บทที่ 145 ยังไม่รีบอุ้มข้าขึ้นอีก

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวไม่รู้จักเลยสักนิดว่าอะไรที่เรียกว่า คำนินทานั้นน่ากลัว และไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง จึงได้พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

ถึงแม้ที่นี่จะเป็นประตูใหญ่ของจวนอ๋องเจ็ด แต่อย่างไรเสียก็อยู่บนถนนใหญ่ มีผู้คนสัญจรไปมาไม่น้อย เมื่อได้ยืนคำพูดนี้ ทุกคนต่างผงะไป และหันมองประตูใหญ่ของจวนอ๋องเจ็ดโดยไม่รู้ตัว

ทว่า ความน่าเกรงขามของจวนอ๋อง เพียงแค่องครักษ์ที่ยืนอยู่ตรงประตู ก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนตาดำ ๆ เหล่านี้ กลัวจนตัวแข็งได้แล้ว

เนื่องจากคนเหล่านี้ ถึงแม้ไม่อาจเห็นได้ชัดเจนว่า พระชายาที่ตะโกนคำพูดนี้ออกมามีหน้าตาเป็นเช่นไร แต่กลับจดจำประโยคที่น่าตกใจนั้นได้อย่างขึ้นใจ

คนเหล่านี้พูดต่อกันไปปากต่อปาก ไม่ช้าทุกคนก็รู้เรื่องนี้ แต่เป็นเพราะมีการบอกต่อกันไปปากต่อปาก ทำให้ต้นฉบับที่ลือกันออกไปไม่เหมือนเดิม

“เฮ้อ เมื่อครู่ตอนข้าอยู่ตรงประตูของจวนอ๋องได้ยินว่า ท่านอ๋องข่มขู่พระชายา ว่าหากออกไปข้างนอกตามใจชอบอีกจะหักขาทิ้งเสีย พระชายาจึงตัดสินพระทัย แล้วตรัสว่า จะยอมเป็นคู่รักที่น่าเวทนาร่วมกับท่านอ๋อง”

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

“ได้ยินมาบ้างหรือยัง ? พี่สาวบุญธรรมของคุณชายรองของตระกูลลุงของเพื่อนบ้านข้าได้ยินมาว่า พระชายาทรงปีนกำแพง แล้วถูกท่านอ๋องจับได้ ท่านอ๋องตรัสว่าครั้งนี้จะไม่เอาความ เพียงแต่สังหารผู้ชายคนนั้นแล้ว หากมีครั้งหน้า ก็จะหักขาของพระชายาทิ้งเสีย”

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

“พวกเจ้าได้ยินมาบ้างหรือยัง ? พระชายาอ๋องเจ็ดปีนกำแพง ถูกอ๋องเจ็ดหักขาทิ้งแล้ว !”

ส่วนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสอง กลับเดินเล่นอยู่ในสวนด้วยกัน ด้วยสภาพที่สมบูรณ์

เฟิ่งชิงหัวหันมองชายหนุ่ม ที่ถึงแม้จะค่อย ๆ เยื้องย่าง แต่กลับไม่หยุดฝีเท้าลงเลยแม้แต่น้อย และอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า : “ท่านเดินเช่นนี้ ไม่เจ็บหรือ ?”

จากการรักษาของนางในครั้งก่อน ถึงแม้นางจะช่วยเอาสกัดพิษเอาไว้แล้ว แต่พิษที่อยู่ด้านในก็ยังไม่ได้สลายไปโดยสิ้นเชิง พิษเหล่านั้นยังคงสะสมอยู่ที่ขาทั้งสองข้างของเขา และกดทับเส้นประสาทอยู่ ทำให้ขาทั้งสองข้างของเขา ไวต่อความรู้สึกมากกว่าคนปกติเป็นพันเท่า ทุกก้าวที่เดิน เหมือนกำลังเดินอยู่บนปลายมีดที่แหลมคมอย่างไรอย่างนั้น

แต่เมื่อเห็นท่าทางของจ้านเป่ยเซียว กลับดูเหมือนคนปกติที่ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ

จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “ยังทนได้”

เฟิ่งชิงหัวถามย้ำอีกครั้ง : “จริงหรือ ?”

“อืม” ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ : “แค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น”

ทันทีที่พูดจบ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เขาคุกเข่าทั้งสองข้างลงไปบนพื้นหินอ่อนทันที ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น

เฟิ่งชิงหัวยืนกอดอกอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า : “ข้าเพิ่งพูดอยู่หยก ๆ ว่าอย่าฝืน ข้ายังคิดว่าท่านเป็นคนเหล็กเสียอีก ความรู้สึกก่อตัวขึ้นจากความเจ็บปวด”

หน้าผากที่แต่เดิมเกลี้ยงเกลาของจ้านเป่ยเซียว ปรากฏเม็ดเหงื่อที่ละเอียดขึ้นมาเต็มไปหมด จากนั้นจึงไหลมาบรรจบกันที่ศูนย์กลาง แล้วหยดลงบนแผ่นหินอ่อน

เฟิ่งชิงหัวโน้มตัวลงจับชีพจรให้เขา และเข้าใจในทันที : “ข้าว่าแล้วทำไมวรยุทธ์ของท่านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่แท้ก็เป็นเพราะกินลูกกลอนจิตพิสุทธิ์ ถึงแม้ของชนิดนี้จะดี แต่มันช่วยระงับพิษได้เพียงชั่วคราวและช่วยให้วรยุทธ์ของท่านฟื้นฟูมาได้หนึ่งในสิบ แต่หากทั้งสองอย่างกลับกัน ทันทีที่ฤทธิ์ยาของลูกกลอนจิตพิสุทธิ์หมดลง พิษก็จะย้อนกลับมาอย่างทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนนี้ท่านรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างไร้ความรู้สึกแล้วใช่ไหม ?”

จ้านเป่ยเซียวหันหน้าโดยไม่พูดอะไร

เฟิ่งชิงหัวส่งเสียงฟึดฟัด : “ยังจะหยิ่งยโสอยู่อีก ขอเคยบอกท่านนานแล้วว่า การถอนพิษจะใจร้อนเกินไปไม่ได้ อุตส่าห์ก้าวผ่านเวลามานานขนาดนี้แล้ว ทำไมจู่ ๆ จึงไม่อาจทนได้แล้วล่ะ ?”

ทันใดนั้น จ้านเป่ยเซียวก็หันหน้ากลับมา แล้วจ้องมองนางตาเขม็ง

เฟิ่งชิงหัวงุนงง : “จ้องข้าทำไม ? หรือว่าข้าพูดผิด ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิ่งชิงหัว แววตาของจ้านเป่ยเซียวก็เปลี่ยนไป จากแววตาลึกซึ้งกลายเป็นแววตากรุ้มกริ่ม แม้กระทั่งน้ำเสียงก็กลับมาอ่อนโยน และค่อย ๆ พูดขึ้นว่า : “ดังนั้น พระชายาของข้า เจ้ายังไม่รีบอุ้มข้าขึ้นมาอีกหรือ ?”