เล่มที่ 2 บทที่ 49 เหตุนองเลือด (1)

ยุทธเวทผลาญปีศาจ

ความเคียดแค้นภายในของของฉู่เทียนอีเหมือนดั่งคลื่นทะเลอันเกรี้ยวกราด เขาพออ่านเกมออก อีกฝ่ายคงรู้อยู่แก่ใจว่าเขาไม่สามารถทำอะไรกลุ่มคนที่เดือดดาลแทนได้ พอคิดได้เช่นนี้ เขาก็ถึงกับเหงื่อตก!
นี่เป็นแค่การเตือนของสวีหยางอี้เท่านั้น!

แต่การที่เขาทำอะไรตอนนี้ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไรไม่ได้! แม้ครั้งนี้ยังไม่สามารถคิดบัญชีได้ แต่ในไม่ช้าไม่เร็วนี้จะต้องได้แน่นอน!

ความเคียดแค้นที่อยู่ในใจเขา ไม่ได้มาจากสวีหยางอี้ แต่มาจากธุรกิจที่ทำร่วมกับตู้มหาสมบัติ

หากตู้มหาสมบัติปิดกั้นช่องทางทำธุรกิจกับเขา เกรงว่าภายในครึ่งปี คงขาดทุนไม่ต่ำกว่าหลายร้อยล้าน!

แล้วแบบนี้จะไม่ให้เจ็บใจหรือเคียดแค้นได้อย่างไร?

แบบนี้สู้ยอมรับต่อหน้าทุกคนเสียยังดีกว่า!

อย่างน้อยเขาก็สามารถโต้แย้งได้

เขาอยากเอ่ยปากพูดแต่กลับทำไม่ได้!

หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ถึงแม้ตัวเขาเองจะยอมรับผลที่ตามมาไหว แต่สำหรับคนในครอบครัวล่ะ?

พอคิดเช่นนี้เขาก็รู้สึกมือแปดด้านขึ้นมาทันที

แต่บนโลกนี้ก็ยังมีผู้เป็นใหญ่หลายคนที่ไม่เกรงกลัวการตรวจสอบของศาลนักฝึกตนเช่นกัน!

หมัดของฉู่เทียนอีกำแน่นขึ้นจนเล็กจิกเข้าไปในเนื้อ ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดจนด้านชา ประหนึ่งฝูงมดรุมกัดกินหัวใจก็ไม่ปาน

“ทางอวี้หลินเว่ยของพวกเราสามารถตรวจสอบเรื่องนี้ให้ได้ทันที และสามารถให้คำตอบสหายสวีได้เลย!” ฝู่หรงประสานมือพูดขึ้น “เมื่อระบุตัวการได้แล้ว ทางเราจะระงับสิทธิ์การใช้บริการของเขากับทางเราทันที!”

“CSIB ของพวกเราก็เช่นกัน พวกเราจะปฏิเสธคำขอทั้งหมดภายในครึ่งปีของอีกฝ่ายเช่นกัน!”

ฉู่เทียนอีรู้สึกพะอืดพะอม

เขารู้ดีว่าคนพวกนี้น่าจะเดากลุ่มคนที่เข้าข่ายได้แล้ว แต่ว่า… เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับคนพวกนี้?

ถ้าหากยังไม่มีใครระบุตัวเขาได้อย่างชัดเจน เขาก็ไม่ควรเสนอตัวขึ้นเอง ตอนนี้พวกนั้นก็แค่แกล้งทำเป็นเหมือนรู้ และให้คำมั่นสัญญากับสวีหยางอี้ต่างๆ นานา! แต่ที่น่าเหลือเชื่อก็คือ ดูเหมือนสวีหยางอี้จะรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นก็แค่ปากรับพล่อยๆ เท่านั้น

สมควรตายจริงๆ!

“ขอบพระคุณสำหรับความเอ็นดูของทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง วันพรุ่งนี้ ผมจะให้คำตอบทุกท่าน” เมื่อสวีหยางอี้พูดประโยคนี้จบเขาก็ไม่พูดอะไรขึ้นอีก จากนั้นก็พยายามเบ่งเอากระสุนที่ติดอยู่ตรงหน้าอกออก แต่มันก็ไม่ยอมหลุดออกสักที ประหนึ่งมันมีรากงอกก็ไม่ปาน

ความรู้สึกตอนที่ร่างกายไม่มีพลังปราณมันช่างทรมานยิ่งนัก

คำพูดของเขาเปรียบเสมือนเครื่องหมายฟูลสต็อปให้กับศึกแย่งชิงผู้ชนะในครั้งนี้ แม้พวกเขาจะไม่ยอมเพียงใดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ก็คนมันเปี่ยมด้วยความสามารถ จะเล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเสียมารยาทแต่อย่างใด

ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากยื้อไปจนถึงพรุ่งนี้ ข้อเสนอต่างๆ จะต้องมากกว่าวันนี้เป็นหลายเท่าตัว!

“ประตูสู่ขั้นจินตัน…” วัยรุ่นจากตระกูลหวางที่เป็นผู้เสนอยันต์อาคมก่อนหน้านี้เงยหน้าถอนหายใจขึ้นฟ้า ก่อนจะนั่งลงที่ที่นั่งของตัวเอง เขาดูเหม่อลอยเนื่องจากการผิดหวังอย่างหนัก “ผู้ฝึกตนนับล้านต่างทุ่มเทแรงกายแรงใจ แข่งขันแก่งแย่ง เพียงเพื่อไขว้คว้าวาสนานี้…”

“ตอนนี้ ประตูสู่ขั้นจินตันแง้มเปิดอยู่เบื้องหน้าฉันแล้ว แต่กลับไม่ใช่ประตูของพวกเรา…”

“สวีหยางอี้เพียงคนเดียว ทำเอาพวกเราทุกคนหวั่นไหว ดูเหมือนแผนการล็อคผู้ชนะของฝู่หยุนเจินเหรินที่เตรียมการมาสะดิบดี จะใช้ไม่ได้ผล” ผู้นำตระกูลคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “วันพรุ่งนี้… ตระกูลอื่นๆ จะงัดข้อเสนอแบบไหนออกมากันนะ?”

สีหน้าของจู๋เยว่ซีดเหมือนคนจะตาย

เขาไม่นึกว่าสวีหยางอี้จะพูดประโยคนี้ออกมา นั่นมันวิชาเวทของฝู่หยุนเจินเหรินเชียวนะ! ไม่คิดไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ!

นั่นมันจินตันเจินเหริน! ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดเชียวนะเว้ย!

ทำไมกัน?

เขาคิดเป็นร้อยรอบพันรอบก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

ครั้นแล้ว จู๋เยว่ก็หันกลับไปสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนพูดกับผู้ช่วยของตัวเองด้วยเสียหน้าเคร่งขรึม “โทรถามเทียนเต้าว่าสหายสวีต้องการอะไรตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนบ้าง? รวมถึงงานอดิเรกของเขาด้วย”

“คือว่า…” ผู้ช่วยในชุดสูทเรียบหรูพูดขึ้นอย่างลำบากใจ “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น… เมื่อครู่ผมได้ติดต่อไปยังเบื้องบนแล้วแต่ติดต่อไม่ได้ ดูเหมือนสัญญาณจะมีปัญหา”

“เรื่องแบบนี้พอจะเข้าใจได้” หั่วหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงแค่นเสียงหัวเราะขึ้น “ห้าปีเปิดใช้งานหนึ่งครั้ง ไหนจะระบบสายส่งสัญญาณที่ซับซ้อน สาขาย่อยของเมืองเฟิงอี้ไม่มีเงินมาซ่อมบำรุงบ่อยเหมือนกับสาขาย่อยของเมืองโมวตูขนาดนั้นหรอก อีกอย่าง…”

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือแกว่งไปแกว่งมา “ฉันก็ไม่โทรเหมือนกัน จะรีบร้อนไปทำไม”

จู๋เยว่แค่นเสียงหึก่อนหุบปากเงียบ

“คงไม่เกิดปัญหาอะไรด้านบนหรอกใช่ไหม?” อิ่งซาขมวดคิ้วเล็กน้อย

หั่วหยุนมองอิ่งซาราวกับเขาปัญญาอ่อน ผ่านไปสักพักจึงพยักหน้าเหมือนจะคล้อยตาม “อาจจะใช่ อย่างเช่นเกิดเหตุระเบิดอะไรทำนองนั้น เหอะๆ …”

พวกเขาพูดคุยหยอกล้อกันไปพลางๆ เพื่อลดบรรยากาศอันตึงเครียด ตอนนี้พวกเขาได้ถอนตัวออกมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพราะพวกเขาไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการมาอย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ดูเพื่อความบันเทิงแล้วกัน

บนที่นั่งทรงคุณวุฒิ นอกจากคนของสามองค์กรใหญ่ที่ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น ยังมีคนอยู่สองคนที่ใบหน้าไม่ปรากฏรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย

ใบหน้าของฉู่เทียนอีปราศจากสีหน้าอารมณ์อย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งมีเสียงลอยมาจากข้างๆ “ฉู่เทียนอี นายทำเสียเรื่องแล้วล่ะ”

“ฉีหมิงหยาง…” ฉู่เทียนอีไม่หันไปมองหน้ารองผู้อำนวยการฉีแม้แต่น้อย เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “หากตอนนั้น ฉันให้เหล้าแห่งเซียนนายไป ปานนี้จะเกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันคงไม่กล้าลงมืออยู่ดี” รองผู้อำนวยการฉีพูดขึ้นอย่างละอายใจ “อย่างน้อยที่นี่ก็เป็นสาขาย่อยของเทียนเต้า หากนายลงมือ ฉันสามารถแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ได้ แต่ถ้าฉันเป็นคนลงมือเอง ผลลัพธ์มันคงต่างกัน แต่ว่า…”

“ก่อนจะกังวลเรื่องฉัน นายควรกังวลเรื่องคนในตระกูลนายไม่ดีกว่าเหรอ?” รองผู้อำนวยการฉีหัวเราะแหยๆ พลางวางแก้วชาลง พร้อมกับมองฉู่เทียนอีที่ทอดสายมองไปบนสังเวียนอย่างเฉยชา “เจ้าหนูคนนี้ มีพลังที่เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด แถมตอนนี้ยังได้ครอบครองคัมภีร์วิชาเวทแห่งจินตัน เกรงว่าหลังจากนี้อีกหลายสิบปี เขาคงมีชื่อติดอันดับต้นๆ ของรายชื่อผู้ฝึกตนขั้นจู้จี เหอะๆ… คุณฉู่ ฉันคิดว่าคนแบบเขาคงไม่ปล่อยวางเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองแน่ๆ”

ฉู่เทียนอีนิ่งเงียบสักพักใหญ่ก่อนพูดขึ้นอย่างเรียบนิ่ง “หินวิญญาณระดับสูงของแท้หนึ่งก้อน สำหรับการทำให้เขาหายไป”

“ไม่พอ…” ฉีหมิงหยางตอบเสียงขรึม “กำจัดเขาในตอนนี้ ถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยงมหันต์ ของตอบแทนแค่นี้คงไม่คุ้ม”

“งั้นก็พูดออกมาสิ” ฉู่เทียนอียกแก้วชาจิบ “หลังจากนี้สิบปี ฉันไม่อยากได้ยินชื่อเขาอีก”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

“นายกลัวฉันจ่ายไม่ไหวเหรอ?” ฉู่เทียนอียิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น

ยังคงไร้เสียงตอบรับ

เขาหันกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ แต่จังหวะนั้นเอง เขาถึงกับผละตัวออกมาอย่างเร็วพลัน!

ณ บริเวณห่างๆ เขาตอนนี้ ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งคืบ รองผู้อำนวยการฉีประจำสาขาย่อยของเทียนเต้านามว่าฉีหยางหมิง คนที่มีส่วนทำให้การบรรลุตบะของสวีหยางอี้ล้มเหลว ตอนนี้กลับ…

หัวขาดไปแล้ว!

ใบหน้าฉีหยางหมิงยังคงปรากฏรอยยิ้มเรียบนิ่ง ศีรษะที่หลุดออกจากบ่าถูกมือข้างหนึ่งยกชูขึ้น เลือดสดไหลเป็นทาง

ของเหลวสีแดงไหลลงเข้าปากอันสวยอวบอิ่ม จากนั้นก็ล้นออกมาจากมุมปากจนไหลลงตามตัว!

“เธอ!” ฉู่เทียนอีตกใจขวัญกระเจิงจนส่งเสียงร้องออกมา “เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!”

เด็กสาวจิ้มลิ้มสไตล์โลลิ

หน้าตาสวยใสน่ารักยิ่งนัก

ผมสีดำมันวาวระดับเอวทิ้งตัวทอดสยาย นัยน์ตาทรงดอกท้อทั้งสองข้างชุ่มฉ่ำใสวาว คิ้วทรงใบหลิวโค้งมนรับกับดวงตา เธอสวมใส่ชุดกี่เพ้าสมัยราชวงศ์ชิงสีเหลืองสดงดงาม ด้านบนปักลายหงส์สีแดงสยายปีกเตรียมโบยบิน

ผิวของเธอขาวซีดเหมือนคนตาย แต่หน้าอกอวบอิ่มเสียจนหญิงสาวทั่วทั้งสนามทั้งอายไปตามๆ กัน เอวคอดบาง ขาเรียวยาว ดูแล้วเป็นคนที่งดงามดึงดูดคนหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ในเวลาแบบนี้ ฉู่เทียนอีแทบไม่สนใจมาชื่นชมความงามนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทั้งตัว หนาวจนน่ากลัว!

สาวน้อยน่ารักแกว่งหัวของฉีหมิงหยางไปมาราวกับเป็นของเล่น เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนตามตัวตัดกับสีผิวขาวหิมะ ช่างเป็นภาพที่น่าขนลุกพิกล!

ทั้งๆ ที่เลือดค่อยๆ ไหลอาบลงทั่วร่างกาย แต่เธอกลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร มิหนำซ้ำ สีหน้าเธอยังดูเคลิบเคลิ้มมีความสุขราวกับเสพยาเสพติด ใบหน้าอันสวยงามอันยากจะลืมปรากฏความสุขที่แสนจะดื่มด่ำ นิ้วมือขาวนวลทั้งสิบจับศีรษะมนุษย์เล่นไปมาอย่างสนุกสนาน ทว่ากับทำให้ฉู่เทียนอีรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงราวกับทิ่มแทงเข้ากระดูก

สาวน้อยไม่ตอบกลับ ฉู่เทียนอีค่อยๆ ยืดตัวตรง ข้าราชการชั้นสูงอย่างเขาที่เมื่อครู่ยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร บัดนี้ กลับเม้มปากแน่น และพยามยามก้าวถอยหลังไปทีละก้าว

ทั้งศีรษะเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ หมัดทั้งสองกำแน่น ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่ระดับสมบูรณ์ทั้งสองคนที่เขาพามาด้วย บัดนี้วิญญาณไม่อยู่กับร่างแล้ว พวกเขาตายสนิท เสียงฟันกระทบกันดัง “กึกๆ” เขาคิดจะถอยหลังไปต่อ แต่ขาทั้งสองข้างกลับไร้การควบคุม!

นั่นเป็นความน่ากลัวขนานแท้

รู้สึกเหมือนใกล้ตกนรกก็ไม่ปาน!

รอยยิ้มของเทพมรณะที่อยู่ห่างจากตัวเองไม่ถึงสองเมตรชวนให้รู้สึกหนาวเย็นจับใจ

“ตุบ…” ศีรษะมนุษย์ถูกสาวน้อยโยนทิ้งไป ฉู่เทียนอีพลันหยุดฝีเท้าลงทันที เขารู้สึกพะอืดพะอม อยากจะตะโกนออกมาแต่กลับตะโกนไม่ได้ ประหนึ่งมวลแห่งความกดดันแปรสภาพเป็นฝ่ามือที่กำลังบีบคอเขาอยู่

“ช่างเป็นกลิ่นที่ชวนลุ่มหลงเสียจริง” สาวน้อยไม่ได้ใส่รองเท้า ฝ่าเท้าขาวนวลเล็กๆ ค่อยๆ เดินย่องเข้าหาฉู่เทียนอีอย่างสบายใจ สีหน้าปราศจากอารมณ์ ให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้ร่วงที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศช่วงวสันตฤดู หรือไม่ก็ถ้ำอันอ้างว้างในช่วงเหมันตฤดู สำหรับเธอ สิ่งที่เกิดเมื่อครู่เหมือนไม่ใช่การฆ่าคน เป็นแค่การขยี้มดปลวกเล่นๆ เท่านั้น

การที่ขยี้มดปลวกเล่นๆ สักตัว ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?

แน่นอนว่าไม่ต้องมีเหตุผล หากต้องมีเหตุผลจริงๆ ก็คงเป็นเพราะ…

เธอ… หิว

“ฉันเคยเห็นนายจากในโทรทัศน์” สาวน้อยนั่งลงบนที่นั่งของฉู่เทียนอีอย่างหน้าตาเฉย พร้อมกับยกแก้วชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ “ชาดี… เป็นชาต้าหงชั้นดีสินะ? ทั่วทั้งหวาซย่ามีไม่มาก”

เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นคล้ายรับลม ผมของเธอพลิ้วสยาย ดวงตาฉายแววประทับใจขึ้นรำไร “ตลอดหนึ่งร้อยยี่สิบปีที่ผ่านมา… ฉันไม่ได้ลิ้มลองรสชาติดีๆ แบบนี้มานานแล้ว…”

“พวกมนุษย์ทั้งต้อยต่ำ และอ่อนแอ…” เธอลูบแก้วชาเบาๆ และพูดจาเหมือนไม่ได้พูดกับมนุษย์มานานแล้ว “แต่ถึงกระนั้น พวกมนุษย์ก็อุตส่าห์พัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนที่สูงส่งตั้งแต่สมัยโบราณ ก็ยังตัวติดกับพวกมนุษย์…”

“อณูปราณเบาบาง ความเร็วในการเหาะบินของผู้ฝึกตน เมื่อเทียบกับเจ้าสิ่งนั้น… มันเรียกว่าอะไรนะ?” หญิงสาวเอามือเท้าคาง พลันนิ่งเงียบลงสักพักก่อนคลี่ยิ้ม “ใช่แล้ว เครื่องบิน พวกเขาเอาแต่นั่งเครื่องบิน และไม่ยอมเหาะด้วยตัวเอง… ส่วนพวกมดปลวกขั้นเลี่ยนชี่พวกนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง…”

“รากฐานของโลกแห่งการฝึกตนคือผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่หลายแสนคน แต่พวกเขายังอาศัยพวกมนุษย์ธรรมดาอยู่ ส่วนขั้นจู้จี ก็พอพูดได้ว่ายังเหนือกว่าพวกมนุษย์อยู่หน่อย… เฮ้อ… นี่ฉันบ่นอะไรอยู่เนี่ย” ในที่สุดเธอก็เผยรอยยิ้มอันสดใสขึ้นมาสักที

“นี่ รองผู้ว่าการฉู่ ฉันไม่มีเอ่ยปากพูดมาเป็นร้อยปี นายพูดคุยเป็นเพื่อนฉันสักสองสามประโยคไม่ได้เหรอ?”

ตอนนี้ ฉู่เทียนอีเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬทั่วทั้งตัว

ตอนนี้เขาหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าเหตุการณ์ที่ผู้คนอยากจะช่วยสวีหยางอี้แก้แค้นเมื่อครู่อีก!

“อะไรกัน?” ใบหน้าของสาวน้อยเผยแววหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย เธอค่อยๆ ลุกขึ้น “นายไม่เต็มใจคุยกับฉันงั้นเหรอ?”

“อย่าบอกนะ นายก็คิดว่าฉันเป็นบ้าเหมือนกันเหรอ?”

“ศัตรูบุก!!!” ฉู่เทียนอีไม่ได้ตะโกนออกมา แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนชี่สองคนที่อยู่บริเวณนั้น พวกเขาตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียง

“ศัตรูบุก!!! ศัตรูบุก!!! ช่วยรองผู้ว่าการฉู่ด้วย! ศัตรูบุกแล้ว! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!!!”

เสียงตะโกนดังลั่นทำลายความเงียบท่ามกลางสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าลง ทุกคนตื่นตัวขึ้นทันที! โดยเฉพาะผู้ฝึกตนขั้นจู้จีที่ตอบสนองเป็นกลุ่มแรกๆ และเพียงเสี้ยวพริบตา เงาร่างทั้งแปดร่างก็เหาะไปทางฉู่เทียนอีทันที!

ในวันอาทิตย์ทรงกลด มันเกิดเหตุเภทภัย

ตอนนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีทั้งแปดคนระเบิดพลังปราณทั้งหมดออกมาทันที!

สวีหยางอี้ที่อยู่ในกำแพงพลังปราณเบิกตากว้างอย่างเร็วพลัน

ด้านนอกเกิดอะไรขึ้น?

พลังปราณอันรุนแรงทั้งแปดก้อนราวกับเทพปีศาจมาจุติก็ไม่ปาน! เป็นพลังปราณที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะมันอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว!

มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!

ผู้ฝึกตนขั้นจู้จีออกโรงพร้อมกันแปดคนเลยเหรอ?

สวีหยางอี้ไม่สงสัยว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นเลี่ยนแม้แต่น้อย เพราะว่ากลุ่มก้อนพลังปราณที่อ่อนกำลังที่สุด กลับแข็งแกร่งกว่าของเขาหลายเท่าตัว!

ในบรรดาเงาร่างทั้งแปดคนที่อยู่ด้านนอก หวางปู้สือเป็นคนแรกที่พุ่งตัวออกไป!

“หง่างเหง่ง …” ในมือหวางปู้สือปรากฎระฆังสีม่วงขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ รูปทรงดูเก่าแก่ มีแสงสีม่วงแดงเรืองแสงออกมารำไร อัดแน่นด้วยไอสังหารอันรุนแรง เขาพุ่งทะยานออกไปหาสาวน้อยคนนั้นราวกับห่านบิน

ด้านหลังของเขา คือผู้เฒ่าแก่หงำเหงือกที่ใกล้จะเคาะฝาโลงสามคน แต่พลังกดดันวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวพวกเขา กลับเป็นขั้นจู้จีระดับสมบูรณ์!

“สหายสามเกลอก็มากับเขาด้วยรึ…” สาวน้อยอุทานขึ้น “ดูเหมือนจะได้เจอพวกหน้าเก่าๆ อีกแล้ว…”

“ชีวิตคนมันสั้น ความสนุกมันเพิ่งจะเริ่ม ทำไมถึงรีบไล่กันไปตายแบบนี้ล่ะ…”

ด้านหลังของผู้เฒ่าสามคนนั้นคือหั่วหยุน อิ่งซา จู๋เยว่และผู้ฝึกตนไม่ทราบชื่ออีกหนึ่งคน

พัดเปลวไฟและกระบี่แหลมคมทั้งสามเล่มพุ่งเข้าใส่สาวน้อยคนนั้นอย่างรวดเร็ว!

เสียงตะโกนที่อัดแน่นไปด้วยความโมโหของพวกเขาขึ้นดังลั่น!

“เจ้าปีศาจ! ไปตายซะ!”