บทที่ 18: อ่อนแอ! อ่อนแอเกินไปแล้ว!

หวังเต็งแหวกว่ายไปในทะเลแห่งความรู้จนถึงเวลาเลิกเรียนตอน 17.30 น. ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังปรารถนาที่จะเรียนรู้เพิ่มเติม

เขารู้สึกว่าในชาติที่แล้ว เพราะเขาได้ถูกยกย่องให้เป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวย ไม่อย่างนั้น เขาก็คงจะเป็นนักเรียนที่ดีที่รักการเรียนไปแล้วอย่างแน่นอน

โชคดีที่เขายังคงมีโอกาสในชีวิตนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะพลาดโอกาสในชีวิตที่แล้วไปแล้วก็ตาม

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องกลายเป็นนักเรียนต้นแบบที่มีพัฒนาการด้านคุณธรรม สติปัญญา และร่างกายอย่างรอบด้าน

และเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ หวังเต็งก็รู้สึกมีแรงผลักดันขึ้นมาในทันที

หลังจากเสียงกริ่งของโรงเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกคนก็พุ่งออกจากห้องเรียน หวังเต็งไม่ได้เก็บของของเขา แต่เขาโยนหนังสือเรียนลงในลิ้นชัก

จากนั้นเขาก็ไปพบกับซูเจี๋ย,ไป่เว่ยและหยูห่าว

ทั้งสี่คนไปที่สนามกีฬาด้วยกัน

หวังเต็งมีสีหน้าผ่อนคลายและดูไม่เป็นกังวลใดๆ ในขณะที่ซูเจี๋ย,ไป่เว่ยและหยูห่าวก็ยังคงแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาลังเลที่จะพูดกับหวังเต็ง

ไป่เว่ยรวบรวมความกล้าและยิ้มให้หวังเต็ง เธอกล่าวว่า “ พี่หวังเต็ง เราไปกินข้าวกันก่อนไหม? พอพี่อิ่มท้องแล้วพี่จะได้มีพลังสู้ไง”

“ ใช่ๆ ทำไมไม่กินข้าวกันก่อนล่ะ”

“ หลี่หรงเฉิงมีเวลาว่างตั้งมากมาย พี่สามารถปล่อยให้มันรออีกสักครู่ก็ได้”

“ บางทีมันก็อาจจะไปทานอาหารเหมือนกันด้วยก็ได้”

ซูเจี๋ยและหยูห่าวพยักหน้าเห็นด้วยขณะที่พวกเขาเริ่มเกลี่ยกล่อมหวังเต็ง

“ ???”

หวังเต็งพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำอะไรไม่ถูก “ พวกนายไม่ควรออกกำลังกายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วนะ ไม่งั้นพวกนายก็อาจจะเป็นโรคกระเพาะได้”

“ อ๊ะ!”

ทั้งสามคนตระหนักได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเพิ่งพูดไปนั้นดูโง่เง่าขนาดไหน

“ เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องกังวล หลี่หรงเฉิงอาจจะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงก็จริง แต่มันไม่ใช่คู่ของฉันหรอก” หวังเต็งสามารถบอกได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นห่วงเขา ดังนั้นเขาจึงปลอบโยนพวกเขา

“ พี่หวังเต็ง นี่หรือว่าพี่จะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงไม่ใช่ศิษย์นักสู้ขั้นกลาง?” หยูห่าวถามด้วยความตกใจ

หวังเต็งพยักหน้า

ทั้งสามคนตะลึงงัน

ศิษย์นักสู้ชั้นสูง!

หวังเต็งเป็นศิษย์นักสู้ชั้นสูง!

พวกเขารู้ว่าหวังเต็งเป็นศิษย์นักสู้ แต่ศิษย์นักสู้ขั้นสูงและศิษย์นักสู้ขั้นกลางนั้นเป็นระดับที่แตกต่างกัน

ศิษย์นักสู้ขั้นสูงสามารถสมัครหลักสูตรศิลปะการต่อสู้ได้ พวกเขามีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นนักสู้ในอนาคต ด้วยเหตุนั้นเอง มันจึงทำให้ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับหวังเต็งแตกต่างกันเข้าไปอีก

นี่มันเกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว!

พวกเขาเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกันมาก ตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกเขาทั้งหมดเหมือนกัน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายก็กลับทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

พวกเขาเคยบอกว่าถ้าพวกเขาล้มเหลวพวกเขาก็จะล้มเหลวไปด้วยกัน แต่ตอนนี้เขาก็กลับดีขึ้นอย่างลับๆ

อารมณ์ที่ซับซ้อนผุดขึ้นในหัวใจของพวกเขาในทันที

ไม่นานนัก ทั้งสี่คนก็มาถึงสนามกีฬา

ทุกโรงเรียนมองว่านักเรียนที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้นมีความสำคัญสูง และเพื่อที่จะจัดเตรียมสนามซ้อมสำหรับพวกนักเรียนเหล่านั้น พวกเขาจึงได้ทำการเทพื้นในสนามโดยเฉพาะ

ณ สนามกีฬาชั้นสอง

หลี่หรงเฉิงกำลังยืนกอดอกพิงผนังกำแพง เขาดูใจร้อนมากขณะรอ

หยวนจางหัวยืนอยู่ข้างเขาพร้อมกับน้ำและผ้าเช็ดตัวในมือ เขาดูราวกับคนขี้ประจบประแจง

ซูเจี๋ยรู้สึกว่าเลือดของเขากำลังเดือดด้วยความโกรธเมื่อเขาเห็นการกระทำของหยวนจางหัว

ทำไมชายคนนี้ถึงได้เลือกที่จะเป็นสุนัขของคนอื่นในเมื่อเขาสามารถเป็นมนุษย์ได้?

“ ในที่สุดแกก็มา” หลี่หรงเฉิงหันศีรษะไปและเหล่มองไปที่หวังเต็งด้วยหางตา

“ นายน้อยหลี่ นายมาเร็วจริงๆ โดดเรียนมาหรอ?” หวังเต็งเยาะเย้ย

“ อย่ามาพูดมาก ฉันจะใช้มีด แล้วแกล่ะจะเลือกอาวุธอะไร?” หลี่หรงเฉิงตอบอย่างหมดความอดทน

“ ฉันก็จะใช้มีดเหมือนกัน!”

หวังเต็งเดินไปด้านข้างและหยิบมีดขนาดมาตรฐานมาจากชั้นวางอาวุธ

ตัวใบมีดไม่ได้หนามากและค่อนข้างยาวกว่า มันดูเหมือนว่า ‘Tang Blade’ ในชีวิตที่ผ่านมาของเขา

เขาชั่งน้ำหนักมีดและพบว่ามันเบาไปหน่อย หวังเต็งส่ายหัวอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้เวลาหาอาวุธให้ตัวเองบ้างแล้ว

เขาจะทำอะไรกับสิ่งที่เขามีในตอนนี้!

หวังเต็งถือมีดและเดินไปฝั่งตรงข้ามหลี่หรงเฉิง

ใบหน้าของซูเจี๋ยและไป่เว่ยซีดลงเมื่อพวกเขาเห็นพวกหวังเต็งใช้อาวุธ “ ทำไมพวกเขาถึงใช้อาวุธล่ะ? มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บ?”

“ นายคิดอะไรอยู่? นี่คือการต่อสู้แบบศิลปะการต่อสู้ มันไม่ใช่การเละล่นพื้นบ้านนะ” หยูห่าวสูดหายใจเข้าลึกๆและกล่าว

นี่คือสิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้

“ หวังเต็ง แกมีพลังที่ดี ดังนั้นแกก็น่าจะเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้วถูกไหม”

“ บอกตามตรง ฉันตกใจนะ ทุกคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับแก แกซ่อนมันไว้ได้ดีมากจริงๆ”

“ แต่แกคิดผิดแล้วที่มาท้าดวลกับฉัน” เห็นได้ชัดว่าหลี่หรงเฉิงกำลังดูถูกหวังเต็ง

เขาเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่อายุ 15 ปี เขากลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงในสามปี และในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาก็ฝึกฝนทักษะมีดของเขาเท่านั้น และมันก็ทำให้ทักษะของเขาได้พัฒนาไปสู่ขั้นผู้สัมฤทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่

ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งผยอง

นอกจากนี้เขาก็ยังพบว่ามันเป็นเรื่องตลกที่หวังเต็งกล้าใช้มีดต่อหน้าเขา

“ มาเริ่มกันได้แล้ว” หวังเต็งไม่ได้พูดอะไรมากและตรงไปหาหลี่หรงเฉิงในทันที

“ แน่นอน!” หลี่หรงเฉิงเบิกตากว้างและตะโกนอย่างดุเดือด

เขากระทืบเท้าลงบนพื้น

บึ้มม!

เสียงกระทืบเท้าดังก้องกังวานในห้องโถง มันดูเหมือนจะมีคลื่นปั่นป่วนในอากาศ ในขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็พุ่งตรงเข้าไปหาหวังเต็ง

ในเสี้ยววินาทีนั้น ออร่าที่ดุร้ายก็ทำให้หยวนจางหัว,ซูเจี๋ยและคนอื่นๆตกตะลึง

อย่างไรก็ตาม หวังเต็งซึ่งเป็นฝ่ายตั้งรับการโจมตีก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจแต่อย่างใด

หลี่หรงเฉิงคิดว่าหวังเต็งคงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นมันจึงดูถูกใบหน้าของหวังเต็งมากขึ้น

มันยกมีดขึ้นสูงและฟาดลงอย่าง่ายๆ

ขณะที่มีดกำลังจะแตะร่างของหวังเต็ง เขาก็ขยับไปโดยไม่มีการเตือนใดๆ และปรากฏขึ้นอีกทีทางด้านขวาของหลี่หรงเฉิง

เมื่อใบมีดของเขาตัดผ่านอากาศไปแทนเนื้อ การแสดงออกของหลี่หรงเฉิงก็เปลี่ยนไปในทันที มันบิดร่างกายอย่างแรงและฟันมีดของมันเข้าไปที่หวังเต็งอีกครั้ง

เช้ง!

ใบมีดทั้งสองปะทะกันและก่อให้เกิดประกายไฟ

ปัง!

ก่อนที่หลี่หรงเฉิงจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็รู้สึกเจ็บที่หลังศีรษะและหมดสติไป

“ อ่อนแอ อ่อนแอเกินไปแล้ว!”

หวังเต็งส่ายหัว

ทักษะมีดขั้นพื้นฐาน*20

ความแข็งแกร่ง*12

เขาเก็บฟองสบู่ที่หลี่หรงเฉิงดรอปออกมาและเดินไปทางด้านข้างเพื่อวางใบมีดกลับคืน

เมื่อหยวนจางหัว,ซูเจี๋ยและคนอื่นๆได้สติกลับมา พวกเขาก็จ้องไปที่หวังเต็งขณะอ้าปากค้าง

การปะทะระหว่างพวกเขานั้นดูเรียบง่ายมาก แต่ความเร็วของศิษย์นักสู้ขั้นสูงนั้นก็เกินจริงไปหน่อย ทั้งสี่เห็นแต่อะไรก็ไม่รู้ที่ดูพร่ามัว

ดังคำกล่าวที่ว่า ‘คนวงในรู้เชือก ในขณะที่คนนอกก็แค่มาตามขี่‘

ทั้งสี่คนกำลังดูการแสดงอย่างใจจดใจจ่อ อย่างไรก็ตาม แม้แต่หยูห่าวเองก็ยังไม่ถือว่าเป็น ‘คนวงใน‘

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใจการต่อสู้ได้ มันมีสิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ ซึ่งนั่นก็คือ หวังเต็งเข็งแกร่งมาก

โดยเฉพาะเวลาที่เขาใช้ มันสั้นโครตๆ!

มันนานเท่าไหร่กัน สามวิ? ห้าวิ?”

หลี่หรงเฉิงแพ้ก่อนที่พวกเขาจะทันได้หายใจเข้าออกเสร็จด้วยซ้ำ

พวกเขาเฝ้าดูหวังเต็งขณะที่เขาวางอาวุธกลับที่และเดินจากไป ดูเหมือนเขาจะพึมพำกับตัวเองว่า “ อ่อนแอ อ่อนแอเกินไปแล้ว? นี่มันอ่อนแอขั้นนี้ได้ยังไงกัน?”

ทั้งสี่คนถึงกับพูดไม่ออก

หลี่หรงเฉิงเป็นศิษย์นักสู้ชั้นสูงที่แท้จริง มันเป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของนักเรียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโรงเรียน ทว่าหวังเต็งก็ยังบอกว่ามันอ่อนแอ!

พี่ชาย เราเป็นเพื่อนสนิทกัน ทำไมพี่ต้องหยิ่งแบบนี้ด้วย?

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ยังแสดงให้เห็นโดยอ้อมว่าหวังเต็งนั้นทรงพลังเพียงใด

หลี่หรงเฉิงไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นหวังเต็งต่างหากที่แข็งแกร่งเกินไป

“ กลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ”

หวังเต็งเรียกเพื่อนสามคนของเขาขณะที่เดินลงบันได

ซูเจี๋ย,ไปเว่ยและหยูห่าวรีบตามเขาไป ในอีกด้านหนึ่งหยวนจางหัวก็ถูกทอดทิ้งให้ยืนที่นี่เพียงลำพังกับความงุนงง

เขาไม่กล้าทักทายหวังเต็ง

หวังเต็งคนนี้ไม่ใช่หวังเต็งคนเดียวกับที่เขารู้จักอีกแล้ว

ตอนนี้เขารู้สึกกลัวหวังเต็งมากเป็นการส่วนตัว

เขาได้ทรยศต่อหวังเต็ง ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงจบลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์

และทันทีที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ หยวนจางหัวก็รู้สึกกังวลขึ้นมาในทันที เขามองไปที่หลี่หรงเฉิงที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น

จากนั้นความเสียใจก็ปรากฎในหัวใจของเขาในทันที …