เขาหันไปมองเด็กสาวด้านข้าง เห็นว่าใบหน้านางติดจะเคร่งขรึมไปสักหน่อย มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นโดยไม่รู้ตัว นางยืนลังเลอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าก้าวเข้าไปแม้แต่นิด ดูท่าทางประหม่ามาก
โหลวจวินเหยาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาตบไหล่นางเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เป็นเพียงร่างวิญญาณส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสตินึกคิดหรอก ดังนั้นคงจะพูดไม่ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องประหม่าเช่นนั้น”
ได้ยินแล้วชิงอวี่จึงเงยหน้ามองขา เมื่อเห็นสายตายืนยันสีม่วงที่ส่งตอบกลับมา นางจึงค่อย ๆ เดินเข้าไป
นางย่อตัวลงเล็กน้อย เหลือบมองเศษร่างวิญญาณด้วยความระมัดระวัง สิ่งที่นางเห็นคือบางสิ่งบางอย่างที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ ดังนั้นจึงไม่อาจสอบถามสิ่งใดจากอีกฝ่ายได้เลย แต่ไม่รู้เพราะอะไรภายในใจนางจึงมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้พลุ่งพล่านขึ้นมา
เป็นความรู้สึกใกล้ชิดและความรู้สึกรักกลับพลันพุ่งทะยานขึ้นในใจ เป็นการสัมผัสจิตที่สะท้านถึงวิญญาณ นางพลันคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไรด้วยไม่เคยเสียท่าทีเช่นนี้มาก่อน
บิดามารดานางเมื่อชาติก่อนจากนางไปก่อนที่นางจะได้เห็นพวกท่านด้วยซ้ำ
ดังนั้นนางจึงเติบโตมาภายใต้การเลี้ยงดูอันแสนเข้มงวดของท่านปู่ ท่านปู่ไม่เคยเอ่ยคำห่วงใยอ่อนโยนกับนางเลย มีเพียงสั่งให้นางขยันยิ่งขึ้น พยายามบำเพ็ญตนให้มากขึ้น ดุว่านางด้วยใบหน้าดุร้ายเมื่อนางทำผิด นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดอีก
ดังนั้นนางจึงกลายเป็นคนนิสัยเย็นชา ไม่รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ตอนนางยังเล็ก ยังไม่รู้จักความรู้สึกรักใครที่ชิงเทียนหลินมีต่อนาง นางคงคิดอย่างโง่งมว่าความใส่ใจและการกระทำที่เขามีต่อนางคือความรักความใส่ใจจากคนในครอบครัว
นางยังคงนั่งยองอยู่แบบนั้น จ้องร่างวิญญาณโปร่งแสงที่ดูเปราะบางตาไม่กะพริบ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโหยหาพร่ามัว คล้ายกับมีความรู้สึกท่วมท้นอยู่ภายใน เป็นความรู้สึกที่นางไม่อาจกดข่มไว้ได้
นางยื่นมือไปหมายจะสัมผัส เป็นจังหวะนั้นเองที่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น
กระทั่งนัยน์ตาโหลวจวินเหยายังขยายกว้างขึ้นกับภาพน่าเหลือเชื่อตรงหน้า
ร่างไร้ใบหน้า ร่างวิญญาณที่ไร้จิตนึกคิดคล้ายกับจะมีพลังบางอย่าง มือของนางพลันเคลื่อนขึ้นช้า ๆ กุมมือเด็กสาวที่ยื่นออกมาไว้
มองดูแล้วน่าจะแตะร่างวิญญาณนี้ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ควรจะเคลื่อนผ่านไป แต่พริบตานั้น นางพลันรู้สึกความรู้สึกลึกล้ำฝังแน่นที่ส่งมาจากร่างวิญญาณตรงหน้า
“โหลวจวินเหยา…..” เสียงนางสั่นน้อย ๆ “จะนำร่างนางออกจากที่นี่ได้อย่างไร?”
โหลวจวินเหยาหรี่ตามองนาง จากนางแบมือออก มุกวิญญาณวารีขนาดเท่ากำปั้นเด็กปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นร่างวิญญาณภายในเปลือกหอยก็ลอยเข้าไปด้านในมุกนั่นเอง
“นี่คือมุกฟื้นคืนวิญญาณ ร่างวิญญาณของนางเปราะบางเกินไป ต้องฟื้นพลังอยู่ในนี้” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้น จากนั้นมุกก็ค่อย ๆ จางหายไป
จากนั้นทั้งสองก็ว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ นั่งพักอยู่ในศาลาริมน้ำ ชิงอวี่ก้มหน้าลงมองผิวน้ำสงบนิ่ง ชั่วอึดใจหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาขึ้น “ท่านรู้จักท่านแม่ด้วยหรือ?”
“นางเป็นผู้อาวุโสที่ข้าเคารพนับถือ” โหลวจวินเหยาคลี่ยิ้ม “ข้ารู้จักนางมาเป็นร้อยปีแล้ว”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็มีสีหน้าซับซ้อน “ท่านมีอายุหลายร้อยปีแล้วหรือ?”
แม้จะรู้ว่าอายุขัยของคนบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นยืนยาวกว่า แต่ชายหนุ่มตรงหน้าดูแล้วอายุมากที่สุดก็ยี่สิบปีเท่านั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่มีอายุนับร้อยปีเลย
โหลวจวินเหยาทำหน้าประหลาดใจ “แดนเมฆาสวรรค์นั้นต่างจากแดนระดับต่ำอื่น ๆ ดังนั้นอายุขัยคนบนแดนจึงมีมากกว่า หากจำไม่ผิด ท่านแม่ของเจ้าอายุมากกว่าสามร้อยปี ส่วนเจ้า…..”
พูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไป น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นอีกคราฟังดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “นางคงใช้วิชาลับบางอย่างไม่ให้เจ้าเติบโตกระมัง เจ้าควรจะมีอายุอย่างน้อยก็ห้าสิบหกสิบปีได้แล้ว”
ชิงอวี่มีสายตาครุ่นคิด “ห้าสิบหกสิบปี? แต่ท่านแม่….. เมื่อสักสิบปีที่แล้วยังมีชีวิตอยู่เลย”
เยี่ยนซู่เล่าให้นางฟังว่าท่านแม่สิ้นใจจากการคลอดบุตรยาก ตอนนี้นางเพิ่งจะมีอายุสิบสี่เท่านั้น….. ไม่มีเหตุผลเลย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“เป็นกลใช้ลวงตาผู้คนต่างหาก” โหลวจวินเหยาเอ่ยแล้วส่ายหน้าน้อย ๆ “นายหายไปจากแดนเมฆาสวรรค์เกือบร้อยปีแล้ว แล้วเรื่องนั้นจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนได้อย่างไรกัน?”
พริบตานั้นเอง ราวกับภายในจิตใจมีเส้นสายบางอย่างขาดผึง คล้ายกับนางลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
ภายใต้ท้องฟ้าสีเลือด หญิงสาวผู้งดงามอยู่ในชุดสีแดงกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ในอ้อมแขนนางคือเด็กสองคนที่มีใบหน้างดงามเช่นเดียวกัน นางไม่อาจเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน เห็นเพียงริมฝีปากที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มบาง ก่อนนางจะจุมพิตที่หน้าและริมฝีปากเล็กๆ ของเด็กทั้งสองด้วยความอ่อนโยน
“ข้าขอสละพลังบำเพ็ญหนึ่งร้อยปีของข้าและร่างเนื้อของข้าเป็นเครื่องบูชา เพื่อผนึกความทรงจำของลูกน้อยข้า เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของพวกเขา ให้เขาได้เกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ บนโลกใบใหม่ ได้เติบโตใช้ชีวิตอย่างมีความสุขสงบไร้ความกังวลใด”
“ลูกแม่ อภัยให้แม่ด้วยที่ต้องลงมือโหดร้ายเช่นนี้ แม่เพียงหวังว่าพวกเจ้าจะเติบโตมาอย่างปลอดภัย ไม่ต้องจดจำอดีตที่เจ็บปวดอีก”
“แม่ขอโทษด้วย หากชาติหน้ามีจริงแม่จะขอชดเชยความผิดครั้งนี้ให้ แต่ในชีวิตนี้ แม่ไม่อาจทิ้งให้เขาอยู่ตัวคนเดียวได้”
“แม่รักพวกเจ้ามากนะ…..”
ทันทีที่ภาพฉากเหล่านั้นแล่นผ่าน ในหัวชิงอวี่ก็ปวดแทบแยก ภาพเหล่านั้นนางไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่กลับรู้สึกราวกับเกิดขึ้นจริง
เมื่อเห็นนางขมวดคิ้วแน่นและมีเหงื่อเย็นผุดที่หน้าผาก โหลวจวินเหยาก็วางมือข้างหนึ่งลงบนหลังก่อนที่พลังอบอุ่นสายหนึ่งจะไหลผ่านเข้าร่างกายนางไป ช่วยคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง
“ดีขึ้นหรือไม่?” โหลวจวินเหยาถามเสียงเป็นห่วง
ชิงอวี่พยักหน้าเป็นเชิงว่านางดีขึ้นแล้ว
โหลวจวินเหยามองนางแล้วสายตาก็อ่อนโยนลง “เรื่องอาหลานปล่อยให้ข้าจัดการเอง วางใจเถอะ วันหนึ่งเจ้าต้องได้พบนางแน่”
เป็นตอนนั้นเองที่ชิงอวี่นึกขึ้นได้ว่าเขาเรียกท่านแม่ว่าอาหลาน ดังนั้นจึงอดถามขึ้นไม่ได้ “นาง….. ชื่อว่าอะไรหรือ?”
“แม่เจ้ามีแซ่เดียวกับเจ้า คือแซ่ขิง ชิงหลานเฟย”
ชิงหลานเฟย…..
แสดงว่าชื่อก่อนหน้านี้เป็นชื่อปลอมสินะ นางมาเกิดใหม่ครั้งนี้ มีหลายอย่างเปลี่ยนไปจริง ๆ
นัยน์ตาชิงอวี่ส่องประกาย จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาขึ้น “ขอบคุณท่านมาก”
โหลวจวินเหยาชะงักไป “ขอบคุณข้าเรื่องอะไร?”
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำเหล่านี้ออกจากปากจิ้งจอกน้อย ระหว่างพวกเขา นอกจากเรื่องที่นางช่วยชีวิตเขาไว้เมื่อตอนต้น ทั้งยังช่วยเหลือจนเกือบเอาชีวิตตนไปเสี่ยง ทำให้นับว่าไม่ติดค้างสิ่งใดกันอีก ต่างตอบแทนบุญคุณกันไปมา ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำ “ขอบคุณ” เลยสักครั้ง
แต่ครั้งนี้ อาจเพราะอาหลานจึงทำให้นางมีท่าทีต่อเขาอ่อนโยนขึ้นบ้าง
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็เอ่ยเสียงจริงจัง “ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือเรื่องท่านแม่ข้า ความสามารถของข้าในตอนนี้ไม่อาจคืนชีพนางได้ แต่ท่านทำได้ ดังนั้นข้าจึงบอกขอบคุณท่านจากใจจริง”
“เห็นเจ้ามีท่าทางเช่นนี้ข้าไม่คุ้นเคยเลยจริง ๆ” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
ครั้งนี้ชิงอวี่ไม่โต้เขา แต่กลับเอ่ยต่อว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังต้องขอบคุณท่าน หากต่อไปท่านต้องการความช่วยเหลือ หากข้ามีความสามารถช่วยได้ข้าจะช่วยเหลือทุกสิ่งอย่าง”
เขาไม่คิดว่านางจะเอ่ยคำสัญญาออกมาเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดแต่ก็น่ายินดีนัก
แต่เมื่อได้รู้ว่านางเป็นลูกสาวของอาหลานแล้ว เขาก็ยิ่งชื่นชอบนางมากกว่าเดิม แม้จิ้งจอกน้อยตัวนี้จะเจ้าอารมณ์และอารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตามใจนางก็ตาม
อาจเพราะเขาได้เห็นคนมากมายยอมก้มหัวให้ หมายจะเอาใจเขามาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีเป็นยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่คิดใส่ใจ หากเป็นคนอื่นที่กล้าดูหมิ่นเขาถึงเพียงนี้ก็คงตายไปนับร้อยนับพันครั้งแล้ว
ค่ำคืนมืดมิด ลมฤดูใบไม้ร่วมเย็นยะเยือก เหน็บหนาวเสียดลึกถึงกระดูก เด็กสาวสวมเพียงชุดสีขาวบาง ๆ อีกทั้งยังเอวบางร่างน้อย ทั้งสีหน้ายังดูจะเศร้าสร้อย นางในเวลานี้ดูไร้ซึ่งพลังใดจริง ๆ
ก่อนจะรู้ตัว ร่างกายเขาก็ขยับไปเองแล้ว
เขายกมือขึ้นปลดชุดคลุมตัวสีม่วงตัวนอกบนร่าง ก่อนจะคลุมมันบนไหล่เด็กสาว เมื่อสบสายตาเข้ากับนางที่ดูท่าทางประหลาดใจแล้ว เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้างนอกหนาว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
ชิงอวี่เคยได้รับความใส่ใจเช่นนี้จากคนอื่นมาก่อนหรือไร? ดังนั้นนางจึงกระอักกระอ่วน รีบยกมือขึ้นคว้าชุดคลุมบนไหล่ตน คิดจะส่งมันคืนให้ชายหนุ่ม
“ข้าไม่หนาว…..”
“มือเจ้าเย็นราวกับน้ำแข็ง แล้วยังจะบอกว่าไม่หนาวอีกหรือ?” โหลวจวินเหยาพูดขึ้นแล้วกุมหลังมือนางไว้ ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าฉายชัดว่า “เจ้าโกหกตาใสชัด ๆ”
ชิงอวี่ถึงกับสรรหาคำพูดไม่ถูก นางจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไรว่ามันเป็นเพราะนางฝึกวิชาฝังวิญญาณตั้งแต่ยังเล็ก ร่างกายนางจึงหนาวเย็นมาแต่เด็ก? แม้จะเป็นในวันที่แสงอาทิตย์ร้อนระอุ ผิวกายนางก็จะยังเย็นยะเยือกอยู่เช่นนี้แล
นางทำเพียงถอนใจเท่านั้น “ก็ได้ ขอบคุณมาก ข้าจะนำเสื้อไปคืนวันอื่นก็แล้วกัน”
ว่าแล้วนางจึงดึงชุดคลุมให้คลุมร่างแน่นขึ้น ก่อนจะหันหลังเดินออกจากศาลาไป
โหลวจวินเหยาที่อยู่เบื้องหลังยกยิ้มขึ้น “จิ้งจอกน้อย”
“หือ?” ชิงอวี่ชะงักฝีเท้าก่อนจะหันมามองเขา
แรกเริ่มเดิมทีนางต่อต้านชื่อเล่นนี้นัก แต่เมื่อผ่านไปก็ค่อย ๆ ชินชากับการที่ถูกเรียกเช่นนั้น แม้นางจะไม่รู้สึกว่าตนมีส่วนไหนคล้ายจิ้งจอก พวกมันดูแล้วจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเจ้าเล่ห์เจ้ากล แล้วนางเหมือนพวกมันได้อย่างไร?
นางไม่รู้เลยว่าชายหนุ่มพิลึกคนผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่
แสงจันทร์ในคืนนี้ส่องสว่างกระจ่างนัก สว่างจนคล้ายตอนกลางวัน มองเห็นรอบกายได้อย่างชัดเจน
นัยน์ตาเรียวยาวเย้ายวนของเด็กสาวแฉลบสูงขึ้นเล็กน้อย ยามนางจ้องมองเขาเช่นนี้ช่างชวนให้คนหลงใหลคล้ายความงามล่มเมืองล่มแคว้น ไม่อาจหาดวงตามีเสน่ห์เช่นนางได้จากที่ใดอีก แค่สบตาคราเดียวก็ยอมมอบทุกสิ่งอย่างให้ได้
ว่ากันว่านัยน์ตาปีศาจสีม่วงที่เจ้าแคว้นมารถือครองนับว่าเป็นอาวุธร้ายที่น่าเกรงขาม ไม่มีใครกล้าสบตาเขามาก่อน
แต่นัยน์ตายั่วยวนของเด็กสาวผู้นี้ที่ใสกระจ่างไร้กังวลนั้นเป็นมากกว่านั้น สามารถลวงคนมองให้ต้องมนต์โดยไม่ทันรู้ตัว
นางหันมองเขาเงียบงัน รอให้เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดทน และในดวงตางามทั้งสองของนาง ดูจะจ้องมองมาทางเขาไม่มีใครอื่น ใบหน้างามไร้ที่ติภายใต้แสงจันทร์กระจ่างช่างงามชวนฝัน ประทับลงในใจคนโดยง่าย
โหลวจวินเหยาสบถเสียงเบา จิ้งจอกน้อยตัวนี้ยั่วยวนเก่งกาจดั่งจิ้งจอกจริง ๆ ทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นแต่กลับมองเมินกลิ่นอายมีเสน่ห์ที่กำจายออกจากกายนางไม่ได้เลย
เป็นเด็กสาวยังมีเสน่ห์มากเช่นนี้ อีกหลายปียามผลิดอกบานสะพรั่ง บุรุษทั้งหลายคนไม่อาจต้านทานเสน่ห์เช่นนี้ได้ ไม่หรอก อาจไม่ใช่เพียงบุรุษ เขายังไม่ลืมว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยชิงเอาดวงใจหญิงสาวไปมากมายถึงกี่คนยามแต่งกายเช่นบุรุษ
ชิงอวี่จ้องมองชายหนุ่มที่เปลี่ยนสีหน้าไป ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยความฉงน “ท่านจะพูดอะไร?”
มันพูดยากขนาดนั้นเลยหรือ?
สุดท้ายแล้วโหลวจวินเหยาทำเพียงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างไร้หนทางก่อนกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าเพียงอยากบอกว่าหากต่อไปพบปัญหาอะไรก็มาขอความช่วยเหลือจากข้าได้”