ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่พวกนากากำลังรู้สึกตกใจกับคำเตือนของชิโยะผู้เป็นเทพมังกรและหนึ่งในหกเทพพิทักษ์ธาตุดินอยู่นั้นเอง ทางด้านโรงเรียนรีมินัสเองก็ได้มีร่างของอลิซที่กำลังยืนอยู่ที่ริมขอบสนามหญ้าดั่งเช่นที่เธอทำในทุกครั้งที่มีจัดการทดสอบ ในขณะที่ข้างกายเธอนั้นก็มีคาร์เทียร์ที่รับหน้าที่หน่วยพยาบาลควบกับหน่วยรักษาความปลอดภัยนั่งกอดเข่าเฝ้าดูการทดสอบของนักเรียนทั้งสองคนในวันนี้อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
 

ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเธอนั้นก็คือภาพของมายะที่กำลังสะบัดไม้คทาเหล็กติดคริสตัลแบบพับได้ไปมาพลางพุ่งตัวถอยหลังหนีจากอัลเบิร์ตผู้เป็นคู่ต่อสู้ของเธอ

 

ซึ่งถึงแม้ว่าการโจมตีของมายะนั้นจะทำให้เกิดกระสุนน้ำก้อนกลมจำนวนมากพุ่งเข้าใส่อัลเบิร์ตอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าทางด้านอัลเบิร์ตนั้นก็กลับสามารถใช้มีดสั้นของเขาเข้าปัดป้องมันได้เสียหมดจนทำให้ตัวเขาที่เป็นคนชอบการต่อสู้ถึงกับต้องทำน้าเบื่อหน่ายออกมาเพราะว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นมันแทบจะไม่ได้ต่างอะไรจากการรังแกคนไร้ทางสู้เลยแม้แต่น้อยและตัดสินใจที่จะพุ่งตัวเข้าไปปิดฉากในทันที

 

“พอแค่นี้เลยแหล่ะ!”

 

“ว๊าย—!?”

 

เคล๊ง!!

 

ถึงแม้ว่ามายะจะสามารถสะบัดไม้คทาอันเล็กของเธอเข้ารับการโจมตีของอัลเบิร์ตได้อย่างคล่องแคล่วจนทำให้เขาเผยสีหน้าแปลกใจออกมาที่มีดของเขาถูกหยุดเอาไว้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านมายะก็กลับไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นและรีบถอยร่นระยะออกไปด้วยท่าทีลนลานและสะบัดไม้เท้าของเธอไปมาเพื่อสร้างกระสุนน้ำเข้าโจมตีอีกครั้งจนดูราวกับว่าเป็นภาพฉายซ้ำตอนเริ่มการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง

 

และนั่นก็ทำให้อลิซที่ยืนใช้ยูนิตสำหรับบันทึกภาพอยู่ที่ข้างๆ คาร์เทียร์ต้องพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ และขยับมือของเธอเขียนจดสิ่งที่เกิดขึ้นมาลงไปในกระดาษอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยหน่ายใจก่อนที่ทันใดนั้นเองจะมีเสียงของเอริกะดังขึ้นมาให้พวกเธอได้ยิน

 

“ดูเหมือนคู่นี้จะไม่ค่อยสูสีกันสักเท่าไหร่เลยเนอะว่ามั้ย~”

 

“เฮ้อ… แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเลือกพลาดไปหรอกนะ…”

 

อลิซถอนหายใจพูดตอบเอริกะที่เดินถือลังกระดาษขนาดพอประมาณเข้ามายืนข้างๆ กัน กลับไปในขณะที่ทางด้านคาร์เทียร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นก็ได้ค้อมหัวให้กับเอริกะเล็กน้อยโดยไม่ได้ละสายตาออกมาจากการต่อสู้เลยแม้แต่น้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองคลาดสายตาไปจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในการสอบ

 

ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านอลิซเหมือนกับจะขอคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องที่เธอพูดขึ้นมาจนทำให้เด็กสาวต้องเอ่ยปากพูดอธิบายขึ้นมาเพิ่มเติม

 

“เท่าที่ฉันสังเกตดูแล้วมันไม่ใช่ว่ามายะสู้กับคนอื่นไม่เป็นหรอก แต่ที่เห็นว่าสู้แทบไม่ได้เลยแบบนี้นี่น่าจะเป็นเพราะว่าไม่กล้าจะสู้กับเพื่อนของตัวเองมากกว่านะ เพราะเมื่อกี้นี้ก็เห็นรับมีดของอัลเบิร์ตได้สบายๆ เลยนี่…”

 

“แต่ว่าวิธีการใช้วิซของพี่เขาดูไม่ค่อยจะเหมาะกับการใช้ต่อสู้สักเท่าไหร่เลยนะคะ ถ้าเกิดว่าจะต้องมาสู้กับซึ่งๆ หน้าตัวต่อตัวแบบนี้ก็น่าจะหาอาวุธแบบอื่นเตรียมไว้ก่อนสักหน่อยก็น่าจะดี…”

 

ในขณะที่อลิซกำลังพูดอธิบายขึ้นมาอยู่นั้นเองทางด้านคาร์เทียร์ก็ได้เอ่ยปากพูดวิจารณ์การต่อสู้เบื้องหน้าขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน และสิ่งที่เธอพูดขึ้นมานั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะว่ากระสุนน้ำทรงกลมที่มีแต่แรงกระแทกนั้นมันไม่น่าจะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้สักเท่าไหร่เลย

 

ซึ่งคำพูดวิจารณ์ของคาร์เทียร์นั้นก็ได้ทำให้อลิซต้องเหลือบตาไปมองเด็กสาวเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมา

 

“มันก็ดูไม่ค่อยเหมาะอย่างที่เธอว่ามานั่นแหล่ะคาร์เทียร์ ว่าแต่เธอสนใจเรื่องการต่อสู้แบบนี้ด้วยงั้นหรอ นึกว่าจะสนแต่เรื่องการรักษาอะไรพวกนั้นซะอีกนะ…”

 

“ตอนนี้ต่อให้ไม่สนก็ต้องสนบ้างแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าหนูต้องมานั่งดูการสอบแล้วก็มาเป็นคนคอยห้ามพวกพี่ๆ เขาแบบนี้น่ะสิคะ”

 

“อื้ม… นั่นสินะ…”

 

คำตอบของคาร์เทียร์นั้นได้ทำให้อลิซต้องผละมือออกจากปากกาในมือเพื่อยื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กสาวที่ตัวสูงกว่าเธอเล็กน้อยเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองอลิซจะสังเกตเห็นว่าในบัดนี้มายะได้ถอยกรูดไปจนแทบจะถึงอีกฝั่งหนึ่งของสนามหญ้าแล้วเธอจึงต้องรีบยกมือขึ้นมาป้องปากและส่งเสียงร้องบอกทั้งสองคน

 

“หยุดมือได้แล้ว! เก็บอาวุธแล้วเดินกลับมาตรงนี้มา!”

 

“ได้ยินแล้ว! / ค…ค่ะ…”

 

อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำสั่งของอลิซนั้นได้หยุดมีดสั้นของเขาที่กำลังจะเข้าปะทะกับไม้คทาในมือของมายะและพูดตอบกลับมาเสียงดังในขณะที่มายะนั้นได้พูดตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกักตามประสาของเธอก่อนจะรีบเดินตามหลังอัลเบิร์ตกลับมารวมกลุ่มกับพวกอลิซ

 

ส่วนทางด้านเอริกะที่เห็นว่าการสอบถูกยุติลงไปแล้วนั้นก็ได้ลดตัวลงไปนั่งอยู่ที่ข้างๆ คาร์เทียร์และเอ่ยปากชวนเด็กสาวพูดคุยขึ้นมา

 

“เห็นไดเอน่าจังบอกว่าเธอกับซึบากิจังจับกลุ่มกันออกไปค้นหาตัวอารอนเขาเหมือนกันสินะจ๊ะ”

 

“ค่ะ ก็ตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่พี่ไดเอน่าเขาสั่งให้หนูพาซึบากิจังไปค้นหาที่คลินิกนั่นแหล่ะค่ะ”

 

“งั้นหรอ… ว่าแต่เห็นเธอสนิทกับซึบากิจังเขาแบบนี้แล้วเธอได้เล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังไปบ้างหรือยังน่ะ”

 

เอริกะพูดถามคาร์เทียร์ขึ้นมาพร้อมมองตรงไปที่ดวงตาข้างซ้ายของคาร์เทียร์ราวกับจะสื่อว่าคำถามของเธอนั้นหมายความว่าเด็กสาวได้บอกเรื่องในอดีตเกี่ยวกับเรื่องดวงตาของเธอหรือว่าเรื่องชื่อที่แท้จริงให้ใครฟังไปบ้างแล้วหรือยังจนทำให้คาร์เทียร์ต้องรีบพูดตอบกลับไป

 

“ก็ยังไม่เคยเล่าอะไรให้ใครได้ฟังหรอกค่ะ… แถมซึบากิจังเขาก็สนแต่เรื่องของพี่อารอนด้วย ขนาดหนูบอกว่าอย่าเข้าไปค้นห้องนอนของพี่อารอนแล้วเขาก็ยังไม่ฟังแล้วล็อกประตูเข้าไปค้นข้างในอยู่คนเดียวอีกต่างหาก”

 

“ซึบากิจังเขาทำอย่างนั้นหรอ? เอ… แต่ถ้าเป็นเหมือนเด็กคนนั้นจริงๆ ก็คงจะไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ล่ะมั้งนะ…”

 

“แต่ว่าห้องนั้นมันห้องนอนของหนูกับพี่อารอนเขานะคะ…”

 

คาร์เทียร์ที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้ทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจและพูดบ่นออกมาเบาๆ และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นท่าทีไม่พอใจของเด็กสาวได้ล้มเลิกความคิดที่จะพูดแหย่อีกฝ่ายและเอ่ยปากพูดสอบถามเพิ่มเติมขึ้นมา

 

“ว่าแต่แล้วซึบากิจังเขาได้เจออะไรที่น่าจะเป็นเบาะแสได้บ้างหรือเปล่าล่ะ?”

 

“ไม่มีเลยค่ะ เพราะถ้าพี่อารอนเขาทิ้งอะไรเอาไว้ในห้องนอน หนูที่นอนอยู่ในห้องนั้นทุกวันก็ต้องเจอไปตั้งนานแล้วใช่มั้ยล่ะคะ… ในห้องนอนนั่นมีแต่พวกหนังสือเกี่ยวกับตำนานของหกเทพพิทักษ์หรือไม่ก็พวกตำราแพทย์เท่านั้นแหล่ะค่ะ…”

 

คาร์เทียร์ที่ยังคงทำหน้ามุ่ยอยู่ได้พูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ยังคงฟังดูไม่ค่อยจะพอใจนักอยู่ดีที่ห้องนอนส่วนตัวของเธอกับพี่อารอนถูกรุกล้ำโดยคนนอกอย่างซึบากิ

 

แต่ว่าทันใดนั้นเอง อยู่ๆ คาร์เทียร์ก็ได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทาบแก้มและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ออกจะขึ้นสีเล็กๆ

 

“แต่พูดก็พูดไปนะคะ… ตอนที่พี่อารอนหยิบอาวุธแล้วก็เดินออกไปจากคลินิกด้วยสีหน้าจริงจังเมื่อตอนนั้นน่ะดูเท่สุดๆ ไปเลยล่ะค่ะ ที่ผ่านมาหนูเคยเห็นพี่เขาทำแบบนั้นแค่ครั้งเดียวก็ตอนที่พี่เขาถืออาวุธออกไปปกป้องพวกเราที่บ้านหลังเก่านั่นเอง…”

 

“………..”

 

คำพูดของคาร์เทียร์นั้นได้ทำให้เอริกะชะงักนิ่งไปในทันทีก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากอลิซที่ยืนคุยกับมายะและอัลเบิร์ตอยู่เพื่อหันกลับมาจ้องมองคาร์เทียร์ด้วยความแปลกใจ เพราะคำว่าบ้านหลังเก่าที่เด็กสาวพูดถึงนั้นก็ควรจะหมายถึงคฤหาสน์ของเวก้าที่ในตอนที่เด็กสาวอยู่ที่นั่นเธอยังไม่ควรจะได้รู้จักกับอารอนเลยซะด้วยซ้ำ

 

แต่ว่าทันใดนั้นเองอยู่ๆ เอริกะก็คิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างขึ้นมาได้ และนั่นก็ทำให้เธอต้องรีบพูดถามคาร์เทียร์ขึ้นมา

 

“บ้านหลังเก่าที่เธอพูดถึงนั่นหมายถึงคฤหาสน์รีวิซงั้นหรอคาร์เทียร์จัง? ไม่ใช่ว่าตอนที่เธออยู่ที่นั่นเธอยังไม่รู้จักกับอารอนเขาเลยหรอกหรอ…?”

 

“อ่ะ—”

 

คำถามของเอริกะนั้นได้ทำให้คาร์เทียร์ชะงักไปก่อนที่เด็กสาวจะส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ออกมาด้วยท่าทีที่ออกจะกลุ้มใจหน่อยๆ

 

“แหะๆ … ก็นั่นสินะคะ…”

 

“เธอมีเรื่องอะไรอยากจะเล่าหรือระบายให้ฉันฟังบ้างมั้ยล่ะจ๊ะคาร์เทียร์จัง? เห็นอย่างนี้แต่ฉันก็รู้จักกับอารอนเขามาตั้งนานแล้วนะ เพราะงั้นฉันสัญญาเลยว่าจะไม่ปากโป้งไปบอกใครแน่นอนเลย”

 

“เรื่องที่อยากจะเล่าให้พี่เอริกะฟังงั้นหรอคะ…”

 

คาร์เทียร์ที่ได้ยินคำพูดของเอริกะนั้นได้ก้มหน้านิ่งเงียบไปเล็กน้อยราวกับว่าตัวเธอเองก็มีเรื่องกลุ้มใจที่ไม่เคยเล่าหรือว่าอาจจะไม่กล้าเล่าให้ใครฟังมาก่อนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเอริกะที่เห็นแบบนั้นก็ได้เผยสีหน้ายิ้มๆ ที่ดูใจดีออกมาและเฝ้ารอให้เด็กสาวเป็นคนเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยตัวเอง

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งคาร์เทียร์ก็ได้เงยหน้ากลับขึ้นมาและเริ่มต้นเล่าเรื่องความกลุ้มใจของเธอให้เอริกะได้ฟัง

 

“พี่เอริกะคิดว่ามันแปลกหรือเปล่าคะ… ถ้าเกิดว่าในบางวันที่หนูตื่นมาหนูก็ได้รู้เรื่องที่เด็กๆ อย่างหนูไม่ควรจะรู้ได้น่ะค่ะ…”

 

“เรื่องที่ไม่ควรจะได้รู้งั้นหรอจ๊ะ?”

 

“ค่ะ… ถึงบางครั้งมันจะเลือนรางพร่ามัวไปหมด แต่ว่าบางครั้งมันก็ดูชัดเจนเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นมาจริงๆ เลยน่ะค่ะ…”

 

“…………”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของคาร์เทียร์นั้นได้หลุบตาลงเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าเรื่องที่คาร์เทียร์กำลังเจออยู่มันจะเป็นเรื่องเดียวกับที่เธอคาดเอาไว้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีเวลาให้ได้ใช้ความคิดมากนักเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าคาร์เทียร์กำลังชำเลืองมองมาทางเธออยู่เหมือนกับกำลังจะสังเกตท่าทีจนทำให้เอริกะต้องรีบพูดถามขึ้นมาอีกครั้งในทันที

 

“แล้วมันเป็นเรื่องแบบไหนที่เธอบอกว่าไม่ควรจะรู้ได้กันล่ะจ๊ะ?”

 

“ก็… เป็นความทรงจำที่ไม่ว่าจะเป็น ‘คาร์เทียร์’ หรือว่า ‘แมรี่’ ก็ไม่ควรจะมีน่ะค่ะ… ก็อย่างที่หนูเคยเล่าให้ฟังไปแล้วว่าเอาจริงๆ ตัวหนูในตอนนี้เพิ่งจะอายุแค่เจ็ดแปดขวบเองใช่มั้ยล่ะคะ… ถึงจะเห็นร่างกายของหนูโตแบบนี้แล้วก็เถอะแต่ว่ามันก็เป็นฝีมือของคุณพ่—คุณเวก้าเขาน่ะค่ะ…”

 

คาร์เทียร์พูดตอบเอริกะกลับไปพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างของตนเองขึ้นมาจ้องมาดูอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ว่าความทรงจำที่หนูพูดถึงนั่นมันนานเกินกว่านั้นมากน่ะค่ะ บางครั้งมันก็ชัดเจนว่าเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่นานเกินกว่าสิบปีแน่ๆ บางครั้งมันก็เป็นช่วงเวลาที่ซ้อนทับกับเมื่อครั้งที่หนูยังใช้ชื่อว่าแมรี่อยู่ เหมือนกับว่าวันนึงหนูกำลังเป็นแมรี่อยู่ แต่ว่าอีกวันนึงก็กลับเป็นคนอื่นยังไงยังงั้นเลยน่ะค่ะ…”

 

“เธอเคยเล่าเรื่องนี้ให้อารอนหรือว่าพี่พยาบาลเขาฟังบ้างแล้วหรือยังน่ะ?”

 

“ยังเลยค่ะ คือว่าหนูไม่กล้าเล่าน่ะค่ะ แหะๆ …”

 

คาร์เทียร์หัวเราะแห้งๆ พูดตอบเอริกะกลับไปตามความจริง เพราะถึงแม้ว่าพี่อารอนของเธอจะเป็นคนใจดี แต่ว่าเธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงหลังจากที่ได้ยินเรื่องความกลุ้มใจของเธอเข้าไป และนั่นมันก็ทำให้เธอต้องแอบเหลือบมองท่าทีของพี่เอริกะอันเป็นเพื่อนสนิทเก่าแก่ของพี่อารอนด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ด้วยเช่นเดียวกันจนทำให้เอริกะต้องปั้นหน้ายิ้มให้กับเด็กสาวเพื่อคลายความกังวลใจของเธอก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“แล้วเรื่องที่เธอพูดถึงมันส่งผลต่อการใช้ชีวิตหรือว่าอะไรแบบนั้นบ้างมั้ยล่ะจ๊ะ?”

 

“ก็… ไม่ขนาดนั้นล่ะมั้งคะ… เพราะอย่างที่หนูบอกไปว่ามันเหมือนจะเป็นความทรงจำเก่าๆ ซะมากกว่าน่ะค่ะ ยกเว้นแต่ว่าจะเป็นเมื่อวันนั้นที่หนู—”

 

ทันทีที่คาร์เทียร์พูดขึ้นมาถึงตรงนี้เธอก็ได้ชะงักไปกลางคันและกำมือแน่นจนตัวสั่นก่อนที่มันจะมีประกายสายฟ้าวูบวาบออกมาเป็นระยะ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องชะงักมือของเธอที่กำลังจะเอื้อมไปลูบศีรษะของเด็กสาวเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยและเปลี่ยนเป็นการพูดจาปลอบประโลมขึ้นมาแทน

 

“งั้นถ้าเกิดว่าไม่นับเรื่องเมื่อวันนั้นแล้ว ในตอนนี้เธอรู้สึกยังไงบ้างล่ะ… กับผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ หรือว่ากับพวกเด็กๆ ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนนี้อย่างพวกนากาคุงเขาน่ะ”

 

“รู้สึกยังไงงั้นหรอคะ… ถ้าเป็นตอนแรกๆ ก็คงจะกลัวๆ ว่าจะเข้ากับคนอื่นๆ ไม่ได้ล่ะมั้งคะ เพราะว่าหนูเองก็เคยอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยจะได้ออกไปไหนด้วย…”

 

คำถามของเอริกะนั้นเหมือนจะทำให้คาร์เทียร์หลุดออกมาจากภวังค์และเอ่ยปากพูดตอบเอริกะกลับไปเบาๆ ซึ่งคำตอบของคาร์เทียร์นั้นก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาต่อ

 

“หมายความว่าเธอไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นหรือว่ารู้สึกอยากจะทำลายพวกเขาทิ้งเหมือนกับเมื่อวันนั้นแล้วสินะ?”

 

“อ–เอ๋? ก็ต้องไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอยู่แล้วสิคะ ก็พวกเขายังไม่เคยทำอะไรให้หนูต้องรู้สึกแบบนั้นเลยนี่นา…”

 

“…แบบนั้นเองหรอ เฮ้อ~”

 

คำตอบของคาร์เทียร์ในครั้งนี้ได้ทำให้เอริกะมีท่าทีที่ดูผ่อนคลายลงไปมากและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนที่เธอจะพูดแนะนำวิธีการทำตัวขึ้นมาให้เด็กสาวได้ฟัง

 

“งั้นถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นงั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกจ้ะ ที่เหลือก็แค่ต้องระวังไม่เผลอหลุดปากเรื่องนี้ขึ้นมาให้คนอื่นได้ยินก็พอแล้วล่ะ”

 

“อย่างงั้นเองหรอคะ… ว่าแต่การที่หนูมีความทรงจำของ…’ คนอื่น’ ปนอยู่ในหัวแบบนี้มันหมายความว่าหนูไม่ใช่เด็กคนที่ชื่อว่า ‘แมรี่’ อีกต่อไปแล้วหรือเปล่าคะเนี่ย…”

 

คาร์เทียร์พูดตอบเอริกะกลับไปก่อนที่เธอจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความกังวลใจ ซึ่งคำถามของคาร์เทียร์ในครั้งนี้นั้นก็ได้ทำให้เอริกะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนก่อนจะเอ่ยปากพูดตอบเด็กสาวกลับไป

 

“ถ้าเธอกังวลเรื่องนั้นล่ะก็… เธอยังจำเรื่องของ ‘เจน’ ได้อยู่หรือเปล่าล่ะ?”

 

“เรื่องของคุณแม่น่ะหรอคะ? ก็ต้องจำได้อยู่แล้วสิคะ ถ้าเป็นเรื่องของคุณแม่น่ะต่อให้หนูต้องตายหนูก็ไม่มีทางลืมได้หรอกค่ะ!!”

 

คาร์เทียร์ที่ได้ยินชื่อของคุณแม่เจนของเธอดังขึ้นมานั้นได้พูดตอบคำถามของเอริกะกลับไปเสียงดัง และนั่นก็ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปลูบหัวของคาร์เทียร์เบาๆ และเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ถ้าเธอจำได้อย่างนั้น งั้นเธอก็ยังเป็นแมรี่ตัวน้อยที่เจนเขาพยายามจะปกป้องเอาไว้อยู่ดีนั่นแหล่ะจ้ะ… อย่างน้อยๆ ก็มีฉันคนนึงแล้วล่ะที่คิดอย่างนั้นล่ะนะ”

 

“อย่างน้อยๆ ก็มีพี่เอริกะคนนึงงั้นหรอคะ…?”

 

“ก็… ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ใครจะตีความยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนน่ะจ้ะ แต่ว่าสำหรับฉันแล้ว ขอแค่เธอยังจำเรื่องของเด็กคนที่ชื่อว่าแมรี่ที่เจนเขารักยิ่งกว่าใครได้อยู่ เธอก็จะยังคงเป็นลูกสาวตัวน้อยของเจนไม่มีวันเปลี่ยนไปหรอกจ้ะ”

 

“ขอแค่ยังจำได้งั้นหรอคะ…”

 

คาร์เทียร์พูดทวนสิ่งที่เอริกะพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงไปสักพักหนึ่งแล้วจึงเงยหน้ากลับขึ้นมาพูดถามอีกครั้งหนึ่ง

 

“ถ้าพี่เอริกะพูดอย่างนั้นงั้นก็หมายความว่า… ถ้าเกิดอยู่มาวันนึงหนูเป็นอะไรไปขึ้นมา แล้วพอเวลาผ่านไปก็มีคนอีกคนที่หน้าตาไม่เหมือนกันเลยปรากฏตัวขึ้นมาแต่ว่ามีความทรงจำของหนูอยู่ พี่เอริกะก็จะมองว่าเขาคือคนเดียวกับหนูงั้นหรอคะ…?”

 

“…….”

 

คำถามของคาร์เทียร์ในครั้งนี้นั้นได้ทำให้มือของเอริกะที่กำลังลูบหัวของคาร์เทียร์อยู่ชะงักนิ่งไปก่อนที่เธอจะชักมือกลับมาและกำมือแน่นอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยปากพูดตอบเด็กสาวกลับไปด้วยท่าทีใจดี

 

“ก็ถ้าเกิดว่าเขามีความทรงจำแบบเดียวกับที่เธอพูดขึ้นมาแล้วก็มองโลกใบนี้ในมุมมองแบบเดียวกับเธอมันก็คงจะใช่แหล่ะจ้ะ… แต่ว่ายังไงเรื่องพวกนี้มันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นคนอื่นต่อให้จะเป็นร่างกายเดียวกัน แต่ว่าไม่ได้มีความทรงจำร่วมกัน เขาก็อาจจะมองว่าคนคนนั้นเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้วก็ได้…”

 

“ฟังดูเข้าใจยากจังเลยนะคะ…”

 

“ฮะฮะ ชีวิตมันก็น่าสับสนแบบนี้แหล่ะจ้ะ เพราะถ้าเกิดว่าทุกอย่างมันเรียบง่ายง่ายดายแบบนั้นมันก็คงจะไม่เกิดเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมาหรอกจริงมั้ยล่ะจ๊ะ…”

 

เอริกะหัวเราะพูดตอบคาร์เทียร์กลับไปเบาๆ ก่อนที่ทันใดนั้นเองอลิซจะผละตัวออกมาจากอัลเบิร์ตและมายะเพื่อพูดสั่งงานคาร์เทียร์ขึ้นมา

 

“ทางด้านนี้เสร็จแล้วนะ ฝากเธอดูอาการให้สองคนนั้นหน่อยสิคาร์เทียร์”

 

“อ่ะ—เข้าใจแล้วค่ะ! ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนละกันนะคะพี่เอริกะ”

 

“ฉิบหายล่ะ—อั๊ก—!?”

 

ในทันทีที่อัลเบิร์ตเห็นคาร์เทียร์กำลังเดินตรงเข้ามาหานั้นเขาก็ได้หลุดปากพูดสบถออกมาเล็กน้อยก่อนจะรีบพุ่งตัวหนีไปในทันทีเพื่อหลบหนีการตรวจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กลับโดนคาร์เทียร์พุ่งเข้าใส่จนทั้งคู่ปลิวกระเด็นไปกับพื้นภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเพื่อขัดขวางการหลบหนีท่ามกลางความตกใจของมายะที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน

 

ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้อลิซได้แต่ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เธอจะเดินมายืนอยู่ข้างกายเอริกะและเอ่ยปากพูดบ่นออกมาเบาๆ ให้นักประดิษฐ์สาวฟัง

 

“เธอเล่นโผล่มาแบบนี้มันทำเอาผลการทดสอบรวนไปหมดเลยนะรู้มั้ย เพราะพอไอ้เจ้าอัลเบิร์ตนั่นเห็นเธอโผล่มาเท่านั้นล่ะมันก็เอาแต่เก๊กท่าเท่ๆ จนไม่เป็นอันจะโจมตีเลยนั่นล่ะ…”

 

“แหม่~ แต่ยังไงผลการสอบรอบนี้มันก็เละไม่เป็นท่าตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะจริงมั้ย”

 

“อื้ม… เอาจริงๆ ที่ฉันลองตรวจสอบดูเหมือนว่ามายะเขาก็น่าจะเก่งดีนั่นแหล่ะ แต่ดูเหมือนว่าด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วก็ความที่ไม่กล้าจะสู้กับเพื่อนก็เลยเอาแต่ถอยท่าเดียวเลย เพราะงั้นคงจะต้องจัดสอบของคู่นี้ใหม่อีกรอบนึง… คู่ของอัลเบิร์ตเอาเป็นเซซิลก็น่าจะได้ล่ะมั้ง แต่ทางด้านมายะนี่เผลอๆ อาจจะต้องจับไปสอบกับเด็กห้องอื่นแทนไปเลย…”

 

“ก็เอาตามที่เธอเห็นสมควรเลยก็แล้วกันนะอลิซ เพราะยังไงซะที่พวกเราต้องการมันก็คือข้อมูลเวลาที่พวกเด็กๆ ทุ่มสุดตัวกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ~”

 

เอริกะพูดตอบอลิซด้วยไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ พร้อมกับเหยียดขาออกไปจนสุดเพื่อคลายความเมื่อยล้า ในขณะที่ทางด้านอลิซนั้นก็ได้หันไปมองกล่องกระดาษที่เอริกะวางทิ้งไว้ข้างกายเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดสอบถามขึ้นมา

 

“ยูนิตที่เธอนั่งทำอยู่เมื่อวานนั่นฉันขนมันมาให้ตั้งแต่เช้าแล้วไม่ใช่หรอไง… แล้วเจ้านี่มันกล่องอะไรกันอีกล่ะ?”

 

“อ่ะๆ ใครว่าเจ้านี่มันคือยูนิตของพวกคอนแนลคุงกันล่ะ เจ้านี่มันคือของเล่นใหม่ของเธอต่างหากล่ะอลิซ~”

 

“ของฉัน…?”

 

“ช่าย~ ก็เธอเล่นยกยูนิตเชสเซียร์ที่แต่ไหนแต่ไรมันก็เป็นแค่ยูนิตต้นแบบให้โมโกะไปแล้วจนตัวเองไม่มีใช้ ฉันก็เลยถือโอกาสนี้เอาข้อมูลที่ได้จากยูนิตเชสเชียร์มารวมกับของเล่นใหม่ที่พวกนิลิมเขาอุตส่าห์ไปขนมาจากแพนเทร่ามาสร้างเป็นยูนิตเครื่องใหม่ให้เธอเลยไง~”

 

เอริกะพูดตอบอลิซกลับไปพลางเหลือบมองผ้าพันแผลจำนวนมากที่ยังคงถูกโปะไปตามร่างกายของอลิซก่อนที่เธอจะโคลงหัวไปมาเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แล้วถึงตอนนี้แผลของเธอจะเริ่มหายดีบ้างแล้วก็เถอะ แต่เธอคงจะไม่คิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอเอาเจ้ายูนิตติดกล้องวิดีโอนั่นออกไปสู้กับใครเขาจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

 

“ก็ถ้ามันจำเป็นจริงๆ ฉันก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ…”

 

“ก็นั่นแหล่ะ! เธอคิดว่าเจ้ายูนิตนั่นจะเอาไปทำอะไรในการต่อสู้ได้ล่ะ? เขกหัวศัตรูหรอ? ฉันยังไม่อยากได้ภาพใบหน้าของพวกโดรนพวกนั้นในระยะประชิดขนาดนั้นหรอกนะ! ของที่มันไม่ใช่สำหรับการต่อสู้มันก็ไม่ใช่อยู่วันยังค่ำนั่นแหล่ะ เพราะงั้นฉันถึงได้ต้องรีบเข็นเจ้านี่ออกมาให้เธอโดยเฉพาะเลยยังไงล่ะ~”

 

คำพูดของอลิซที่ฟังดูเหมือนว่าเธอพร้อมจะใช้ยูนิตสำหรับบันทึกภาพเคลื่อนไหวที่เธอสวมใส่อยู่เอาไว้ออกไปสู้กับคนอื่นจริงๆ นั้นแทบจะทำให้เอริกะหลุดหัวเราะออกมาและพูดอธิบายกลับไปให้เด็กสาวฟัง และนั่นก็ทำให้อลิซได้แต่ต้องถอนหายใจออกมา ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเด็กสาวจะทีท่าทีที่ดูสนใจในตัวของเล่นใหม่ของตัวเองไม่ใช่น้อยด้วยเช่นเดียวกันก็ตามที

 

“เฮ้อ… ถ้าเธอว่าอย่างนั้นงั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะเถียงเหมือนกันนั่นแหล่ะ”

 

“อ้อใช่… แต่ฉันต้องขอเตือนเธอเอาไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้านี่น่ะมันแรงกว่าจนเจ้าหนูเชสเชียร์แทบจะเทียบไม่ติดเลยล่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดว่าเธอเผลอเร่งเครื่องความเร็วมันมากเกินไปก็ระวังร่างกายจะรับไม่ไหวเอาซะล่ะ”

 

“หืม… พูดแบบนี้นี่เธอกำลังท้าฉันอยู่หรือเปล่า…”

 

“จะบ้าเรอะ!? ถึงฉันจะอยากรู้ว่าร่างกายสุดพิเศษของเธอนั่นจะทะลุกำแพงเสียงได้หรือเปล่าก็เถอะแต่ฉันไม่คิดจะทดลองมันจริงๆ หรอกนะ! ที่ฉันเตือนนี่ด้วยความเป็นห่วงล้วนๆ เลยต่างหากเล่า!”

 

คำพูดด้วยน้ำเสียงถือดีของอลิซนั้นได้ทำให้เอริกะเหลือกตาด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนที่เธอจะพูดย้ำเตือนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และนั่นก็ทำให้อลิซที่เห็นท่าทีเป็นห่วงจริงๆ จังของเอริกะต้องยอมแต่โดยดี

 

“…เอาเป็นว่าฉันจะระวังก็แล้วกัน”

 

“พี่อลิ—อ่ะ อาจารย์อลิซคะ! หนูตรวจอาการให้พวกพี่เขาเสร็จแล้วค่ะ จะให้หนูปล่อยพวกพี่เขากลับขึ้นห้องเลยหรือเปล่าคะ?”

 

ในขณะที่ทางด้านอลิซและเอริกะกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง ทางด้านคาร์เทียร์ที่ตรวจอาการให้กับพี่ๆ ทั้งสองคนของเธอเสร็จแล้วก็ได้ร้องเรียกอลิซขึ้นมาเสียงใส และนั่นก็ทำให้อลิซต้องรีบร้องตอบกลับไปเช่นเดียวกัน

 

“เธอปล่อยพวกเขากลับขึ้นห้องเรียนไปได้เลย! แล้วก็อย่าปล่อยให้ไอ้เจ้าอัลเบิร์ตมันเดินเฉียดเข้ามาใกล้เอริกะทางนี้ด้วยล่ะ!”

 

“เฮ้ย! ฉันได้ยินนะยัยเปี๊ยก!”

 

อัลเบิร์ตที่ได้ยินคำพูดของอลิซนั้นได้ร้องโวยวายตอบกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังเหลือบมองไปทางเอริกะและพยายามทำตัวให้ดูมีมาดมากกว่าปกติอยู่ดี ส่วนทางด้านคาร์เทียร์ที่ได้รับคำอนุญาตให้ปล่อยตัวคนไข้จากอลิซแล้วนั้นก็ได้ดันหลังอัลเบิร์ตให้เดินตรงไปทางตึกเรียนในทันที

 

“เอาล่ะๆ พี่อัลเบิร์ตได้ยินที่อาจารย์อลิซสั่งมาแล้วใช่มั้ยคะ รีบๆ กลับขึ้นห้องเรียนไปได้แล้วค่ะ… พี่มายะก็ตามมาได้เลยนะคะ”

 

“อ–อื้อ…”

 

มายะที่ได้ยินคำพูดของคาร์เทียร์นั้นได้เดินตามเด็กสาวที่กำลังดันหลังของอัลเบิร์ตหายเข้าตึกเรียนไปด้วยเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้อลิซที่เห็นว่าการสอบและเรื่องที่ต้องทำหลังจากนั้นหมดสิ้นลงแล้วได้หันไปพูดคุยกับเอริกะอีกเล็กน้อยก่อนที่เธอจะต้องเดินกลับขึ้นไปทำงานต่อ

 

“ว่าแต่เธอจะให้ฉันเรียกคอนแนลกับซิลเวสมาฝึกใช้ยูนิตก่อนจะได้ออกไปลงสนามจริงอีกรอบนึงก่อนมั้ย”

 

“ฝึกใช้ในโรงเรียนนี่เลยน่ะหรอ? อาจารย์อลิซนี่ใจร้ายจังเลยนะคะ ทั้งๆ ที่การสอบวันนี้พวกเด็กๆ เขาไม่ได้ทำสนามหญ้าเละแบบทุกทีแท้ๆ น่ะ นี่จะหาเรื่องให้พวกภารโรงเขาเหนื่อยให้ได้ทุกวี่ทุกวันเลยงั้นหรอคะเนี่ยอาจารย์อลิซ~”

 

“ฉันหมายถึงให้ไปฝึกใช้ข้างในห้องชมรมฝึกซ้อมการต่อสู้ของพวกเนลเขานู่น… ถ้าจะเอาเป็นห้องที่ทนที่สุดในโรงเรียนก็น่าจะเป็นห้องนั้นนั่นแหล่ะ… เพราะคนในชมรมนั้นยั้งมือกันแทบจะไม่เป็นอยู่แล้วนี่”

 

อลิซพูดตอบเอริกะที่พูดจาล้อเล่นไม่รู้จักเวล่ำเวลากลับไปด้วยน้ำเสียงดุๆ ดั่งเช่นเคยจนทำให้เอริกะได้แต่ยักไหล่ก่อนจะพูดตอบกลับไปดีๆ

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวช่วงพักกลางวันฉันจะไปตามพวกคอนแนลคุงเขาไปให้เธอเองก็แล้วกัน”

 

“คุณอลิซอยู่ที่นี่เองสินะคะ อ่ะ– เอริกะเองก็อยู่ด้วยพอดีเลย”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดตอบอลิซกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังดูใจดีดังขึ้นมาพวกให้เธอได้ยิน ซึ่งเมื่อทั้งสองคนหันกลับไปมองพวกเธอก็ได้พบเข้ากับหญิงสาวผมสีชมพูในชุดเกราะอัศวินสีขาวประดับด้วยลวดลายสีทองคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีแดงที่พกพาดาบและโล่อัศวินประจำกายของเธอที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอจากทางตึกเรียน ซึ่งภาพที่อลิซเห็นนั้นก็ได้ทำให้เธอต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“เรสเนอร์งั้นหรอ…”