล่เพื่อช่วยในการหายใจ ในเวลาเดียวกันสเตียรอยด์จำนวนมากที่ถูกเตรียมไว้สำหรับผลข้างเคียงนี้ก็ได้ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อยับยั้งอาการอักเสบของเซลล์เม็ดเลือดขาว
ฟาร์มารู้สึกกลัวขึ้นมาขณะกำลังช่วยชีวิตปาลเล่
‘ถ้าเราหยุดเลือดที่ไหลนี่ไม่ได้….ท่านพี่ต้องตายแน่ๆ’
‘เราจะเสียสมาชิกคนสำคัญของครอบครัวไป….’
สีของปอดปาลเล่นั้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วง ซึ่งมันบ่งบอกถึงอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย ก่อนที่มันจะค่อยๆกลายเป็นสีแดง ต้องทำการเรียกบรูโนโดยการสั่งกระดิ่งที่ข้างเตียง เพื่อขอความช่วยเหลือ
“อย่าเปลี่ยนเป็นสีแดงนะ!!! ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปสิ…!”
ฟาร์มาตะโกนใส่ปาลเล่ ราวกับว่าเขาได้ยินเสียงประทุของชีวิตปาลเล่กำลังสั่นไหว
——–
Note 1 : อ่าวค้าง….
Note 2 : ขอขอบคุณเหล่าผู้ช่วยหารค่าไฟนะครับ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913