บทที่ 115.1 คำตอบที่สมบูรณ์แบบ! (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

หลินเฉิงเย่ตั้งอกตั้งใจเขียนคำตอบลงไป

ขณะเดียวกัน ห้องสอบแถวถัดไป เฝิงหลินที่เพิ่งได้รับกระดาษข้อสอบมาพอเห็นดังนั้นก็ทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม

ตอนที่ลิ่วหลังติวหนังสือให้หลินเฉิงเย่ เขาเองก็อยู่ด้วย แต่ก่อนหลินเฉิงเย่กลัวลิ่วหลัง เวลาเขาให้ทำข้อสอบ หลินเฉิงเย่ก็มักจะเอากระดาษคำตอบให้เฝิงหลินดูก่อนถึงจะส่งต่อให้ลิ่วหลัง

ดังนั้นเฝิงหลินเองก็จำเสี้ยวจิงได้ดีเช่นกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากำลังสอบอยู่ เขายังอยากฮัมเพลงออกมาเลย

พอเห็นอย่างนี้แล้ว ข้อสอบด่านแรกก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงไปกว่าข้อสอบพิสดารของเซียวลิ่วหลังเลย

ในขณะที่ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบกันตาลีตาเหลือกจนแทบจะร้องขอชีวิต! เพราะโจทย์ที่ออกไม่ตรงกับที่เก็งไว้

แต่ถึงกระนั้นแล้ว ผู้เข้าสอบที่มาถึงระดับมณฑลได้จะต้องควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ต่อให้ในใจจะโอดครวญแค่ไหน แต่ก็ต้องนั่งทำข้อสอบเงียบๆ ต่อไปจนกว่าจะถึงเวลา

อากาศในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ช่างประหลาดยิ่ง เมื่อวานว่าร้อนแล้ว วันนี้กลับร้อนยิ่งกว่า

ห้องสอบเป็นสถานที่ปิด ไม่มีลมพัดผ่าน ผู้เข้าสอบแต่ละคนพอนั่งไปสักพักก็เริ่มรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว

ผู้เข้าสอบบางคนถึงขั้นปลดเสื้อปลดกางเกงกันเลยทีเดียว แม้จะกระทบภาพลักษณ์ แต่ก็ไม่ถือว่าผิดกฎ

พอถึงช่วงเที่ยง แสงแดดสาดลงมาที่สนามสอบจนผู้เข้าสอบรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นเนื้อย่างอยู่ในเตาเผา

แล้วจู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้น มีผู้เข้าสอบเป็นลมแดดไปแล้วหนึ่งราย

เป็นท่านชายจากตระกูลสูงส่ง ไม่เคยโดนแดดโดนลม ความอดทนของเขาจึงสู้ผู้สอบคนอื่นๆ ที่มาจากบ้านฐานะยากจนที่ทนร้อนทนฝนได้

ผู้คุมสอบคาดหวังให้เขาฟื้นขึ้นมาเอง เพราะถ้าถึงขั้นต้องแบกตัวออกไปโรงหมอ เท่ากับว่าเขาจะไม่มีสิทธิ์สอบอีก

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กที่เป็นลมคนนั้นไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมา ผู้คุมสอบจึงตัดสินใจส่งเขาไปหาหมอ

โชคร้าย จู่ๆ เขาดันฟื้นขึ้นตอนที่ทหารยามแบกเขาออกมาจนถึงหน้าประตูสนามสอบ เขาร้องไห้อ้อนวอนขอกลับเข้าไปทำข้อสอบต่อ แต่กฎก็คือกฎ แม้แต่ฮ่องเต้เองก็มิอาจฝ่าฝืนได้

ดังนั้นการสอบเคอจวี่ไม่เพียงแค่วัดระดับสติปัญญาและจิตใจเท่านั้น ที่สำคัญเลยคือร่างกายต้องพร้อม มิเช่นนั้นจะไม่สามารถรับกับสภาพการสอบที่โหดเหี้ยมแบบนี้ได้เลย

เรื่องที่เกิดขึ้นทำเอาผู้สอบคนอื่นๆ เริ่มใจเสียและกดดัน แถมอากาศก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนห้องสอบแทบจะกลายเป็นเตาย่างชั้นดีไปแล้ว

ผู้เข้าสอบที่ตอนแรกไม่กล้าถอดเสื้อออก บัดนี้ใครมาห้ามก็ไม่สน ไม่ถอดกางเกงในให้เห็นก็นับว่าบุญโขแล้ว!

เซียวลิ่วหลังเองก็รู้สึกถึงไอร้อนระอุอันแสนทรมานนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาเองก็คงเป็นลมล้มพับไป แต่ที่ผ่านมา กู้เจียวคอยตรวจร่างกายให้เขาอยู่เป็นประจำทุกวัน อีกทั้งยังกำชับให้เฝิงหลินคอยเฝ้าระวังเขาอยู่ตลอด

เดิมทีเขายังคิดอยู่เลยว่าการตรวจร่างกายเป็นภาระ เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาไม่สามารถลบภาพในอดีตที่ฝังอยู่ในใจของเขาได้ และคิดว่าตนเองคงมิอาจกลับมาเป็นปกติได้เหมือนแต่ก่อน

ในวันนี้ตอนนี้เขารู้ซึ้งแล้วว่าที่นางทำไปนั้นไม่สูญเปล่า ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นกว่าเก่าเยอะ

ครึ่งชั่วยามผ่านไป อุณหภูมิในสนามสอบเริ่มปะทุขึ้นกว่าเดิม ผู้เข้าสอบเป็นลมแดดเพิ่มอีกสองราย จนทุกคนเริ่มกระวนกระวาย หัวเริ่มมึนและกระทบการทำข้อสอบ

เซียวลิ่วหลังถอดเสื้อนอกออก แต่ก็ยังไม่พอ จากนั้นพลันไปเห็นกระเป๋าย่ามที่วางอยู่ด้านข้าง

เขาเปิดมันออก แล้วหยิบขวดน้ำมันหอมที่กู้เจียวให้ไว้ขึ้นมา หยดลงบนนิ้วแล้วทาลงไปที่บริเวณหน้าผาก สักพักความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวและร่างกาย เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันใด

อาการกระวนกระวายเริ่มลดลง เขาพยายามทำใจนิ่งแล้วลงมือทำข้อสอบต่อ

พอพระอาทิตย์ลับภูเขาไป อากาศค่อยเริ่มเย็นลง เหล่าผู้เข้าสอบผ่านวันที่ร้อนระอุมาด้วยความยากลำบาก ทุกคนเริ่มฟุบหลับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยจากการทำข้อสอบหรือเป็นเพราะโดนแสงแดดเล่นงานกันแน่

ยังดีที่เซียวลิ่วหลัง เฝิงหลิน และหลินเฉิงเย่ได้ยาดีมาจากกู้เจียว พวกเขาเลยดูไม่อิดโรยเท่าคนอื่นๆ

ด้วยความที่กลางวันอากาศร้อนจัด เลยไม่มีใครอยากอาหารกันสักเท่าไหร่ พออากาศเริ่มเย็นลง ก็เริ่มเกิดอาการหิวขึ้นมา

ที่แย่ไปกว่านั้นคืออาหารที่พวกเขาเตรียมมาโดนอากาศร้อนจัดช่วงกลางวันเล่นงานเสียจนกลายสภาพ!

อาหารที่บูดเน่าส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วสนามสอบ ผู้คุมสอบยกมือขึ้นมาปิดจมูกอย่างอดไม่ได้

สักพักก็มีกลิ่นหอมอบอวลของผลไม้สดใหม่แทรกเข้ามา เป็นกลิ่นส้มนั่นเอง! กลิ่นน้ำมันผิวเปลือกส้มที่กระจายออกมาเวลาปอกเปลือกส้มนั้นช่างหอมสดชื่นเหลือเกิน!

จ๊อก จ๊อก

เสียงท้องร้องดังขึ้น

ทุกเริ่มน้ำลายไหลเพราะกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวจากผลส้ม…

เซียวลิ่วหลังกินส้มไปหนึ่งผล จากนั้นก็คว้าเนื้ออบแห้งและแผ่นแป้งขึ้นมากินต่อ อาหารทั้งสองอย่างทำมาแบบแห้งทั้งคู่ เลยไม่เน่าเสีย ผักดองเองก็เช่นกัน

เขานั่งกินอาหารและเคี้ยวอย่างละเมียดละไม

กลิ่นหอมของเนื้อบวกกับผักดองกระจายไปทั่วสนามสอบ ผู้เข้าสอบเริ่มชักดิ้นชักงอ

ข้อสอบก็ยาก อากาศก็ร้อน ยังต้องมาทรมานกันด้วยกลิ่นหอมๆ เช่นนี้อีกหรือ

นี่มาทำข้อสอบหรือมาเข้าค่ายกันแน่

ใครหน้าไหนมันเอาของกินหอมๆ มายั่วกันแบบนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะห้ามส่งเสียงรบกวนในสนามสอบละก็ พวกเขาแทบอยากจะตะโกนร้องออกไปว่า ‘ลูกพี่ แบ่งมาให้กินบ้างสิ วันหลังขอติดตามเจ้าไปด้วยคนนะ!’

ยังไม่หมด นอกจากเรื่องอากาศร้อนแล้ว อีกปัญหาที่ตามมาก็คือแมลง

ทั้งสามคนมีน้ำมันหอมติดตัวไว้ เลยไม่เจอแมลงมารบกวนตอนนอน ส่วนผู้เข้าสอบคนอื่นที่ไม่ได้หลับได้นอนเพราะมัวแต่นั่งตบยุงจนใต้ตาคล้ำ ปิดยังไงก็ปิดไม่มิด

ยังดีที่วันออกจากห้องสอบ เกิดฝนตกพอดี อากาศเลยเย็นขึ้นบ้าง

และวันต่อมา พวกเขาก็เข้าสอบด่านที่สอง

ด่านนี้จะให้พวกเขาเขียนวิพากษ์หวู่จิง แต่ละบทต้องเขียนขั้นต่ำสามร้อยคำ ในปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบเนื้อหาเรื่องการดำรงชีวิตและอาชีพการงานของผู้คน เช่น อุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของแผ่นดิน การอนุรักษ์น้ำและการเกษตร การแบ่งความรับผิดชอบระหว่างราชสำนักทั้งหกแห่ง เป็นต้น

ปีนี้โจทย์คือให้อธิบายข้อดีข้อเสียของการลดศักดินา ผู้เข้าสอบถึงกับหน้าหงายกับโจทย์ปีนี้

เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ คนออกข้อสอบไม่รักตัวกลัวตายหน่อยรึ

ในแคว้นเจา หน่วยงานในคณะราชสำนักเป็นผู้กำหนดคำถามสำหรับการสอบประจำปี แล้วจึงส่งมอบให้ฮ่องเต้เพื่อตรวจสอบ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว จากนั้นจะบรรจุหีบห่อและส่งไปยังหัวเมืองใหญ่ๆ

ข้อสอบที่ออกโดยราชสำนักจะเป็นรูปแบบเดียวกันหมด ยกเว้นว่าเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดบางอย่าง เช่น ข้อสอบรั่ว ข้อสอบเสียหาย และอุบัติเหตุอื่นๆ ดังนั้น ราชสำนักมักจะเตรียมโจทย์ข้อสอบไว้แปดชุด

หัวหน้ากรรมการคุมสอบจะเป็นผู้สุ่มเลือกโจทย์ในข้อสอบขึ้นมา และยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ทุกหัวเมืองจะได้ข้อสอบชุดเดียวกันหมด

แต่ครั้งนี้ พวกเขาดันสุ่มได้โจทย์ข้อสอบที่ยากและหินที่สุด

ผู้เข้าสอบครั้งนี้มีหลากหลายตั้งแต่คนที่เพิ่งสนามแรกอย่างเซียวลิ่วหลัง ไปจนถึงผู้เข้าสอบที่สอบมาแล้วหลายปีจนผมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว

แต่ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ด่าน ทุกคนต่างก็ดูออกว่า ข้อสอบปีนี้นั้นไม่ง่ายเอาเสียเลย…

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้เข้าสอบจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบคำถามให้ถูกใจกรรมการสอบ ด้วยเหตุนี้ ทุกปีจึงมีผู้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากเพื่อสอบถามเกี่ยวกับที่มาและเรื่องราวชีวิตของกรรมการสอบ

แต่ปัญหาของโจทย์นี้ก็คือ เรื่องลดศักดินาไม่นับว่าเป็นเรื่องปากท้องของชาวบ้าน พวกเขาเลยมิอาจเก็งข้อสอบอย่างปีก่อนๆ ได้ ขึ้นอยู่กับท่าทีของราชสำนัก

หากราชสำนักต้องการให้มีการลดศักดินาขึ้น ผู้เข้าสอบที่ตอบไปในทางต่อต้านการลดศักดินาก็อาจได้คะแนนน้อย ไม่เช่นนั้นคงได้เกิดเรื่องใหญ่ไปถึงราชสำนักไม่ก็ฮ่องเต้แน่นอน

หลังจากเรื่องที่ราชสำนักยอมรับตระกูลหลิน พวกเขาก็เข้าใจตรงกันว่าราชสำนักมีท่าทีต่อเรื่องศักดินากษัตริย์อย่างไร อย่างน้อยในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเรื่องลดศักดินาเกิดขึ้นแน่นอน

ทุกคนจึงพยายามโอนเอนไปที่ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด โดยการอธิบายถึงข้อเสียของการตัดทอนสถานะข้าราชบริพารและสนับสนุนนโยบายในปัจจุบันของราชสำนักอย่างจริงจัง

แต่เซียวลิ่วหลังกลับไม่มองเช่นนั้น เขาเขียนลงไปอย่างมั่นใจการลดทอนศักดินาจะต้องเกิดขึ้นให้ได้!

ส่วนข้อสอบด่านสุดท้ายคือการเขียนปากู่เหวิน เข้าสอบในวันที่สิบสี่

ปากู่เหวินคือจุดอ่อนของหลินเฉิงเย่ เขาไม่เคยได้คะแนนดีในส่วนนี้เลย

พอได้เห็นโจทย์ปากู่เหวินในครั้งนี้ กลับรู้สึกว่าไม่ได้ยากไปกว่าข้อสอบที่เซียวลิ่วหลังเคยออกแต่อย่างใด

แถมเซียวลิ่วหลังยังสอนวิธีลับในการเขียนปากู่เหวินให้เขาอย่างดี ซ้ำยังให้เขาท่องจำประโยคสวยงามที่จะต้องได้ใช้ในการเขียนเพื่อเอาใจกรรมการสอบ แม้จะไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง แต่พอใส่เข้าไปก็ทำให้ปากู่เหวินดูน่าอ่านและมีระดับขึ้นมาทันควัน

พอได้วิชาจากเซียวลิ่วหลังมาแล้ว เขาก็ลงมือทำข้อสอบอย่างไม่ลังเล!

ก็แค่พรรณนาทั่วไปนั่นแหละนา!

ลิ่วหลังเคยบอกไว้ว่า อะไรที่ไม่เข้าใจ ให้พรรณนาไว้ก่อน อย่าเว้นว่างเด็ดขาด!

หลินเฉิงเย่รู้สึกครั้งนี้เขาเขียนออกมาได้อย่างไหล่ลื่นกว่าครั้งไหนๆ แม้จะได้คะแนนไม่สูงมาก แต่อย่างน้อยก็ทำข้อสอบผ่าน

การสอบทั้งสามด่านสิ้นสุดลง ผู้สอบต่างผอมซูบลงไปถนัดตา ผู้ดูแลโจวมารอพวกเขาที่หน้าประตูสนามสอบตั้งแต่เช้า

พอเห็นแต่ละคนเดินออกมาด้วยท่าทางผอมซูบและอิดโรย ผู้ดูแลโจวเริ่มเป็นกังวล

สักพักทั้งสามหนุ่มก็เดินออกมา

เซียวลิ่วหลังมักจะดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนเสมอ และมักจะถูกมองเห็นก่อนเป็นคนแรก

ผู้ดูแลโจวเห็นเซียวลิ่วหลังก่อน ถึงจะมองเห็นหลินเฉิงเย่ที่เดินตามมาด้านหลัง

ประโยคแรกที่ผู้ดูแลโจวคิดไว้ว่าจะอุทานออกมาก็คือ ‘ท่านชาย ผอมลงไปเยอะเลย’ แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่คิด

เอ่อ…ไฉนท่านชายอ้วนท้วนขึ้นได้ล่ะเนี่ย

เป็นเพราะผู้เข้าสอบดูผอมซูบเกินไปต่างหาก พวกเขาสามคนเลยดูมีน้ำมีนวลกว่าใครเพื่อน

“ท่านชาย เป็นอย่างไรบ้าง ทำข้อสอบได้หรือไม่ ด่านก่อนๆ ท่านชายไม่ให้ข้าน้อยมารอ ข้าน้อยอัดอั้นตันใจเหลือเกิน แล้วเหตุใดคนอื่นๆ ถึงทำหน้าบอกบุญไม่รับเช่นนั้นล่ะ!”

“กลับไปค่อยว่ากัน” หลินเฉิงเย่เอ่ย

ผู้ดูแลโจวมองไปรอบๆ และเพิ่งจะสำเหนียกได้ว่าตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะพูดเรื่องข้อสอบ

หลินเฉิงเย่ทำหน้าเบิกบานพลางเอ่ยกับเฝิงหลิน “ในที่สุดก็สอบเสร็จเสียที ลำบากพวกท่านแย่เลย พวกเขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเราไว้แล้ว ขอเชิญพวกท่านทั้งสองกลับไปที่จวนกับข้าด้วยเถิด”

เฝิงหลินในใจอยากจะไปยลโฉมจวนของตระกูลหลินอันสูงส่งเสียหน่อย แต่เซียวลิ่วหลังดันเอ่ยปฏิเสธออกไปเสียก่อน “ไม่ล่ะ ข้าต้องรีบกลับเรือน ขออภัยที่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วย น้ำใจของนายใหญ่หลินข้าขอรับไว้ วันข้างหน้าไว้มีโอกาสพวกเราคงได้เจอกันอีก”

“อ่าว…”

“อ่าว…”

ทั้งหลินเฉิงเย่และผู้ดูแลโจวต่างพากันทำหน้าสลด

โดยเฉพาะหลินเฉิงเย่

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพอเขาสอบเสร็จต้องรีบกลับ แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้

แม้ช่วงที่ติวหนังสือกับเซียวลิ่วหลังเรียกได้ว่ามีแต่ความทรมานทั้งกายและใจ แต่พอได้เข้าไปสอบแล้ว เขาถึงระลึกได้ว่า นั่นคือหนึ่งในช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขา

“เจ้า…กลับ…ดึก…หน่อย…ก็ได้ เดี๋ยว…ข้า…ไปส่ง…เอง” อาการพูดติดอ่างของหลินเฉิงเย่กำเริบอีกครั้ง

สีหน้าของเขาเริ่มไม่สู้ดี แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

เซียวลิ่วหลังไม่ได้แสดงสีหน้าอันใดออกมา ยังคงทำหน้านิ่งและวางตัวสุขุมตามเดิม พลางเอ่ยกับเขา “ไม่ต้องหรอก เจ้าจากบ้านมานานขนาดนี้ รีบกลับบ้านเถิด”

เฝิงหลินรู้สึกตงิดใจ ไฉนวันนี้ลิ่วหลังพูดจารื่นหูขนาดนี้ได้ล่ะ

พอมาคิดๆ ดูแล้ว ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเยอะเลยเมื่อเทียบกับปีก่อน

หลินเฉิงเย่มิอาจโน้มน้าวให้พวกเขาอยู่ต่อ แต่ช่วงที่ผ่านมาเขาเองก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเขา แม้ดูเผินๆ เซียวลิ่วหลังจะเป็นคนเย็นชา จริงๆ แล้วข้างในเขาเป็นคนอ่อนโยน แต่กระนั้น เขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงไม่ยอมไปที่จวนของเขา

ผู้ดูแลโจวหัวเราะ พลางเอ่ย “ท่านชายหกขอรับ ลูกพี่ลูกน้องของท่านก็มาร่วมงานด้วยนะขอรับ ยังฝากบอกมาด้วยว่าจะพาท่านชายออกไปเที่ยวเล่นหลังสอบเสร็จด้วยขอรับ!”

หลินเฉิงเย่ไม่ชอบขี้หน้านางที่สุดเลย!

เซียวลิ่วหลังและเฝิงหลินกลับมายังโรงเตี๊ยม

ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป เฝิงหลินเอ่ยถามขึ้น “จะรอคะแนนออกก่อนแล้วค่อยกลับไหม”

กว่าคะแนนจะประกาศต้องใช้เวลาเกือบครึ่งเดือน

“ไม่จำเป็นหรอก เดี๋ยวทางตำบลเขาก็ประกาศออกมาอยู่แล้ว” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงเบา

“ก็ได้” เฝิงหลินพยักหน้า แม้เขาจะอยากรู้คะแนนจนใจจะขาด แต่ดูท่าเซียวลิ่วหลังคงอยากกลับบ้านใจจะขาดเช่นกัน

สงสัยจะคิดถึงเจียวเหนียงสินะ

หึหึหึ เจ้าบ้าเอ๊ย