หยู่เหวินเห้าใช้พลังในการกวาดอย่างมาก ดูเหมือนการกวาดจะดูง่าย แต่ที่จริงนั้นต้องใช้ความรู้ด้วย

อย่างเช่น ใบไม้ที่ร่วงลงมานั้นควรจะกวาดกองไว้ ถ้ากวาดรวมเป็นกองใหญ่ก็จะไม่โดนลมพัด แต่ถ้ากวาดไว้หลายกอง พอโดนลมพัด ใบไม้ก็จะปลิวทันที

กวาดไปกวาดมา ที่จริงก็ไม่ได้ยากอะไร ความโมโหของเขาก็พลันดีขึ้นไม่น้อย

“ท่านอ๋อง ระวังตรงตำหนักอุ่นนะพ่ะย่ะค่ะ บนต้นไม้มีรังผึ้ง รอให้ถึงตอนค่ำก่อนแล้วถึงจะจุดไฟไล่ อย่าได้ไปแตะต้องเชียว เพราะมันไม่ธรรมดาเลย” ฉางกงกงพูดเตือน

“รังผึ้งงั้นหรือ?” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์ ตรงหน้าอกที่โดนกัดยังปวดไม่หาย มันน่าเรียกหยวนชิงหลิงมาทำจริงๆ

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ผึ้งพวกนี้น่ากลัวมาก ไท่ซ่างหวงไม่ยอมปิดหน้าต่าง จึงต้องจุดตอนกลางคืน” ฉางกงกงพูดขึ้น

“อืม ข้ารู้แล้ว” หยู่เหวินเห้าตอบ

ฉางกงกงไม่ได้สนใจ พลันเดินเข้าไปรับใช้ไท่ซ่างหวงด้านในทันที

หยู่เหวินเห้าคิดแผนในใจ แล้วหันไปพูดกับทังหยาง “เจ้าไปเชิญพระชายามา บอกว่าข้ายินยอมเปลี่ยนสถานที่กับนาง”

ทังหยางจึงพูดขึ้น “ท่านอ๋อง ห้องทรงพระอักษรคนเข้าออกมากมาย ท่านไปทำความสะอาดที่นั่นจะถูกต้องหรือ?”

หยู่เหวินเห้ายิ้มมุมปาก “ไม่ต้องห่วง มีมหาดเล็กอยู่ พอถึงตอนนั้นเรียกเขามาช่วยสอดส่องก็พอ ถ้ามีคนมาข้าก็จะเข้าไปซ่อน”

ทังหยางจึงไปตามรับสั่ง

หยวนชิงหลิงได้ยินว่าหยู่เหวินเห้ายอมเปลี่ยนที่ ในใจก็พลันคิด คนคนนี้ก็ถือว่าไม่เลวขนาดนั้น นางจะได้ไม่เสียหน้าด้วย ตกลง นางจึงรับน้ำใจครั้งนี้เอาไว้

นางจึงถือไม้กวาดกลับมาที่ตำหนักฉินคุน พอเห็นเขากวาดด้านหน้าแล้ว ความเร็วถือว่าใช้ได้

หยู่เหวินเห้าเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้น “ห้ามพูดว่าข้าไม่ให้อภัยเจ้า ไม้กวาดนี่หนักมาก เจ้าไม่ค่อยมีพละกำลัง ทำให้กวาดลำบาก ดังนั้นข้าเลยช่วยเจ้ากวาดด้านหน้าแล้ว เจ้าแค่เข้าไปกวาดตรงตำหนักอุ่นกับลานข้างๆ ก็พอ”

หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยความซึ้งใจ “ขอบพระทัยท่านอ๋อง”

หยู่เหวินเห้าชี้ไปที่ตำหนักอุ่น “ไปเถอะ ไปกวาดตรงนั้น”

หยวนชิงหลิงชี้ไปตรงที่ใบไม้ยังกวาดไม่เรียบร้อย “แล้วตรงนั้น……”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้ากลับมาช่วยเจ้ากวาด”

“ขอบพระทัยเพคะ!” หยวนชิงหลิงทั้งยิ้มทั้งยกมือ พลางถือไม้กวาดแล้วเดินไปที่ตำหนักอุ่น

หยู่เหวินเห้าหยิบก้อนหินขึ้นมา แล้วแอบเดินอ้อมผนังด้านนอกมา พอได้ยินเสียงกวาดพื้นของหยวนชิงหลิง เขาก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

เขาเคยพูดไว้ว่า การแก้แค้นของนักรบ สิบปีก็ยังไม่สาย

เขาคว้างลูกหินที่อยู่ในมือออกไปทันที ลูกหินลอยละลิ่วขึ้นไปอย่างสวย และเข้าตรงรังผึ้งบนต้นไม้อย่างแม่นยำ

ผึ้งตรงนั้นแตกออกเหมือนกับน้ำเดือด บินวึ่งวึ่งวึ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียง “หวึ่งหวึ่งหวึ่ง” ดังขึ้น

หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าตรงหน้านั้นถูกปิดไว้ พอเพ่งมองก็ถึงรู้ว่าเป็นฝูงผึ้ง

“อ๊ายย……” นางร้องออกมาสุดเสียง “ออกไป!”

หยู่เหวินเห้าได้ยินเสียงร้อง ก็พลันรู้สึกสุขสบายใจจนแทบอยากกระโดดลงไปในน้ำ พร้อมกับยกไม้กวาดขึ้นอย่างพอใจ และจังหวะที่เขาจะออกไปจากห้องพระอักษร กลับได้ยินเสียง “หวึ่งหวึ่งหวึ่ง” อยู่ด้านหลัง พอหันกลับมา ฝูงผึ้งฝูงนั้นกำลังบินตรงเข้ามาหาเขา

พลันบินวนรอบหัวและหน้าอกเขา โดนทั้งใบหน้า ทั้งหัว และใบหู ตอนที่เขารู้สึกเจ็บปวดพลันยกไม้กวาดขึ้นมา ก็โดนต่อยไปหลายทีแล้ว บาดแผลเขายังไม่ทันหายดี จึงไม่สามารถใช้ไม้กวาดพัดไปมา และทำได้เพียงหมุนตัวแล้ววิ่งหนีไป

“ท่านอ๋องรีบหมอบแล้วมุดหัวลง วิ่งหนีไม่พ้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ” ทังหยางเห็นเข้า จึงรีบร้องเรียกหยู่เหวินเห้า

หยู่เหวินเห้ากอดศีรษะตัวเองแล้วหมอบลง ทังหยางรีบวิ่งเข้าไปทันที พลางถอดเสื้อคลุมแล้วปิดศีรษะของหยู่เหวินเห้าเอาไว้ อีกมือหนึ่งก็ยกไม่กวาดขึ้น สะบัดไปมา คนในวังที่เห็นเหตุการณ์ก็รีบจุดไฟ เพื่อไล่ผึ้ง ชุลมุนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายถึงไล่ไปได้

หยวนชิงหลิงที่ได้ยินเสียงเอะอะ จึงวิ่งออกมา กลับพบว่าทังหยางกำลังพยุงหยู่เหวินเห้าเดินมา หน้าเขาบวมเป่ง หนังตาซ้ายถูกผึ้งต่อยบวมจนแทบไม่เห็นลูกตา

“ท่านโดนผึ้งหรือ?” หยวนชิงหลิงมองหน้าอันหล่อเหลาของเขา พยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วทำท่าเป็นห่วงเป็นใย

ฉางกงกงได้ยินเสียงดังโหวกเหวกจึงเดินออกมาจากตำหนัก ก็เห็นหยู่เหวินเห้าในสภาพนี้ จึงส่ายหน้าทันที “ท่านอ๋อง ข้าน้อยเตือนท่านแล้ว อย่าแตะต้องรังผึ้ง ทำไมท่านถึงยังโดนต่อยอีก?”

“ใครจะรู้ว่ามีรังผึ้ง?” หยู่เหวินเห้าพูดออกมาอย่างเจ็บปวดก็ปากเริ่มบิดเบี้ยว ริมฝีปากที่โดนต่อยรู้สึกแสบร้อนมาก

“ไม่ใช่ว่าข้าน้อยเตือนท่านแล้วหรือ?” ฉางกงกงเดินเข้ามา “โห่ ต่อยหนักมาก ต้องเรียกหมอหลวงแล้ว”

หยวนชิงหลิงมีสีหน้าเย็นชาทันที พร้อมทั้งเก็บความห่วงใยคืน เขารู้แต่แรกแล้วว่ามีรังผึ้ง แต่จงใจให้ทังหยางไปเรียกนางมา แล้วทำให้รังผึ้งแตกเพื่อให้ต่อยนาง

ชายผู้นี้ใจแคบและร้ายกาจมาก

หยวนชิงหลิงพูดขึ้นเสียงแข็ง “เรียกหมอหลวงต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าท่านอ๋องรีบไปที่หอทรงพระอักษรดีกว่า เรื่องการทำความสะอาดจะล่าช้าไม่ได้”

“หญิงใจร้ายอย่างเจ้า เห็นชัดๆ ว่าผึ้งบินตรงไปหาเจ้า ทำไมมันถึงบินมาหาข้าได้?” เขาเริ่มพูดช้าแล้ว พลางโมโหจนปากบิดเบี้ยว

“ยกหินทับเท้าตัวเอง” หยวนชิงหลิงยกไม้กวาดขึ้นอย่างสะใจ พร้อมกับหมุนตัวออกไป

นางเองก็แปลกใจเหมือนกัน ก็เห็นชัดๆ ว่าผึ้งบินมาหานาง นางตะโกนออกมาเพื่อไล่มัน มันก็บินหนีไปจริงๆ

หยู่เหวินเห้าเอาแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโห แต่เพราะโดนหยวนชิงหลิงพูดดักแล้ว เขาจึงทำอะไรไม่ได้มาก เลยตั้งหน้าตั้งตากวาดพื้นฟังเสียงนกเสียงกาไป

ทังหยางหันไปมองหยู่เหวินเห้าด้วยความงุนงง เขาไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าทำไมท่านอ๋องถึงคิดจะให้ผึ้งไปต่อยพระชายาแบบนี้ ทำไมเขาถึงทำอย่างกับเป็นเด็กไปได้?

แบบนี้ไม่เหมือนกับนิสัยของเขาเลย

ท่านอ๋องถูกผีสิงอย่างนั้นหรือ?

เขาหันไปมองหยวนชิงหลิงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ พระชายาเองก็ดูต่างไปจากเมื่อก่อน ก็ถูกผีเข้าเหมือนกันอย่างนั้นหรือ?

หยู่เหวินเห้ามาถึงหอทรงพระอักษร มหาดเล็กก็มองอย่างกับว่าเขาเป็นหัวหมู แล้วพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ “ทำไมท่านถึงเป็นแบบนั้น?ไปแหย่รังผึ้งมาหรือ? “

“ห้ามพูด! “เขายกไม้กวาดขึ้น พลางออกแรงกวาด ในใจนั้นปะทุเดือดสุดขีด ทำไมหยวนชิงหลิงถึงไม่ได้กวาดเลย?ใบไม้ยังกองเต็มพื้นอยู่เลย

“ไปให้หมอหลวงทายาให้ก่อนเถอะ แล้วก็กินยาแก้พิษด้วย “มหาดเล็กพูด

“ไม่จำเป็น มันไม่มีพิษ ข้าดูแล้ว มันแค่ผึ้งทั่วไป แค่ปวดสักพัก “พูดจบ เขาก็บีบปากตัวเองอย่างโมโห มันปวดมากจริงๆ

มหาดเล็กจึงไปจับแขนเขา “ในเมื่อไม่เป็นอะไรมาก งั้นก็อย่างพึ่งกวาด เข้าไปปัดฝุ่นในตำหนักก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ? “

หยู่เหวินเห้าทั้งอึ้งและนิ่งไปเลย “ไม่ใช่กวาดพื้นหรือ?ทำไมถึงต้องปัดฝุ่นด้วย? “

“ฝ่าบาทตรัสว่า ในห้องทรงพระอักษรมีฝุ่นหนาตึบ ต้องทำความสะอาดพ่ะย่ะค่ะ “

“ห้องทรงพระอักษรทุกวันก็มี……… “หยู่เหวินเห้าหยุดพูดทันที เข้าใจแล้ว เสด็จพ่อจงใจ

เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ ก่อนหน้าที่พระองค์ไม่ยอมให้เขาเข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้กลับให้เขาไปทำงานที่กรมพระนคร แถมยังให้เขาเข้าออกห้องพระอักษร เหมือนกับปีก่อนๆ ที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

นานวันเข้าเขาก็เริ่มมองความคิดของเสด็จพ่อออกแล้ว

ตำแหน่งในกรมพระนครนั้นสำคัญมาก ขนาดฝันเขายังไม่เคยฝันเลย ว่าเสด็จพ่อจะส่งเขาไปที่นั่น

ที่จริง พอหลังจากได้ยินพี่รองพูด เขาเคยคิดว่าสุดท้ายอาจจะเป็นตอนที่พี่ใหญ่ขึ้นครองราชย์ และพี่ใหญ่เองก็คงอยากได้ตำแหน่งนี้มาก

เขาวางไม้กวาดลง พร้อมถือน้ำ และมีผ้าเช็ดหน้าพาดบ่า ในตอนที่มู่หรูกงกงกำลังมอง เขาก็รีบเข้าไปด้านในทันที

เขาพยายามก้มหน้าลง เพื่อไม่ให้เสด็จพ่อเห็นหน้าบวมเป่งที่น่าอับอายของเขา