“ฟู่ว… ทีนี้ส่วนแขนเสริมก็เสร็จสักที…”
 

ในขณะที่เหตุการณ์ทางด้านหมู่บ้านของรีซาน่าที่จะเรียกว่ามีพวกนากาเป็นต้นเหตุก็ว่าได้เพิ่งจะจบไปได้ด้วยดีนั้นเอง ทางด้านเอริกะที่อยู่ที่เมืองรีมินัสเองก็ได้พ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อนเล็กๆ เมื่อเธอได้ยึดติดโล่เหล็กขนาดพอประมาณทั้งสองชิ้นเข้ากับตัวแขนกลที่มีลักษณะคล้ายกับแขนกลของยูนิตเชสเชียร์ได้เป็นผลสำเร็จ

 

ซึ่งเอริกะก็ได้ถอยออกมามองดูมันด้วยความภูมิใจเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดพึมพำแผนงานขั้นต่อไปของเธอขึ้นมาเบาๆ

 

“ทีนี้ที่เหลือก็แค่เดินสายพลังงานด้านในให้เรียบร้อย เสร็จแล้วก็ให้พวกเด็กๆ ทดลองเอาไปใช้ในสนามจริงดู… เอาเป็นว่าถ้ามีเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นมาก็ฝากเธอพาพวกคอนแนลเขาไปลองของหน่อยสิอลิซ”

 

“ก็ถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็นะ…”

 

คำขอของเอริกะนั้นได้ทำให้อลิซที่ยืนกอดอกพิงชั้นหนังสืออ่านเอกสารอะไรบางอย่างอยู่เหลือบตาไปมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดตอบกลับไปเบาๆ พลางเลื่อนมือไปลูบหัวไหล่ข้างซ้ายของเธอที่ในบัดนี้ปราศจากผ้าพันแผลไปแล้วด้วยท่าทีเหม่อๆ เล็กน้อยจนทำให้เอริกะต้องเลิกคิ้วพูดถามเด็กสาวกลับไป

 

“เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะอลิซ เจ็บแผลหรอ?”

 

“เปล่า… แผลที่ไหล่นี่มันแทบจะหายดีอยู่แล้ว แค่ไม่ชินที่มันไม่มีผ้าพันแผลแล้วเฉยๆ ล่ะมั้ง… ส่วนเธอน่ะรีบๆ ไปพักได้แล้วไป”

 

“หืม… นี่เธอเป็นห่วงฉันงั้นหรอเนี่ย?”

 

ท่าทางของอลิซที่ไม่ได้พูดตอบกลับคนที่กล้ามาเป็นห่วงเธอด้วยท่าทีหงุดหงิดเหมือนกับทุกทีนั้นได้ทำให้เอริกะต้องเบิ่งตามองเด็กสาวด้วยความตกตะลึงก่อนที่เธอจะพูดจายียวนกวนประสาทกลับไปตามประสาของเธอ

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอลิซก็กลับทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดุๆ

 

“ฉันก็แค่ขี้เกียจจะมานั่งตอบคำถามของเจ้าแว่นคอนแนลถ้าเกิดว่าเธอทำงานหนักจนสลบไปก็แค่นั้นล่ะ ขอบตาคล้ำซะขนาดนั้นใครเห็นเข้าเขาก็ว่าเธอจะสลบไปตอนไหนก็ไม่รู้กันทั้งนั้นแหล่ะ…”

 

“ก่อนจะมาพูดแบบนั้นเธอเองก็หัดพักซะบ้างก่อนเถอะ ก่อนหน้านี้เทียเพิ่งจะมาบอกฉันไปเองนะว่าเธอเกือบจะหน้ามืดล้มลงไปตอนอยู่ที่โรงเรียนน่ะ”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ ของอลิซนั้นได้ทำให้เอริกะต้องตีหน้าขึงขังพูดเตือนเธอกลับไปด้วยเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้อลิซต้องเดาะลิ้นออกมาด้วยความขัดใจ

 

“ชิ… เห็นเงียบๆ แบบนั้นแต่ว่าดันพูดมากกว่าที่คิดอีกนะ…”

 

“เทียเขาก็แค่เป็นห่วงเธอนั่นแหล่ะ แล้วก็ถึงร่างกายของเธอจะ… ‘แข็งแรง’ จนฟื้นตัวได้เร็วกว่าคนธรรมดาๆ อย่างพวกนากาคุงเขาก็เถอะ แต่ถ้าเกิดว่าเธอฝืนร่างกายสุดพิเศษนั่นมากเกินไปล่ะก็ ฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันนะว่าเธอจะล้มพับลงไปแล้วไม่ฟื้นกลับขึ้นมาอีกเลยเอาตอนไหนน่ะ”

 

“ก็ในเมื่อเธอเป็นคนที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้เอง งั้นก็ฝากเธอเตือนตอนที่ฉันใกล้จะถึงขีดจำกัดด้วยก็ละกัน…”

 

“ใครจะไปทำได้กันเล่า!? แล้วถึงมันจะเป็นฝีมือของฉันจริงๆ ก็เถอะแต่ตัวฉันในตอนนี้ได้ไปรู้เรื่องอะไรแบบนั้นซะที่ไหนกันล่ะ!? ยิ่งในตอนนี้มันยังไม่มีเครื่องมืออะไรแบบนั้นแล้วฉันจะไปตรวจร่างกายให้เธอจนรู้เรื่องอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน…”

 

คำพูดของอลิซที่ฟังดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นห่วงสภาพร่างกายของตนเองที่กำลังจะเริ่มหายดีเลยแม้แต่น้อยนั้นแทบจะทำให้เอริกะต้องเหลือกตาด้วยความหน่ายใจก่อนที่เธอจะพูดเตือนกลับไปอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

 

ซึ่งท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อลิซที่ปกติแล้วจะชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกับหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาต้องแอบเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา

 

“ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนเธอนี่ก็ยังเหมือนเดิมจริงๆ เลยนะ…”

 

“มันก็แน่อยู่แล้วสิ แล้วฉันเองก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในเร็วๆ นี้ด้วย”

 

“ฉันหมายถึงว่ายังเป็นคนน่ารำคาญเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลยน่ะ”

 

“อ้าว ยัยตัวแสบนี่”

 

คำพูดบ่ายเบียงของอลิซนั้นได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่คิดถือสาหาความอะไรก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากพื้นและยื่นมือไปฉกเอกสารที่อลิซกำลังยืนอ่านอยู่มาส่องดูด้วยความสนใจก่อนที่เธอจะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจและพูดถามขึ้นมา

 

“นี่มันเอกสารของทางโรงเรียนไม่ใช่หรอ? นี่เธอไปก่อเรื่องอะไรขึ้นมาจนโดนพวกเขาไล่ออกมาแล้วหรอเนี่ย?”

 

“เฮ้อ… นั่นมันเอกสารรายงานของกลุ่มดอว์นต่างหากล่ะ เกี่ยวกับเรื่องของพวกอัลเบิร์ตที่ออกไปหาเบาะแสของอารอนจากกลุ่มผู้ลี้ภัยน่ะ”

 

“อัลเบิร์ต…? อ๋อ… ลูกของขุนนางหัวหน้าหน่วยข่าวกรองคนที่เป็นเพื่อนกับคอนแนลคุงที่สมัยก่อนเคยมาฝึกกับเอริซาเบธเขาอยู่บ่อยๆ น่ะหรอ ถ้าจำไม่ผิดถึงนิสัยจะออกกวนๆ นิดหน่อยแต่ก็เป็นเด็กดีใช้ได้เลยไม่ใช่หรอ”

 

“ก็ถ้าเอาไปเทียบกับพวกลูกขุนนางจากห้องหนึ่งแล้วจะว่างั้นก็ได้ล่ะมั้ง…”

 

คำพูดของเอริกะที่พอจะรู้จักกับอัลเบิร์ตอยู่บ้างนั้นได้ทำให้อลิซที่เจอกับความแสบของอัลเบิร์ตในคาบเรียนช่วงเช้าของวันแรกของสัปดาห์อยู่บ่อยๆ นั้นต้องกลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจก่อนที่เธอจะพูดอธิบายเกี่ยวกับตัวเอกสารที่ถูกเอริกะฉกไปขึ้นมา

 

“เอกสารนั่นมันก็เกี่ยวกับเรื่องที่อัลเบิร์ตไปหาข้อมูลมานั่นแหล่ะ ถึงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของอารอนสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดว่าเธออยากหาเรื่องปวดหัวเพิ่มก็ลองอ่านมันดูก่อนสิ… เพราะฉันลองอ่านมันดูแล้วรู้สึกเหมือนว่ามันจะมีอะไรแปลกๆ อยู่เหมือนกัน”

 

“หืม… ไหนๆ … เพราะมีผู้บาดเจ็บเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันทั้งๆ ที่พวกทหารยามยังรักษาตัวกันไม่เสร็จทางโรงพยาบาลก็เลยแบ่งคนออกไปช่วยเหลือไม่ได้จนต้องให้พวกเขาต้องคอยดูแลกันเอง… ก็เป็นเรื่องที่พวกเรารู้กันอยู่แล้วล่ะนะ แถมฉันมั่นใจว่าสภาพแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่เมืองรีมินัสนี่ด้วย… ส่วนเธอก็คงจะพอเดาได้เหมือนกันแล้วใช่มั้ยล่ะว่าพวกนั้นวางแผนอะไรเอาไว้ถึงได้ยอมปล่อยให้มีผู้รอดชีวิตเยอะถึงขนาดนี้น่ะอลิซ?”

 

เอริกะที่ก้มลงไปอ่านข้อความในเอกสารนั้นได้ละความสนใจออกมาจากมันอย่างรวดเร็วเพราะว่ามันเป็นหนึ่งในเรื่องที่เธอทราบข้อมูลอยู่ก่อนแล้วและพูดถามอลิซขึ้นมา และนั่นก็ทำให้อลิซต้องหลุบตาลงต่ำก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“ถ้าเกิดฆ่าไปจนหมดอย่างมากก็ได้แค่หลุมศพเพิ่มขึ้นมา… แต่ถ้าเกิดว่าทำให้บาดเจ็บหนักแล้วรอดไปได้พวกเขาก็จะกลายเป็นภาระของคนที่พวกเขาหวังไปพึ่งพิง…”

 

“ใช่แล้วล่ะ แล้วในกรณีนี้พวกชาวบ้านไร้ที่พึ่งจะไปหวังพึ่งใครได้นอกจากเมืองหลวงทั้งสี่แห่งใช่มั้ยล่ะ ถึงจะดูโหดร้ายไปสักหน่อยสำหรับคำว่าสงครามที่คนของที่นี่รู้จักมาจากในหนังสือเรียนก็เถอะ แต่ในแง่ผลลัพธ์แล้วมันก็นับว่าได้ผลจริงมั้ยล่ะ”

 

“เฮ้อ… แต่ถึงจะพูดยังไงสิ่งที่พวกนั้นต้องการมันก็ไม่ใช่สงครามอยู่แล้วจริงมั้ยล่ะ… แล้วเธอก็อย่าพับมันด้วย เดี๋ยวฉันยังต้องเอามันไปคืนที่โรงเรียนอยู่นะ”

 

อลิซพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะพูดเตือนขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะต้องชะงักมือของเธอที่กำลังจะพับเอกสารในมือให้กลายเป็นเครื่องบินกระดาษและส่งมันคืนไปให้กับอลิซแต่โดยดีพร้อมกับเอ่ยปากพูดบ่นขึ้นมาด้วย

 

“แต่ก็ยังนับว่าโชคดีนะที่มีกองคาราวานจากเมืองมาร์นาฟผ่านมาช่วยพวกเขาเอาไว้ได้พอดีนะ เพราะถึงพวกเขาจะได้เรสเนอร์คอยช่วยส่งเสบียงอาหารไปให้แล้วก็เถอะ แต่ว่าเรื่องรักษาแผลนี่ฉันเองก็ไม่รู้จะไปหาใครจากไหนมาช่วยจัดการให้แล้วเนี่ย…”

 

“เรื่องกองคาราวานน่ะยังพอว่า… แต่ที่บอกว่ามาจากเมืองมาร์นาฟนี่เธอไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรือไง?”

 

อลิซที่ได้รับเอกสารกลับไปจากเอริกะนั้นได้กลับไปยืนกอดอกพิงชั้นวางหนังสือจุดประจำของเธออีกครั้งหนึ่งและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะกังวลใจอะไรมากนักและพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ

 

“ถึงฉันจะสงสัยแล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะจริงมั้ย มันก็อย่างที่เธอรู้ว่าพวกขุนนางเขาว่างๆ ก็ชอบจัดทริปเที่ยวไปนู่นมานี่กันอยู่แล้ว แล้วจากที่อัลเบิร์ตเขียนเอาไว้ในรายงาน อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นลูกขุนนางที่ชอบทำตามใจตัวเองซะด้วยสิ ถ้าเกิดที่เมืองมาร์นาฟจะมีพวกเด็กดื้อๆ งอแงอยากไปเที่ยวเล่นถึงต่างทวีปสักคนสองคนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนักหรอกมั้ง”

 

“มันก็จริงของเธอ…”

 

อลิซที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้ยักไหล่ตอบนักประดิษฐ์สาวกลับไป แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเธอก็ยังจ้องมองอ่านเอกสารทบทวนอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทีเคร่งเครียดเล็กน้อยจนทำให้เอริกะต้องหาเรื่องพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ความดันขึ้น

 

“จะว่าไปช่วงนี้คาร์เทียร์เขาเป็นยังไงบ้างล่ะ ฉันหมายถึงว่าหลังจากที่อารอนเขาหายตัวไปเฉยๆ แบบนั้นน่ะ”

 

“เท่าที่ดูแล้วก็ร้อนใจแต่พยายามจะทำตัวให้ดูเป็นปกติอยู่ล่ะมั้ง… แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่หรอก เพราะยังไงนิลิมก็พักอยู่ที่คลินิกด้วยนี่ ถึงจะเห็นหน้าใสๆ แบบนั้นแต่เขาก็เคยเลี้ยงยัยพรีมูล่ามาด้วยตัวเองเลยไม่ใช่หรอ”

 

“งั้นหรอ…”

 

เอริกะที่ได้ยินชื่อของนิลิมนั้นได้ก้มหน้าลงเล็กน้อยและพูดตอบอลิซกลับไปเบาๆ ซึ่งท่าทางของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อลิซต้องเงยหน้ากลับขึ้นมาจากเอกสารเพื่อจ้องมองเอริกะก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

 

“แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องนิลิมกับยัยพรีมูล่า… สรุปว่าตอนแรกเธอคิดจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือในการรั้งตัวอารอนเอาไว้ให้อยู่ในสายตาจริงๆ งั้นสินะ?”

 

“อ่ะๆ พูดแบบนั้นมันฟังดูอย่างกับว่าฉันเป็นคนเลวที่ใช้ตัวประกันเพื่อให้อารอนหมดทางหนีเลยนะอลิซจัง~”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอลิซนั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปด้วยท่าทีขี้เล่นประจำตัวและหยิบเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ของเธอขึ้นมาพร้อมกับหันกลับไปสำรวจดูยูนิตแขนกลติดโล่อีกครั้งหนึ่ง

 

ซึ่งสิ่งที่เอริกะทำนั้นก็ได้ทำให้อลิซที่เห็นแบบนั้นต้องจ้องมองดูเธอด้วยสายตาดุๆ เพราะว่าเธอรู้ดีว่าการที่เอริกะทำแบบนั้นมันหมายความว่าหญิงสาวนักประดิษฐ์กำลังพยายามปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้อีกแล้วนั่นเอง และนั่นก็ทำให้เอริกะที่ตกเป็นเป้าสายตาได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนที่เธอจะยอมวางอุปกรณ์ในมือลงและเอ่ยปากพูดขึ้นมาตรงๆ

 

“เฮ้อ… ฉันก็คงจะเถียงไม่ได้สักเท่าไหร่หรอกนะว่าฉันไม่ได้มีความคิดแบบนั้นน่ะ… เพราะว่ายิ่งอารอนเขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกับฝั่งไหนหรือว่าจะถอนตัวออกไปเลยแบบนั้นฉันก็ยิ่งยอมให้มันมีความเสี่ยงไม่ได้เข้าไปใหญ่น่ะสิ…”

 

“แล้วในตอนนี้เธอคิดยังไงกับการที่เขาหายตัวไปเฉยๆ โดยทิ้งคนอื่นเอาไว้ข้างหลังแบบนี้ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาอาจจะไปเข้าร่วมกับเจ้าพวกนั้นแล้วก็ได้หรอกหรอ?”

 

“เรื่องนั้น…”

 

คำถามของอลิซนั้นได้ทำให้เอริกะชะงักไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเผยรอยยิ้มและเอ่ยปากพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความกังวลใจเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้าเกิดว่าเขาตัดสินใจจะไปเข้าร่วมกับอีกฝั่งหนึ่งจริงๆ ล่ะก็ฉันก็คงไม่ทำอะไรเขาหรอกนะ เพราะเธอเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าเขาเคยผ่านอะไรมาบ้างน่ะ… แต่ถึงยังไงคนอย่างเขาน่ะไม่ใช่คนที่จะคิดทิ้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลังแบบนี้หรอก ถ้าเขาจะไปจริงๆ เขาคงจะพาทั้งคาร์เทีย ทั้งซึบากิ ทั้งนิลิม หรือแม้แต่พวกนากาคุงกับโมโกะจังไปด้วยแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ”

 

“เพราะเขาทิ้งคนที่ห่วงใยเขาเอาไว้ข้างหลังแบบนั้นเธอถึงได้ดูไม่ร้อนใจอะไรที่เขาหายไปเลยงั้นสินะ…?”

 

“ก็นะ… ถ้าเธอคิดถึงอารอนล่ะก็รอไปอีกสักพักนึงเดี๋ยวเขาก็น่าจะหาทางกลับมาได้เองแล้วล่ะ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางจะเป็นคนที่ทิ้งคนอื่นๆ ไว้ข้างหลังหน้าตาเฉยแบบนี้ได้อยู่แล้วยังไงล่ะ”

 

“ท่าทางเธอดูมั่นใจจังเลยนะ…”

 

ท่าทางที่ดูไร้ซึ่งความกังวลใจของเอริกะนั้นได้ทำให้อลิซต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะรู้จักกับอารอนอยู่บ้างก็ตามที แต่ว่าสำหรับตัวเธอในตอนนี้แล้วคุณหมออารอนคนนั้นก็นับได้เป็นเพียงแค่คนรู้จักที่เธอไม่ได้สนิทสนมด้วยอะไรขนาดนั้น

 

ซึ่งคำถามของอลิซนั้นก็ได้ทำให้เอริกะที่รู้จักและสนิทสนมกับอารอนมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข

 

“ก็ถึงมันจะมีคนบางคนที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออยู่บ้างก็เถอะ แต่ฉันมั่นใจเลยว่าสำหรับอารอนแล้วน่ะ ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนหรือว่าเกิดเรื่องร้ายแรงแบบไหนขึ้นมาเขาก็จะยังคงเป็นคนเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ”

 

ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ

 

“อ่ะ—เสียงจากนรกดังมาตามตัวอีกแล้วล่ะสิ… เธอรอแป๊บนึงนะอลิซ”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุขใจอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังขึ้นมาให้เธอได้ยินจนทำให้เอริกะต้องพูดบ่นออกมาด้วยความปวดหัวก่อนที่เธอจะยื่นมือไปคุ้ยหาอุปกรณ์สื่อสารทรงสี่เหลี่ยมมากดรับการติดต่อพร้อมกับพูดกรอกเสียงใส่มันลงไป

 

“ฮัลโหล่ๆ นี่ใครเอ่ย?”

 

“นี่หนูทีเอร่าเองค่ะพี่เอริกะ คือว่าหนูจะมารายงานเรื่องของทางแพนเทร่าน่ะค่ะ พี่เอริกะว่างอยู่มั้ยคะ…?”

 

“ว่ามาได้เลยจ้ะ ได้เรื่องอะไรมาบ้างมั้ยเอ่ย?”

 

เอริกะที่ได้ยินเสียงใสๆ ของ ทีเอร่า เด็กสาวหูแมวที่ดูเหมือนว่าจะเคยเป็นผู้นำลัทธิบูชาเทพเจ้าผู้สร้างที่เคยมาพูดจาหว่านล้อมคอนแนลและพรีมูล่าที่ใจกลางเมืองรีมินัสนั้นได้หลุดรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบเด็กสาวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเครื่องมือสื่อสารกลับไปพร้อมกับยื่นมือไปคุ้ยหากระดาษกับปากกาที่น่าจะอยู่บนโต๊ะของเธอมาจดคำรายงานของทีเอร่าไปด้วย

 

“ก็… ก็… เอ่อ… เรื่องแรกเอาเป็นเรื่องของพี่เดดารัสเขาก่อนเลยก็แล้วกันนะคะ… ตอนนี้ทั้งทางด้านหนูกับพวกพี่ๆ ทหารรับจ้างยังไม่เจอร่องรอยของเขาเลยสักนิดเดียวน่ะค่ะ ท่าทางว่าที่พี่เอริกะบอกว่าพี่เขาซ่อนตัวเก่งนี่คงจะไม่ได้พูดเล่นจริงๆ สินะคะเนี่ย…”

 

“แน่นอนอยู่แล้วสิจ๊ะ คุณพี่เดดารัสของเธอน่ะเขาเก่งเรื่องการหลบให้พ้นจากสายตาของคนอื่นเป็นพิเศษเลยล่ะ… ว่าแต่ที่เธอบอกว่าพวกพี่ๆ ทหารรับจ้างนี่หมายถึงกลุ่มไหนน่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเขาขอลาออกไม่ก็ขอแจ้งหยุดพักฟื้นไปกันหมดแล้วหรอกหรอ?”

 

“เป็นกลุ่มของพวกพี่รัสเซลน่ะค่ะ พวกพี่ๆ สี่คนที่เขาชอบปิดหน้าปิดตาแต่ดันสวมผ้าคลุมสีแดงจนดูเด่นสุดๆ เลยนั่นน่ะค่ะ เห็นเขาบอกว่างานของพวกเราดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับส่วนใต้ดินของเมืองแพนเทร่าก็เลยชอบโผล่มาขอร่วมมือด้วยอยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ หนูเองก็ว่าจะถามอยู่พอดีเลยว่าพี่เอริกะจะเอายังไงกับพวกพี่ๆ เขาน่ะ เพราะว่าเอาจริงๆ แล้วพวกพี่เขาไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเราใช่มั้ยล่ะคะ…”

 

“อื้ม… ดูท่าทางว่าจะเป็นพวกชอบล่าสมบัติงั้นสินะเนี่ย… เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่ติดขัดอะไรจะร่วมมือกับพวกเขาไปก่อนก็ได้แหล่ะจ้ะ แต่ฝากไปบอกพวกเขาด้วยก็แล้วกันนะว่าถ้าเกิดพวกเขาไปเล่นซนอะไรมากเกินไปก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองด้วยน่ะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ ฉันจะช่วยไกล่เกลี่ยให้ตามที่เห็นสมควรเท่านั้นนะ เพราะยังไงเขตใต้ดินนั่นมันก็อยู่ในการควบคุมของทางวังหลวงของที่นั่นน่ะ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของทีเอร่านั้นได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อย เพราะว่าเหล่านักผจญภัยที่ชอบเรื่องท้าทายอย่างเรื่องการสำรวจสุสานลับใต้ดินหรือการสำรวจซากเมืองโบราณอะไรพวกนั้นก็ไม่ใช่เรื่องหายากและออกจะเป็นส่วนมากของเหล่านักผจญภัยซะด้วยซ้ำ อีกทั้งเมืองแพนเทร่าเองก็ยังขึ้นชื่อเรื่องของธรรมเนียมการฝังสมบัติจำนวนมากลงไปในหีบศพเพื่อให้ผู้จากไปได้มีกินมีใช้ในภพภูมิหน้าอยู่แล้วด้วย เพราะอย่างนั้นการที่จะมีนักผจญภัยให้ความสนใจในเรื่องใต้ดินของเมืองแพนเทร่าที่มีเรื่องเล่ากล่าวขานอยู่มากมายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

 

ซึ่งทีเอร่าที่ได้ยินคำอนุญาตจากพี่เอริกะของเธอนั้นก็ได้พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงโล่งใจพร้อมกับพูดรายงานเรื่องอื่นขึ้นมาต่อเพราะว่าการที่จะให้เด็กคนเดียวอย่างเธอปฏิบัติงานอยู่ในเมืองหลวงกว้างใหญ่แห่งนี้ด้วยตัวคนเดียวมันก็เป็นเรื่องที่เกินแรงเกินไปสักหน่อย

 

“เข้าใจแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปบอกพวกพี่รัสเซลเขาให้นะคะ… ส่วนเรื่องศพหายที่พี่เอริกะบอกให้หนูไปตรวจสอบมาเพิ่มเติมเมื่อวันก่อนนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงนะคะ ขนาดในสุสานเก่าที่เขาปิดล็อกเอาไว้แล้วก็ยังมีเรื่องนั้นเกิดขึ้นเลยล่ะค่ะ”

 

“เอ๋? นี่เธอไปตรวจสอบเรื่องนั้นมาแล้วหรอ? ทำได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ฉันนึกว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักนึงซะอีกนะ”

 

“แหะๆ คือว่าหนูบังเอิญไปเจอช่องทางแทรกซึมเข้ามาในโบสถ์พอดีน่ะค่ะ… แต่ว่าพี่ซิสเตอร์ที่เป็นคนสอนงานเขาก็ใจดีซะจนหนูรู้สึกผิดอยู่หน่อยๆ เหมือนกันนะคะ…”

 

“นี่อย่าบอกนะว่าเธอไปขอฝึกงานเป็นซิสเตอร์กับทางโบสถ์เขาเลยน่ะ…? บรื๋ย… ถ้าเป็นฉันนี่ไม่มีทางลงทุนไปนั่งฟังนิทานหรอกเด็กแบบนั้นเพื่อแลกกับข้อมูลหรอกนะ”

 

คำพูดของทีเอร่านั้นพอจะทำให้เอริกะคาดเดาได้แล้วว่าช่องทางแทรกซึมเข้าไปในโบสถ์ของเด็กสาวนั้นหมายถึงวิธีไหนกันแน่ ซึ่งเสียงเป่าปากด้วยความสยองขวัญของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้ทีเอร่าที่มักจะแต่งตัวคล้ายๆ กับแม่ชีหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

 

“คิกคิก~ เห็นแล้วหรือยังล่ะคะว่าชุดของหนูมันมีประโยชน์ขนาดไหนน่ะ แต่เรื่องที่พวกพี่ซิสเตอร์เขาพูดมานั่นหนูไม่เก็บมาคิดให้มากความหรอกคะ เพราะว่าความศรัทธาในตัวเทพเจ้าผู้สร้างของหนูไม่สั่นคลอนหรอกนะคะ!”

 

“ถ้าได้แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะจ้ะ…”

 

คำพูดของทีเอร่านั้นได้แต่ทำให้เอริกะส่ายหน้าไปมาเบาๆ เพราะถ้าจะให้พูดถึงการแต่งตัวของทีเอร่าล่ะก็ ชุดของเด็กสาวหูแมวคนนั้นเป็นชุดเดรสสีชมพูอ่อนประดับด้วยลูกไม้ฟูฟองอีกทั้งยังมีผ้าคลุมผมสีใสเหมือนกับชุดของพวกแม่ชีหรือไม่ก็พวกนักบุญหญิงระดับสูงอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นตัวของเด็กสาวก็กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับทางโบสถ์ใดๆ เลยแม้แต่น้อยและเลือกหยิบมันมาสวมใส่ด้วยความชอบส่วนตัวก่อนจะหนีออกมาจากบ้านเพื่อตามหาความจริงและเผยแพร่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าผู้สร้างเฉยๆ

 

ซึ่งในขณะที่เอริกะกำลังรู้สึกอ่อนใจกับเด็กสาวที่อยู่ปลายสายอยู่นั้น ทางด้านทีเอร่าก็ได้เอ่ยปากพูดรายงานเรื่องต่อไปขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติของเธอ

 

“อ่า… เรื่องต่อไปเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่มาแอบด้อมๆ มองๆ แถวเสาส่งสัญญาณต้นที่ห้าที่พี่เอริกะบอกว่าให้ส่งคนไปตรวจสอบดูนั่นน่ะค่ะ คือว่าตอนนี้ไม่มีคนเหลืออยู่มากพอจะให้ส่งออกไปแล้วพี่เอริกะจะเอายังไงดีล่ะคะ จะให้หนูส่งพวกพี่รัสเซลเขาไปตรวจสอบดูหรือเปล่า?”

 

“ก็คงจะต้องทำแบบนั้นแหล่ะจ้ะ เพราะป่านนี้เจ้าพวกนั้นก็คงจะเริ่มตั้งหลักได้แล้วก็เริ่มวางแผนจะทำอะไรกันแล้วล่ะ ฉันก็เลยอยากจะให้รีบตรวจสอบหน่อยว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่ เพราะถ้าเกิดว่าเป็นแค่พวกชาวบ้านชาวเมืองที่บังเอิญไปเจอเสาสัญญาณเฉยๆ มันก็ดีไป แต่ถ้าไม่ใช่พวกเราก็จะได้มีเวลาวางแผนรับมือได้ทัน…”

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้หนูจะ—”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“ทีเอร่า หนูอยู่ในนี้สินะคะ?”

 

“หว๋าย— เอาเป็นว่าเดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้หนูจะบอกให้พวกพี่รัสเซลเขาไปตรวจสอบดูก็แล้วกันนะคะพี่เอริกะ!”

 

ปิ๊บ

 

เสียงเคาะประตูกับเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดังขึ้นมานั้นได้ทำให้ทีเอร่าสะดุ้งจนหางตั้งและรีบกระซิบพูดตอบเอริกะกลับมาจนจบก่อนที่เธอจะตัดสายการสื่อสารไปในทันที และนั่นก็ทำให้อลิซที่ดูแล้วมีท่าทีกลุ้มใจอยู่น้อยๆ ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“มีคนมาแอบด้อมๆ มองๆ ที่เสาสัญญาณงั้นหรอ… ดูท่าทางว่าพวกคอนแนลเขาจะได้เอายูนิตไปทดลองใช้กันไวกว่าที่คิดซะแล้วสินะ…”

 

“ก็ถ้าเกิดว่ามันเป็นเจ้าพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็นะ”

 

ในขณะที่ทางด้านอลิซดูเหมือนว่าจะเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อเธอได้ยินคำว่าเสาส่งสัญญาณ ทางด้านเอริกะที่เป็นเจ้าของเสาส่งสัญญาณที่ว่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะร้อนใจอะไรเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าทุกอย่างมันอยู่ในการควบคุมของเธอแล้ว

 

ซึ่งท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจของเอริกะนั้นก็ได้ทำให้อลิซที่ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องอะไรบางอย่างต้องขมวดคิ้วพูดขึ้นมา

 

“ถึงเสาต้นนั้นมันจะเป็นเสาสำรองก็เถอะแต่เธอช่วยร้อนใจสักหน่อยจะได้มั้ยเนี่ยหะ? ตอนนี้คนที่พร้อมจะลงสนามมันก็มีแค่ฉันกับเดรคเองไม่ใช่หรือไง?”

 

“ก็ใช่ แต่ว่าเดรคเขาเข้าไปที่หมู่บ้านของรีซาน่าพร้อมกับพวกนากาคุงไปแล้ว เพราะงั้นคนที่พร้อมลุยก็คงจะมีแค่เธอกับคอนแนลคุงแล้วก็ซิลเวสจังแล้วล่ะ นอกซะจากว่าเธอจะนับเอริซาเบธเขาไปด้วยน่ะนะ”

 

“อย่างพวกเด็กๆ นั่นเรียกว่าพร้อมได้ซะที่ไหนกันเล่า… ส่วนยัยเอรินั่นก็… เฮ้อ… งั้นถ้าตัดเดรคออกไปแล้วก็มีแค่ฉันสินะที่พร้อมน่ะ”

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นตอนนี้เธอก็ไปพักเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเถอะอลิซ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวฉันจะติดต่อไปหาเองก็แล้วกัน”

 

“ก็เอาตามนั้นละกัน…”

 

อลิซพูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะเปิดประตูเดินออกไปจากห้องในทันที และนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่เอนหลังลงไปพิงกับโต๊ะทำงานพร้อมกับพูดบ่นออกมาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวอลิซมากกว่าที่จะเป็นห่วงเสาส่งสัญญาณที่เกิดเรื่องนั่นเสียอีก

 

“เฮ้อ… ถึงจะบอกว่าเธอกลับมาที่นี่เพื่อการนี้ก็เถอะ… แต่ถ้าฝืนขนาดนี้ต่อไปเรื่อยๆ ร่างกายนั่นจะรับได้นานอีกสักแค่ไหนกันนะ…”

 

 

ปิ๊บ

 

“มาแล้วค่า~”

 

ในขณะเดียวกัน ทางด้านทีเอร่าที่เพิ่งจะตัดสายการสื่อสารของเอริกะไปนั้นก็ได้เอ่ยปากพูดตอบรับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมาขัดจังหวะการรายงานภารกิจของเธอด้วยน้ำเสียงร่าเริงและรีบเดินตรงไปเปิดประตูห้องที่เธออยู่ออก

 

ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูห้องนั้นก็คือหญิงสาวผมสีทองนัยน์ตาสีเหลืองอำพันในชุดแม่ชีสีดำที่ดูท่าทางแล้วเหมือนกับคุณแม่ยังสาวที่ดูใจดีที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้เธออยู่นั่นเอง

 

“ได้เวลาอาบน้ำแล้วนะจ๊ะทีเอร่า เดี๋ยวพี่นำทางไปให้เองก็แล้วกันเนอะ”

 

“ค่า~ ว่าแต่เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูขอออกไปข้างนอกหน่อยนะคะพี่โจน่า พอดีหนูเพิ่งนึกออกว่าเคยนัดกับเพื่อนเขาเอาไว้ตั้งนานแล้วน่ะค่ะ”

 

“เพื่อนๆ จากแคมป์ผู้ลี้ภัยสินะจ๊ะ ถ้ายังไงก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ… แล้วก็เรียกพี่ว่าพี่โจนเถอะจ้ะ จะได้สนิทกันไวๆ ไง”

 

“ค่ะ~ เข้าใจแล้วค่ะพี่โจน~”