จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 120

“น้องฉิน ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อหอคุมกฎเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับเจ้า” เมื่อเดินออกมา เมิ่งฝานอีก็รีบกล่าวขึ้น

เวลาไม่ถึงสิบปี กลุ่มชิงเทียนกลับมีนัยน์ตาสูงจนไม่เห็นหัวใครแล้ว

แม้แต่การรับศิษย์เข้าสานักก็อยู่ในการควบคุมของพวกเขา นี่ไม่ใช่ว่าเหล่าศิษย์ที่เข้ามาล้วนต้องกลายเป็นสมาชิกกลุ่มชิงเทียนไปหรอกหรือ? หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานสํานักเทียนจี๋คงต้องเปลี่ยนเป็นสํานักชิงเทียน ยิ่งคิดเมิ่งฝานอีก็ยิ่งโมโห

ฉินเทียนยิ้มขอบคุณจากใจ เขารู้สึกว่าเมิ่งฝานอีผู้นี้นิสัยไม่เลวเลย คุ้มค่าที่จะคบหาเอาไว้ ”พี่เมิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว แม้จะไม่แน่ใจเรื่องอํานาจของกลุ่มชิงเทียน แต่ถึงขนาดดูแลจัดการการรับสมัครศิษย์ใหม่ได้ หอคุมกฏพวกเขาก็คงไม่เกรงกลัวหรอก หากนําเรื่องนี้ไปรายงานจริงๆก็รังแต่จะนําพาปัญหามา”

“เอ๊ะ?” เมิ่งฝานอีผงะพลางจ้องมองฉินเทียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ”น้องฉินกําลังจะบอกว่าภายในหอคุมกฏก็มีคนของพวกเขาอยู่งั้นรึ?”

“แม้แต่ส่วนการรับสมัครยังมีคน แล้วหอคุมกฏที่มีอํานาจยิ่งกว่าจะไม่มีคนของกลุ่มชิงเทียนเลยหรือ?”

เมิ่งฝานอียืนขมวดคิ้วมุ่น คิดถึงคําพูดของฉินเทียน เมิ่งฝานอีก็รู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบรัด ที่ฉินเทียนกล่าวมาก็ถูกต้อง เป็นไปได้สูงมากว่าหอคุมกฏจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มชิงเทียนไปแล้ว ดังนั้นการนําเรื่องนี้ไปรายงานก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นการทําร้ายตนเองถึงตาย

กลุ่มชิงเทียนมีสมาชิกอยู่จํานวนมาก รวมทั้งยังไม่ขาดแคลนยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นสวรรค์

การไปตอแยกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมมีแต่โทษไม่มีประโยชน์ใด

คิดได้ดังนี้ เมิ่งฝานอีก็รู้สึกชื่นชมฉินเทียน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทําไมฉินเทียนจึงไม่ได้แสดงความโกรธออกมาหลังจากเจอเรื่องแบบนั้น

“หลายครั้งที่ความอดทนก็คือทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด” ฉินเทียนหยุดเว้นช่วงก่อนจะกล่าวต่อ “รอกระทั่งพวกเรามีพลังมากพอ ถึงตอนนั้นก็จะเป็นพวกเขาแล้วที่ต้องเกรงกลัว”

อดทนอดกลั้น เก็บงําประกาย และตรากตรฝึกฝนเพื่อยกระดับฝีมือ เมื่อถึงตอนที่เขาแข็งแกร่งมากพอ เขาก็จะกลับมาสนองคืนให้อีกฝ่ายเป็นพันเท่า

หากไม่อดทนอดกลั้นและฝึกฝนไปอย่างเงียบๆ ก็เป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลายเป็นคนอายุสั้น

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เผชิญหน้าตระกูลฉินหรือว่าหยางฮง เรื่องราวล้วนเป็นเช่นเดียวกันนี้ ฉินเทียนทราบดีว่าตนเองเป็นเพียงตัวละครตัวเล็กๆภาายในสํานักที่เยนจ์แห่งนี้ การก้าวเดินออกไปล้วนแต่ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ

เมิ่งฝานอีลอบจดจําคํากล่าวนี้ไว้ในใจ แววตาที่มองดูฉินเทียนยิ่งความชื่นชมขึ้นอีกขั้น

อายุเพียงเท่านี้กลับมีประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ล้ำนําหน้าเขาไปแล้ว ฉินเทียนดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งยังดูลึกลับ หากคนเช่นนี้กลายเป็นศัตรูไป แม้แต่จะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้

เมิ่งฝานอีเริ่มสงสารเฉิงลี่ขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากเดินเล่นพลางสนทนากันราวหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึง “ประตูหวง

ในประตูหวงเป็นที่พักอาศัยของศิษย์ทั่วไป

สภาพความเป็นอยู่ อาหารการกินและทรัพยากรบ่มเพาะล้วนแต่ย่ำแย่

โดยพื้นฐานแล้วแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ศิษย์ประตูหวงจะกลายเป็นผู้ที่ประสบความสําเร็จ

มองดูลานเล็กๆที่เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏแล้ว ฉินเทียนก็ยิ้มเจื่อน ในใจคิดขึ้นว่า “อย่างน้อยที่สุดก็ยังดูดีกว่าเล้าหมูของจางต้าฟูล่ะนะ

เมิ่งฝานอีคิ้วขมวดเมื่อได้เห็นที่ลานพักอาศัยที่เต็มไปด้วยหญ้าคา เขาแค่นเสียงกล่าวว่า “นี่ใช่ที่ที่คนจะอาศัยอยู่ได้ด้วยรี น้องฉิน ต้องการให้ข้าช่วยหาคนมาเปลี่ยนที่ให้หรือ…”

“ไม่เป็นไร” ฉินเทียนกล่าวตัดบท “ข้ามาที่สํานักเทียนจี๋ก็เพื่อฝึกฝน ไม่ได้มาหาความสําราญโบราณว่าไว้ “สวรรค์มักจะมอบอุปสรรคก่อนโชค” เพียงเรื่องแตค่นี้ยังไม่นับเป็นอย่างไร”

ด้วยสภาพการณ์ของฉินเทียนในตอนนี้ ที่พักอาศัยนี้กลับเหมาะแก่การเก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง

เขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่เป็นจุดสนใจของกลุ่มชิงเทียน หลีกเลี่ยงหยางฮั่น และไขว่คว้าคุณสมบัติในการเป็นศิษย์สายในได้โดยเร็ว

คงเป็นไปได้แล้วที่จะแสดงความโดดเด่นจนได้รับการละเว้นให้เข้าเป็นศิษย์สายใน ตอนนี้เขามีอยู่ทางเดียวก็คือการรวบรวมแต้มผลงาน เขาจะใช้แต้มผลงานแลกกับคุณสมบัติในการเข้าเป็นศิษย์สายในและหยั่งเท้าอยู่ในสํานักแห่งนี้โดยเร็วที่สุด ขอเพียงเขากลายเป็นศิษย์สายใน ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่จําเป็นต้องเกรงกลัวหยางฮั่นหรือกลุ่มของเขาอีก

หลังจากช่วยฉินเทียนทําความสะอาดลานบ้านเสร็จแล้ว เมิ่งฝานอีก็ขอตัวจากไป

อย่างไรเสียตัวเขาก็ไม่ได้กลับมาที่สํานักกว่าสิบปีแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง

ฉินเทียนไม่ได้เหนี่ยวรั้งเขาไว้ เพียงบอกว่าหากมีเวลาว่างก็ให้แวะมา เขาไม่ต้องการทําให้เมิ่งฝานอีเสียเวลาในการบ่มเพาะ

แรงจูงใจเดียวที่ทําให้เมิ่งฝานอีกลับสํานักก็คือ ฝึกฝนจนแข็งแกร่ง เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะเข้าไปในนิกายจิงซินและรับตัวสตรีที่เขารักมาโดยไม่สนใจความเห็นของประมุขนิกาย

ฉินเทียนเดินเข้ามาในที่พัก สายตากวาดมองข้าวของเครื่องใช้ที่สุดแสนเรียบง่าย ที่นี่มีเพียงเตียงไม้หนึ่งหลัง โต๊ะหนึ่งตัว และหนึ่งตะเกียงน้ำมัน

เรียบง่ายจนเรียกได้ว่าหยาบ เหม่อมองดูสิ่งเหล่านี้แล้ว ในใจก็คิดขึ้นอย่างขมขื่น “เพิ่งเลย เจ้าจะต้องยังมีชีวิตอยู่แน่”

ดวงตาของเขาขึ้นขึ้นมา

หลังจากนอนพักผ่อนหนึ่งคืน ยามเข้าก็มาถึง ฉินเทียนนําป้ายสีดําของเขามุ่งหน้าไปยังหอภารกิจ

ป้ายไม้สีดํานี้เป็นสัญลักษณ์ยืนยันตัวตนและยังมีรอยพลังปราณของเขาอยู่ หลังจากทําภารกิจได้สําเร็จ ขแต้มผลงานก็จะถูกบันทึกไว้ในนี้ สิ่งนี้ก็เหมือนระบบธนาคารในยุคปัจจุบัน สามารถพกพาเงินตราติดตัวได้อย่างสะดวกดาย

หอภารกิจแบ่งออกเป็นสามชั้น

ชั้นแรกจะเป็นกระดานภารกิจ ชั้นที่สองจะเป็นส่วนของการแลกเปลี่ยน ส่วนชั้นที่สามจะเป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนสิ่งของระดับสูง

เพียงเช้าตรู่ ภายในหอภารกิจก็มีศิษย์อยู่เนืองแน่นแล้ว

จํานวนคนคับคั่งราวกับกําลังเดินอยู่ในตลาด ฉินเทียนยิ้มบาง ฉากนี้เป็นฉากที่เขาคุ้นเคยอยู่มันเหมือนกับฉากตลาดในเกม ที่ที่ผู้คนจะมาซื้อขายแลกเปลี่ยนและรวมกลุ่มออกทําภารกิจ

มองดูแผ่นหินสีดําที่แสดงภารกิจออกมาเรื่อยๆแล้ว ฉินเทียนก็ได้แต่ซึ่งอยู่ในใจ

แต่ฉินเทียนไม่ได้สนใจความอัศจรรย์ของมัน แต่เพ่งมองไปยังภารกิจที่ปรากฏขึ้นบนแผ่นหินมองหาภารกิจที่เหมาะกับตน

” หลบไป หลบไป.”

” หลีกทางให้ข้า……………..”

“ไม่มีดวงตาหรือ? หรือไม่เห็นว่าข้าเป็นศิษย์ของประตูเทียน?”

อวี้เฉิงเดินวางก้ามเข้ามาในหอ สายตากวาดมองดูศิษย์โดยรอบราวกับฮ่องเต้มองดูชาวบ้านร้านตลาด บนใบหน้าเผยแววดูถูกออกมาชัดเจน

หอภารกิจส่วนนอกย่อมเต็มไปด้วยศิษย์สายนอก และพวกเขาก็ทราบว่าศิษย์ของประตูเทียนนั้นหมายถึงอะไร ไม่เพียงแต่คนที่อยู่มานาน กระทั่งศิษยีที่เข้ามาใหม่ก็ยังทราบว่าเขาเป็นส มาชิกของกลุ่มชิงเทียนที่ไม่อาจตอแย

เห็นการปรากฏตัวขึ้นของอวี้เฉิง ผู้คนก็ต่างหลีกทางให้จนกลายเป็นช่องว่างสายหนึ่ง

อวี้เฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขายกมือไพล่หลังเดินตรงไปยังแผ่นศิลาดํา ” เอ้อโกวจื่อ ไปรับภารกิจ “สังหารจิ่วโยวลี่กุ่ยหวง” ให้กับข้า”

“นายน้อย นะ..นั่นเป็นภารกิจที่มีความอันตรายสูง ไม่สู้พวกเรา…”

“บัดซบ ข้าบอกให้เจ้าไปเจ้าก็ไป พูดไม่เข้าใจรึไง?” อวี้เฉิงเตะเท้าออกอย่างโมโห

บ่าวรับใช้ที่ล้มลงไปก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปรับภารกิจ

ในเวลาเดียวกัน ฉินเทียนก็ได้เดินออกจากหอภารกิจ ”จิ่วโยวลี่กุ่ยหวง จะได้ค่าประสบการณ์สักเท่าไรกันนะ?”