ตอนที่ 155 เยียนอวิ๋นเกอมีผลกระตุ้นให้แต่งงาน

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 155 เยียนอวิ๋นเกอมีผลกระตุ้นให้แต่งงาน

สองสามีภรรยาคุยกันถึงกลางดึกถึงได้พักผ่อน

หวังหยวนเหนียงมีแผนการมากมายต่ออนาคต

ในความฝัน นางราวกับเห็นชีวิตที่ดีกำลังกวักมือให้นาง

เพียงแค่นางยื่นมือก็สามารถสัมผัสได้ถึงชีวิตที่ดี

เมื่อแต่งงาน สองสามีภรรยายิ่งขยันขันแข็ง

เรือนพักร่ำรวยไม่ขาดแคลนงาน

หากไม่ใช่เยียนอวิ๋นเกอกดจำนวนการผลิตเอาไว้ ไม่ให้เกิดการผลิตขนาดใหญ่ โรงถักทอแม้จะทำงานวันละสิบสองชั่วยามก็ทำไม่ทัน

เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่ การเดินทาง

เสื้อผ้าและอาหารต้องมาก่อน

มนุษย์มียางอาย

การมีชีวิตอยู่บนโลกย่อมต้องมีชุดที่ปกคลุมร่างกายในฤดูร้อนและฤดูหนาว

หากสวมเพียงชุดเดียวตลอดปี เสื้อผ้าย่อมจะถูกซักจนขาดอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ผู้คนจึงมีความต้องการต่อผ้าผืนและชุดสำเร็จรูปอย่างมาก

แต่เนื่องจากไม่มีเงิน ถึงได้ปะแล้วปะอีก สวมใส่ชุดเดิมซ้ำๆ

ยุคสมัยนี้ ผ้าผืนเป็นเงินตราแข็งค่ายิ่งกว่าเงินทองเสียอีก

ในพื้นที่ห่างไกล ผ้าผืนถูกใช้แทนเงิน สำนักราชการเก็บส่วยก็ยินดีรับผ้าผืน

พ่อบ้านของเรือนพักร่ำรวยซื้อเส้นด้าย เส้นไหม เส้นป่านจากด้านนอกกลับมาถักทอเป็นผ้าผืนในเรือนพัก ขายออกไปยังรัฐต่างๆ ในแผ่นดินผ่านร้านผ้าสี่ฤดู

นอกจากนี้ เรือนพักร่ำรวยยังจัดที่ดินสำหรับปลูกต้นป่าน

เยียนอวิ๋นเกอได้รับเมล็ดต้นป่านมาเมื่อหลายปีก่อน

หลังจากเพาะเลี้ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีนี้จึงได้หว่านเมล็ดพืชเป็นครั้งแรก

เมื่อการเพาะปลูกเมล็ดต้นป่านมีรูปแบบขึ้นมา เส้นด้ายป่าน เชือกป่าน ผ้าป่านของเรือนพักร่ำรวยย่อมสามารถผลิตเองและขายเองได้

แต่มีสถานการณ์หนึ่งที่เยียนอวิ๋นเกอคาดไม่ถึง

หวังหยวนเหนียงแต่งงานกับพี่เซิ่น เรื่องที่นางให้คนส่งของขวัญถูกแพร่ข่าวไปทั่วเรือนพักภายในค่ำคืนเดียว

ในเวลาหนึ่ง คนจำนวนมากหวั่นไหว อยากจะฉวยโอกาสที่เถ้าแก่อยู่เรือนพักจัดงานแต่ง

“หากบุตรสาวของพวกเราแต่งงานเวลานี้ เถ้าแก่ย่อมจะส่งของขวัญมาให้อย่างแน่นอน ข้าไม่ต้องการสิ่งอื่น ข้าต้องการแค่นุ่นสี่จิน และผ้านุ่นละเอียดสี่ผืน ผ้านุ่นสี่ผืนอย่างน้อยตัดชุดได้เจ็ดแปดชุด นุ่นสี่จินทำชุดผ้านุ่นได้สองชุด เรื่องดีแบบนี้หาได้ยากนัก”

นุ่นเป็นสิ่งของหายาก ไม่มีขายในร้านผ้าสี่ฤดู มีขายแค่ในเมืองหลวง

ทุกคนต่างอยากได้นุ่นและผ้านุ่น แต่ไม่มีเงินซื้อ

เวลานี้เถ้าแก่อยู่ในเรือนพัก จะพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร

“บุตรสาวของพวกเราจะแต่งกับผู้ใด จะให้หาคนมาแต่งงานตามใจได้อย่างไร”

“จะไม่มีผู้ที่เหมาะสมได้อย่างไร ข้าว่าเจ้าเด็กเลขสิบเจ็ดแถวที่ยี่สิบห้าดีไม่น้อย วนเวียนอยู่ต่อหน้าบุตรสาวเราทั้งวัน แค่มองก็รู้ว่าชอบบุตรสาวของพวกเรา เรียกแม่สื่อไปถามเสียหน่อย ไม่แน่ใจว่างานนี้อาจสำเร็จวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้”

“ไม่ถามความเห็นของบุตรสาวหน่อยหรือ”

“บุตรสาวย่อมไม่มีความเห็น”

“ถามเสียก่อนเถิด หากบุตรสาวไม่ยอม จะได้ไม่สิ้นเปลืองแรง”

“มีแต่เจ้าเอ็นดูนาง ทำให้ข้าเหมือนเป็นแม่เลี้ยงอย่างนั้น”

บทสนทนาที่คล้ายคลึงกันปรากฏขึ้นในครอบครัวจำนวนมาก

มีทั้งผู้อพยพ มีทั้งเกษตรกรที่ทำงานอยู่ในเรือนพักร่ำรวย

ของขวัญที่เถ้าแก่มอบให้ช่างถูกใจผู้คนเสียจริง ทุกคนต่างอยากไขว่คว้าโอกาสนี้เอาไว้

ดังนั้นในวันหนึ่ง เยียนสุยมาหาเยียนอวิ๋นเกอ

“รายงานคุณหนู มีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ควรพูดหรือไม่”

“พูดเถิด!”

เยียนสุยครุ่นคิดพลางพูด “คนด้านล่างเสนอ อยากจะจัดงานแต่งรวมอีกครั้ง ตามที่ข้ารู้ เวลานี้มีคู่บ่าวสาวหลายสิบคนเตรียมตัวแต่งงาน”

พู่!

เยียนอวิ๋นเกอตกตะลึง “ปกติมีคู่บ่าวสาวแต่งงานมากมายเพียงนี้หรือ”

เยียนสุยส่ายหน้าระรัว “ไม่ขอรับ บางครั้งเป็นเดือนก็ยังไม่มีคู่บ่าวสาวแต่งงานเสียด้วยซ้ำ”

เยียนอวิ๋นเกอทำสีหน้าประหลาดใจ “ปรากฏคู่บ่าวสาวหลายสิบคู่แต่งงานอย่างกะทันหัน เจ้าบอกข้ามาว่าประหลาดอย่างไร”

เยียนสุยยิ้มขมขื่น “เป็นเพราะก่อนหน้านี้คุณหนูส่งของขวัญไปให้คู่บ่าวสาวอย่างหวังหยวนเหนียงกับพี่เซิ่น ทุกคนต่างอยากได้ผ้านุ่นและนุ่นที่คุณหนูให้ จึงคิดอยากจะฉวยโอกาสที่คุณหนูอยู่ในเรือนพักรีบแต่งงาน จะได้รับของขวัญจากคุณหนูด้วย”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยิน ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

“พวกเขามั่นใจได้อย่างไรว่าข้าจะมอบของขวัญให้ หวังหยวนเหนียงและพี่เซิ่นแต่งงานในเวลาที่พอดี ข้าจึงส่งของขวัญไปให้”

“ทุกคนต่างไม่มั่นใจว่าคุณหนูจะส่งของขวัญ แต่อย่างไรก็ต้องลอง หากคุณหนูส่งของขวัญ พวกเขาก็ถือว่าได้กำไร แต่หากคุณหนูไม่ส่ง ถึงแม้จะเสียดาย แต่ก็ไม่ขาดทุน”

“มีเหตุผล”

เยียนสุยถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูจะรับปากจัดงานแต่งรวมหรือไม่ จะส่งของขวัญหรือไม่ขอรับ”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “งานแต่งรวมคงไม่ได้ บอกทุกคน ผู้ที่แต่งงานและจัดเลี้ยงในครึ่งเดือน ข้าจะส่งของขวัญให้พวกเขาตามมาตรฐานของหวังหยวนเหนียงกับพี่เซิ่น อย่าลืมเตือนพวกเขา หากผู้ใดไม่มีงานเลี้ยง แต่คิดจะหลอกของขวัญของข้า ให้พวกเขาไสหัวไปให้พ้น ข้าไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบได้”

เยียนสุยยิ้มพลันตอบรับ “คุณหนูวางใจ ข้าน้อยจะตรวจขันอย่างเข้มงวด คู่บ่าวสาวทุกคู่ต้องผ่านการตรวจสอบ มิฉะนั้นอย่าคิดจะได้รับของขวัญจากคุณหนู”

“เรื่องนี้เจ้าไปจัดการเถิด!”

เมื่อกำหนดการครึ่งเดือนออกมา ครอบครัวที่มีบุตรชายบุตรสาวที่อายุเหมาะสมกับการแต่งงาน ล้วนรีบดูตัวและแต่งงาน

เวลาเพียงครึ่งเดือน มีคู่บ่าวสาวถึงเจ็ดสิบคู่สร้างครอบครัว พวกเขาล้วนได้รับของขวัญแต่งงานจากเยียนอวิ๋นเกอ

ทุกคนต่างดีใจ

นับจากนี้ เรือนพักร่ำรวยจึงเกิดประเพณีขึ้นอีกอย่าง

วันปกติไม่มีผู้ใดแต่งงาน

ทุกคนล้วนเก็บงานแต่งเอาไว้รอเถ้าแก่มา ถือโอกาสรับของขวัญแต่งงาน

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

เถ้าแก่ที่ใจกว้างอย่างนางช่างหาได้น้อยนัก

ข้อดีก็คือ ความกลมเกลียวและแรงดึงดูดของเรือนพักร่ำรวยยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ถนนหนทางตามลานจัตุรัสด้านหน้าโรงอาหารไปจนถึงทางออกได้กลายเป็นตลาดที่มีรูปแบบขนาดเล็ก

อีกทั้งยังมีพ่อค้าวิ่งมาเปิดร้านในเรือนพักร่ำรวย

เรือนพักร่ำรวยยกสองมือต้อนรับพ่อค้าประจำจากด้านนอก

ราคาห้องเช่าเป็นธรรม มีการรับรองความปลอดภัย เก็บค่าดูแลจัดการตลาดและค่าความสะอาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

นอกจากพ่อค้าประจำ ยังมีพ่อค้าที่เดินทางไปมาระหว่างเรือนพักร่ำรวยและเมืองต่างๆ

พวกเขาขนสินค้าจากที่อื่นมาขายในเรือนพักร่ำรวย ก่อนจะซื้อสินค้าจากเรือนพักร่ำรวยขนไปขายที่อื่น

ตลาดขนาดเล็กไม่แบ่งวันคู่หรือวันคี่ ทุกวันล้วนมีตลาด ทุกวันล้วนมีคนมาค้าขาย

ในการนี้ เรือนพักร่ำรวยออกเงินขยายถนนทั้งสามสายให้กว้างขึ้น ปูด้วยก้อนกรวดหรือเถ้าถ่านเพื่อป้องกันดินโคลนเมื่อยามฝนตก สะดวกต่อการเดินทางของรถม้าหรือรถลาก

เมื่อถนนหนทางกว้างขึ้น อีกทั้งมีสินค้าหลากหลาย ราคาเป็นธรรม อีกทั้งยังสามารถซื้อผ้าผืนที่ราคาสูงกว่าราคาโรงงานเพียงเล็กน้อย เรือนพักร่ำรวยจึงดึงดูดพ่อค้าจากทุกทิศทั่วทาง

ภัตตาคารหนานเป่ยจึงเปิดขึ้นมาด้วย

อีกทั้งยังผลักดันอาหารใหม่หลายอย่าง ล้วนเป็นอาหารเผ็ด

มีคนสามารถกินเผ็ดได้ กินไม่กี่มื้อก็ติดใจ

มีคนไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถยอมรับได้ ภัตตาคารหนานเป่ยจึงมีน้ำแกงสมุนไพรที่ควรค่าแก่การลอง

สิ่งที่เกินความคาดหมายของเยียนอวิ๋นเกอก็คือ ผักกาดขาวเผ็ดดอง ผักดอง เครื่องปรุงรสและน้ำมันนานาชนิดของภัตตาคารหนานเป่ย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันพืชจากโรงบดในเรือนพักได้รับความนิยมอย่างมาก

กลายเป็นสินค้ายอดนิยมอันดับสองรองจากผ้าผืน

สวีโย่วฟาเป็นคนแคว้นซู่ที่อยู่ติดนครบาล แต่ไม่อยู่ในการดูแลของนครบาล

เขาเป็นพ่อค้า หลังจากรับช่วงต่อจากบิดา เขาก็เดินไปตามถนนและตรอกซอกซอยเป็นเวลาหลายสิบปี ในที่สุดก็มีร้านค้าของตัวเอง ขายเครื่องปรุงรสและผักดองเป็นหลัก

ร้านค้าของเขาขายได้ไม่มากนัก ถือว่าพออยู่ได้

เขาร้อนใจอย่างมาก

กลัวว่าการค้าจะขาดทุน รากฐานที่พ่อลูกสะสมมานานหลายสิบปีจะถูกทำลาย

ดังนั้นเขาจึงพาบุตรชายหาบเร่เดินตามซอกซอยเริ่มทำการค้าอีกครั้ง

เขาได้ยินบรรดาพ่อค้าพูดถึงเรือนพักร่ำรวยขึ้นมานับครั้ง เริ่มแรกเขาไม่สนใจนัก

เรือนพักใดล้วนไม่เกี่ยวกับเขา

ต่อมารับรู้ว่าในเรือนพักมีกว่าหลายหมื่นคน จำนวนประชากรมากกว่าคนในแคว้นหนึ่งเสียอีก เรือนพักนั้นทำการค้าง่าย เขาจึงเกิดความคิดที่จะเดินทางไปยังเรือนพักร่ำรวย

หลังจากเดินมาสองวัน ในที่สุดก็มาถึงเรือนพักร่ำรวย

โอ้!

สมกับเป็นเรือนพักร่ำรวย อุดมสมบูรณ์อย่างมาก

นาข้าวเป็นร่องสลับไปมา ผู้คนหนาแน่น บนไหล่เขาและในนาล้วนมีชาวนาที่กำลังทำนา

หลังจากได้รับการแนะนำจากผู้คน เขาถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วคนที่กำลังทำนาล้วนเป็นผู้อพยพ

เมื่อเขาเข้าไปในตลาดที่จัดอยู่บริเวณลานจัตุรัส เขาถึงกับตกตะลึงกับขนาดของตลาด

ช่างคึกคักเสียจริง

ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา ข้างหูล้วนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนขายสินค้า

ที่นี่ดีมาก!

สำหรับพ่อค้ารายเล็กแล้ว สถานที่แห่งนี้ช่างเปรียบเสมือนทรัพย์สมบัติ

ตั้งแผง เริ่มตะโกนขายของ รอให้ลูกค้าเข้ามา

แต่แล้วความเป็นจริงกลับทำให้สวีโย่วฟาเสียหลัก

ลูกค้าคนแรกชิมผักดอง “รสชาติใดกัน ราคาพอๆ กับร้านขายของชำ แต่รสชาติแย่กว่ามาก”

ลูกค้าคนที่สอง “รสชาติไม่ได้ แม้ว่าจะถูกกว่าร้านขายของชำเล็กน้อย แต่ก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย”

ลูกค้าคนที่สามยังคงแสดงสีหน้ารังเกียจ

สวีโย่วฟาฉงนอย่างมาก หลังจากได้รับคำแนะนำจากพ่อค้าด้านข้าง เขาถึงเข้าใจ

เขาทิ้งแผงขายให้บุตรชาย ส่วนตัวเองเดินทางไปยังร้านขายของชำหนานเป่ย

ร้านขายของชำสามารถลองกินได้

เขาลองชิมทุกอย่างก็ไม่กลัวที่จะถูกต่อว่า ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจ

ไม่ดีเท่า!

ผักดองและเครื่องปรุงรสของพวกเขานั้นไม่ดีเท่าของร้านขายของชำหนานเป่ยจริงๆ

รสชาติหลอกคนไม่ได้ เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะหลอกตัวเอง

เขาสิ้นหวังอย่างมาก

เพียงแต่เขาสิ้นหวังเพียงครู่หนึ่ง

ความกระตือรือร้นในฐานะพ่อค้า ทำให้เขารู้ถึงโอกาสทางกิจการที่นี่

ดังนั้นเขาจึงไปพบจั่งกุ้ย เริ่มเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือในการขายส่ง

ในวันเดียวกันนั้น เขาขายผักดองของตัวเองในราคาถูก พร้อมทั้งซื้อผักกาดขาวเผ็ดดอง ผักดอง เครื่องปรุงรสและน้ำมันจากร้านขายของชำหนานเป่ย เดินทางกลับไปที่แคว้นซู่ในทันที

เมื่อมีการจัดหาสินค้าจากร้านขายของชำหนานเป่ย ร้านสวี่จี้ที่เกือบตายจึงฟื้นคืนชีพขึ้นมา

ตั้งแต่นั้นมา สวีโย่วฟาก็กลายเป็นตัวแทนจำหน่ายของร้านขายของชำหนานเป่ย

ไม่ใช่แค่ผักกาดขาวเผ็ดดอง ผักดอง ซอสถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันพืช หรือเครื่องปรุงรสต่างๆ ล้วนนำเข้าจากร้านขายของชำหนานเป่ยส่งมาขายยังแคว้นซู่ เขาได้กำไรจากส่วนต่าง

สวีโย่วฟาไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของร้านขายของชำหนานเป่ยเพียงรายเดียว

ร้านผักดองซูจี้ในตรอกจินหยินฝางของเมืองหลวงก็กลายเป็นตัวแทนจำหน่ายของร้านขายของชำหนานเป่ยในฤดูใบไม้ผลิ หย่งไท่ปีที่สิบสาม

ในช่วงต้นฤดูร้อน เถ้าแก่ซูถือพัดกลมเดินมายังร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยสาขาหนึ่งฝั่งตรงข้าม

เขาตะโกนเรียกจี้ผิงผู้เป็นจั่งกุ้ย “น้ำแกงเครื่องในหนึ่งชาม ใส่พริกมากหน่อย”

จี้ผิงตอบเขาอย่างร่าเริง “ได้เลย! เถ้าแก่ซูรอสักครู่”

น้ำแกงเครื่องในหนึ่งชามวางอยู่บนโต๊ะ เถ้าแก่ซูพลางกินพลางคุยกับจี้ผิง