บทที่ 160 ตกเอาจอมโฉดมาคนหนึ่ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 160 ตกเอาจอมโฉดมาคนหนึ่ง

ผลงานของสวี่ชิงจึงดูดีมากเช่นนี้ จำนวนรวมไปถึงสามพันกว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าเงา

พอถึงตอนนี้ สวี่ชิเองก็ไม่กล้าเพิ่มจำนวนต่อ เขารู้สึกว่าใกล้เคียงแล้ว

เขากังวลว่าถ้ายังเพิ่มต่อจะดูปลอมเกินไป และเขาตรวจดูในกระดานภารกิจก็พบว่าดาวสังหารของสำนักมีเยอะเหลือเกิน สูงที่สุดสังหารไปถึงหนึ่งหมื่นกว่า เจ็ดพันขึ้นไปก็มีอยู่เจ็ดแปดคนแล้ว ส่วนห้าพันก็มีเยอะขึ้นไปอีก

แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าในนี้จำนวนส่วนใหญ่ล้วนน่าจะมีวิธีการของตนเองอยู่ บางทีอาจจะสังหารแต่แค่รวมปราณ ไม่เช่นนั้นจำนวนขนาดนี้มันเป็นไปไม่ได้ เกินจริงเกินไป และไม่สมเหตุสมผล

ถึงอย่างไรเผ่าสิงซากสมุทรก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่อันดับหนึ่ง พอสวี่ชิงสังเกตชื่อก็พบว่าเป็นอู๋เจี้ยนอู นี่ทำเอาเขาเงียบกริบเลยทีเดียว

เขารู้สึกว่ามันดูหลอกลวงมาก และพอมีคนนี้อยู่ สวี่ชิงคิดว่าต่อให้สุดท้ายตรวจสอบก็มาไม่ถึงตนเองอยู่ดี ถึงอย่างไรตนเองก็ยังเพิ่มจำนวนอย่างสมเหตุสมผล คนอื่นนี่หลอกลวงเกินไป

แน่นอนว่ามีพวกที่ดุดันอยู่ด้วย สวี่ชิงเห็นว่าในรายชื่ออันดับสองคือองค์หญิงสอง สังหารไปแปดพันกว่า

ดูกระดานอันดับ สวี่ชิงรู้สึกรางๆ ว่าบางทีสำนักเองก็น่าจะยินยอมที่จะได้เห็นสถิติแบบนี้ในสงคราม หนึ่งคือสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ สองคือใช้การเปรียบเทียบมากระตุ้นความพยายามของศิษย์คนอื่น สามคือสามารถแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนลือลั่นไปทั่วสารทิศได้

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ยังปล่อยการเพิ่มผลงานการต่อสู้ไป เริ่มค้นหาภารกิจที่เหมาะสมกับตนเองสักชิ้นหนึ่ง ตอนนี้เขาเริ่มเหนื่อยแล้ว คิดจะหาภารกิจง่ายๆ สักอย่างมาทำ

ไม่นานสายตาสวี่ชิงก็มุ่งเป้าไปที่ภารกิจช่วยเหลือเคลื่อนย้ายงานหนึ่ง

ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองฝึกบำเพ็ญหลอมยาเป็นหลัก และยาลูกกลอนก็ไม่ได้มีแต่ประโยชน์เพื่อการรักษารวมไปถึงยกระดับพลังฝึกบำเพ็ญขึ้นเท่านั้น ยังมีลูกกลอนพิษรวมไปถึงยาอีกร้อยแปดพันเก้า ในนี้ก็มีประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกว่าลูกกลอนต้องห้าม

ที่เรียกว่าลูกกลอนต้องห้าม มักจะเตรียมไว้เพื่อสงคราม พอใช้งานในสงครามแล้ว พลานุภาพจะแปลกประหลาดและรับมือได้ยาก มีพลังสังหารอาณาเขตกว้างขวางที่ทำให้จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอยู่มากมาย

ในนี้รวมไปถึงการกลายพันธุ์ การสูดรับ การกระตุ้นปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงต่างๆ และความสามารถของลูกกลอนต้องห้ามในแต่ละประเภทก็แตกต่างกัน วิธีการเปิดใช้ก็แตกต่างกัน

ปกติแล้วลูกกลอนต้องห้ามล้วนเป็นประเภทระเบิดออกทันที

ดังนั้นส่วนใหญ่จึงหลอมออกมาให้เป็นแบบกึ่งสำเร็จรูปตั้งแต่ในสำนัก จากนั้นก็หาพื้นที่พิเศษสักที่ในสนามรบแล้วค่อยจัดการทำมันให้เสร็จสิ้น

เนื่องจากรอบๆ เกาะเงือกมีหมู่เกาะเล็กๆ อยู่มากมาย ในนั้นมีปากปล่องภูเขาไฟอยู่พอสมควร จนกลายมาเป็นสถานที่แรกๆ ที่ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองเลือกมาหลอมยา

เพียงแต่ว่าเผ่าสิงซากสมุทรก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์การโจมตีรุนแรงเช่นนี้ จึงแบ่งกำลังรบบางส่วนมาตีแนวป้องกันการหลอมยาบนหมู่เกาะของยอดเขาลำดับสองด้วย

ดังนั้นจึงมีภารกิจเร่งด่วนนี้ขึ้นมา ต้องการให้ผู้บำเพ็ญสร้างฐานตรงไปทำการถ่วงเวลา ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองโยกย้ายให้ไวที่สุด

รางวัลภารกิจมหาศาลมาก มอบหินวิญญาณให้สามแสนก้อน

สวี่ชิงหลังจากที่เห็นใจก็หวั่นไหว ภารกิจเคลื่อนย้ายนี้เมื่อเทียบกับเข้าไปต่อสู้ในสนามรบหลักแล้วดูสมเหตุสมผลกว่า ในขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด ตำแหน่งที่ต้องการระดับสร้างฐานยี่สิบคน ก็โดนยึดไปแล้วกว่าครึ่ง

สวี่ชิงไม่ลังเลอีก รีบรับภารกิจนี้มาทันที

พออนุมัติภารกิจ หินวิญญาณก็เข้าบัญชีมาส่วนหนึ่ง และยังให้พิกัดการส่งข้ามและคำแนะนำให้ออกเดินทางทันทีขึ้นมา

สวี่ชิงกวาดตามองผาดหนึ่ง พุ่งตรงไปยังค่ายกลส่งข้าม หลังจากใส่พิกัดลงไป ร่างกายของเขาก็มีแสงค่ายกลปกคลุม หายวับไปทันที

ทางใต้ของเกาะเงือก บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มีเกาะขนาดเล็กที่เรียงร้อยเหมือนไข่มุกอยู่ เกาะเหล่านี้มีมานานแล้ว แต่เนื่องจากขนาดเล็กเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปากปล่อยภูเขาไฟอยู่อีก ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย

บนแผนที่ทะเลของเจ็ดเนตรโลหิต เกาะผืนนี้ถูกเรียกว่าหมู่เกาะไข่มุก

เวลานี้ภูเขาไฟหลายลูกบนหมู่เกาะไข่มุกกำลังระเบิด ทำให้มีเขม่าควันภูเขาไฟสีดำนับไม่ถ้วนปลิวพัดราวกับหิมะสีดำ จากนั้นยังมีหินหนืดสีแดงราวกับห่าฝนสาดซัดลงมาทั่วทั้งหมู่เกาะไข่มุก

หิมะที่เป็นสีดำและแห้งผาก สายฝนที่ร้อนแรงสีแดงสด ทำให้หมู่เกาะไข่มุกนี้ดูแล้วเหมือนเป็นภาพในยมโลกอย่างไรอย่างนั้น

และผืนทะเลรอบๆ หมู่เกาะไข่มุกก็มีคลื่นซัดขึ้นโถมฟ้า ร่างเงาหลายสายเดินออกมาจากใต้ทะเล กำลังขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว พุ่งประหัตประหารเข้ามายังเกาะ

เงาที่เดินออกมาจากใต้ทะเลเหล่านี้ล้วนเป็นเผ่าสิงซากสมุทรทั้งสิ้น

การสังหารและการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้จากการเหยียบย่างขึ้นเกาะของพวกเขา เสียงคำรามครืนครันสะท้อนก้องไปทั่วทิศ คลื่นพลังเวทกับกลิ่นอายไอพลังประหลาดก็รุนแรงขึ้นมากเช่นกัน

และหนึ่งในหมู่เกาะนี้ เผ่าสิงซากสมุทรมากมายก็ฝ่าสังหารไปจนถึงพื้นที่ใจกลางแล้ว

ที่นี่เป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง บนพื้นล้วนเป็นเถ้าธุลีภูเขาไฟสีดำเข้มข้น บางครั้งก็ร่วงลงไปบนหินหนืดที่ร้อนแรงจนทำให้กลุ่มคนในหุบเขา จำใจต้องกางเกราะคุ้มกันออกมาต้านทาน

คนเหล่านี้เป็นศิษย์จากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่วนใหญ่เป็นศิษย์ยอดเขาลำดับสอง เวลานี้พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าเร่งรีบ มองไปยังศิษย์ยอดเขาลำดับห้าที่กำลังซ่อมแซมค่ายกลอย่างสุดกำลัง

เนื่องจากเกาะแห่งนี้มีภูเขาไฟอยู่ ดังนั้นศิษย์ยอดเขาลำดับสองจึงได้รับคำสั่งให้หยิบยืมไฟใต้ดินนี้กลบฝังลูกกลอนต้องห้าม แต่เผ่าสิงซากสมุทรก็มาเยือนอย่างกะทันหันเหลือเกิน และตอนมาเยือนยังรุนแรงอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาที่เพิ่งจะฝังลูกกลอนต้องห้ามลงไป ยังไม่ทันได้ทดสอบอะไร ก็จำใจต้องเลือกเคลื่อนย้ายเสียแล้ว

เพียงแต่ค่ายกลทั้งหมดของสถานที่นี้ล้วนถูกผลกระทบจากการปรากฏตัวของกองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทร จนเข้ามาได้อย่างเดียวแต่ออกไปไม่ได้ ราวกับว่าเผ่าสิงซากสมุทรคิดจะใช้หมู่เกาะไข่มุกนี้เป็นกับดัก ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นจุดทะลวงขั้นด้วย

ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เผ่าสิงซากสมุทรแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน กองทัพใหญ่ที่ตรงไปเกาะเงือกเป็นแค่แผนลวงเท่านั้น จุดนี้ต่างหากจึงจะเป็นจุดสำคัญ พวกเขาเตรียมจะใช้หมู่เกาะไข่มุกนี้ให้เป็นจุดสั่งการแนวหน้าหลัก ยึดครองสถานที่นี้ จากนั้นจึงตั้งป้อมประจันหน้ากับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

แน่นอนว่าถ้าหากกองทัพใหญ่เจ็ดเนตรโลหิตเข้ามาสนับสนุน เผ่าสิงซากสมุทรก็ยังสามารถใช้แผนลวงบนเกาะเงือกกลายเป็นแผนต่อสู้จริงได้ตลอดเวลา

เวลานี้ค่ายกลส่งข้ามทั้งหมดบนเกาะล้วนถูกผลกระทบ กระทั่งมีบางส่วนถูกเผ่าสิงซากสมุทรทำลายไปแล้ว ขณะเดียวกันยังมีบางส่วนถูกผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรักษาเอาไว้ด้วยเหตุผลของแต่ละคนอีกด้วย

พวกเขาคิดจะนั่งเฝ้าให้เหยื่อออกมาติดกับอยู่ที่นั่น รอผู้บำเพ็ญกองหนุนจากเจ็ดเนตรโลหิตเข้ามา จากนั้นก็ลงมือสังหารทิ้ง และรับเอาคุณงามความดีจากภายในของเผ่าสิงซากสมุทร

ขณะเดียวกัน ในหลุมลึกแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะนี้ที่ห่างจากบริเวณของหุบเขาใจกลางระดับหนึ่ง มีค่ายกลส่งข้ามแห่งหนึ่งกำลังส่องแสง และรอบๆ ค่ายกลส่งข้ามนี้ก็มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรอยู่หลายสิบคน

ผู้นำคือเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานทั่วไปคนหนึ่ง รูปร่างเหมือนต่างเผ่าสามตา เขามองค่ายกลที่ส่องแสง ในดวงตามีประกาย เอ่ยคำรามขึ้นเสียงต่ำ

“เตรียมตัวให้ดี ตรวจสอบพลังเวทให้ละเอียด ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญไฟชีวิตเข้ามาก็รีบทำลายค่ายกลทิ้งเสีย หวังว่าที่เข้ามาจะไม่ใช่นะ ข้าจะได้รับคุณงามความดีที่ไม่เลวสักก้อนบ้าง”

ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนี้จ้องเขม็งไปยังค่ายกลที่กำลังส่องแสง ในใจเต็มไปด้วยความเฝ้ารอ

สงครามครั้งนี้ เนื่องจากเรื่องเหนือคาดอย่างพลังบำเพ็ญบรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตทะลวงขั้น รวมไปถึงการบุกรุกเข้ามาอย่างกะทันหันในวันนั้น ทำเอาบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรเจ็บหนักไปเลยจริงๆ

ทั้งเผ่าสิงซากสมุทรวุ่นวายหนัก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกหัวโบราณที่หลับลึกหลายคนนั้นตื่นขึ้นมาอีกรอบล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้เผ่าสิงซากสมุทรคงจะเจอกับหายนะล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว

และหลังจากที่เกาะเงือกถูกเจ็ดเนตรโลหิตยึดครองจนเป็นแนวหน้าของกรมสั่งการไปแล้ว การโต้กลับหลายครั้งของเผ่าสิงซากสมุทรก็ล้มเหลวทั้งสิ้น ในช่วงสำคัญเช่นนี้ ระดับสูงของเผ่าสิงซากสมุทรจึงนำเอาทรัพยากรมหาศาลออกมาอย่างไม่เสียดายเพื่อรับชัยชนะ กระทั่งยังมอบโอกาสชีวิตที่ก้าวกระโดดออกมาเล็กน้อยด้วย

ขอแค่ได้รับคุณงามความดีได้ระดับหนึ่งก็สามารถนำไปแลกทรัพยากรกับโอกาสได้ ดังนั้นจึงล่อตาล่อใจผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรอย่างมาก

ตอนนี้ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรข้างๆ ค่ายกลส่งข้ามในปากปล่องภูเขาไฟก็เป็นเช่นนี้ แต่เขาเองก็ยังระมัดระวังอย่างมาก กลัวว่าคนที่เข้ามาจะเป็นผู้บำเพ็ญสร้างฐานที่เปิดสภาวะแสงนภาแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงนำเอาอาวุทเวทที่เอาไว้ตรวจจับคลื่นพลังงานบางส่วนมาด้วย

ข้างๆ เขามีดวงตาขนาดยักษ์ดวงหนึ่งวางอยู่อย่างโจ่งแจ้ง ดวงตานี้มีรยางค์สัมผัสเจ็ดแปดเส้นยื่นออกมา แทงเข้าไปกลางหน้าผากผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์อยู่เจ็ดแปดคน ใช้พวกเขามาชุบเลี้ยง และคอยจับตาค่ายกลทางนั้นอย่างใกล้ชิด

เพียงไม่นาน ดวงตาดวงนี้ก็เปล่งแสงขาวออกมา

พอเห็นแสงนี้ ใจของผู้บำเพ็ญเผาสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนั้นก็ผ่อนลง ใบหน้ามีแววกระหายเลือด กำลังจะพุ่งออกไป แต่พริบตาต่อมา ร่างเงาด้านในยังไม่ทันปรากฏชัดจากแสงที่ค่ายกลที่เจิดจ้า แสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งหวีดหวิวออกมาจากในค่ายกลก่อน พุ่งเข้าประชิดผู้บำเพ็ญสร้างฐานคนนั้นในพริบตา

เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานหน้าเปลี่ยนสีถอยหนี แต่แสงดำนั้นก็มีปฏิกิริยาชักนำ เพิ่มความเร็วให้แก่ตนเองให้มากกว่าก่อนหน้าเท่าหนึ่งอย่างกะทันหัน และยังมีเสียงระฆังสั่นสะเทือนวิญญาณแว่วมาจนทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชะงัก

ครู่ต่อมา แสงสีดำเข้าประชิด แทงหน้าอกเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนั้นจนทะลุ

ขณะเดียวกันก็มีร่างที่ถูกส่งข้ามมาในค่ายกลก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน ดวงตาที่คอยสังเกตอยู่ข้างๆ ค่ายกลก็เปล่งแสงจ้าขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ใช่สีขาวอีกต่อไป แต่กลายเป็นสีแดง

“พลังเวทสีแดง! รีบทำลายค่ายกลเสีย!” เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่บาดเจ็บคนนั้นสีหน้าสับสน รีบร้อนเอ่ยขึ้นทันควัน เผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ เองก็หน้าเปลี่ยนสี รีบลงมือทำลายค่ายกล

แต่ตอนนี้เอง ในค่ายกลก็มีเสียงอสูรเสียงหนึ่งคำรามออกมา อสูรคอยาวบรรพกาลตัวหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในร่างเงานั้น พุ่งออกมาฉับพลัน อสูรตัวนี้พอพุ่งออกมาก็ขยายร่างขึ้นจนท้ายสุดใหญ่โตขนาดร้อยจั้ง จัดการคลุมค่ายกลเอาไว้ในตัว

ขณะที่ส่งเสียงครืนครัน ร่างกายที่แข็งแกร่งของมันก็สะกดเอาวิชาเวทรอบๆ ทั้งหมด จนทำให้ค่ายกลส่งข้ามในตัวมันทำงานสำเร็จราบรื่นโดยไม่ถูกรบกวน

ร่างเงาในค่ายกลปรากฏโครงร่างชัดขึ้นในตอนนี้

สวี่ชิงนั่นเอง

สวี่ชิงไม่ได้เดินออกมาจากค่ายกลในทันที ยืนอยู่ตรงนั้นกวาดตามองเย็นชาไปรอบๆ

เขามองเห็นเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่มีสีหน้าตกตะลึง และยังมองเห็นเผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณสีหน้าพรั่นพรึงอีกสิบกว่าคนที่อยู่รอบๆ ด้วย

และยังสังเกตอีกว่าจุดที่ตนเองอยู่คือปากปล่องภูเขาไฟลูกเล็ก ส่วนตอนที่ตนเองออกมาก็ถูกลอบโจมตี แม้สวี่ชิงจะคาดไม่ถึงมาก่อน แต่การเตรียมป้องกันและระแวดระวังของเขาก็กลายเป็นนิสัยไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้วิธีการแบบนี้เล่นงานคนอื่น แล้วตนเองจะไม่สนใจได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงมีภาพก่อนหน้านี้ปรากฏเรียงออกมาทีละภาพ

เวลานี้สวี่ชิงเก็บสายตากลับมา ในร่างมีภูเขาไฟระเบิดขึ้นกะทันหัน เปิดสภาวะแสงนภาขึ้นมาทันที

ทุกสิ่งรอบด้านล้วนบิดเบี้ยวจากการปะทุของเปลวไฟในร่างกายรวมถึงอุณภูมิสูงที่น่ากลัวนั่น ดวงตาทดสอบพลังระเบิดออกทันที รวมไปถึงเผ่าสิงซากสมุทรระดับรวมปราณที่เชื่อมต่ออีกเจ็ดแปดคนนั่นด้วย พากันกรีดร้อง กระอักเลือดสดล้มลง

และที่กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ยังมีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณคนอื่นที่อยู่รอบๆ ด้วย เนื่องจากพลังบำเพ็ญของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป ในสายตาพวกเขาสวี่ชิงไม่ใช่ตัวตนที่จะมองตรงๆ ได้อีก เช่นเดียวกับครั้งนั้นที่สวี่ชิงยังเป็นรวมปราณแล้วจ้องมองผู้อาวุโสสาม ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้อาวุโสสาม แต่เผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณเหล่านี้ก็ไม่ใช่เขาในตอนนั้นเช่นกัน

ดังนั้นความรู้สึกในความเป็นจริงจึงไม่ต่างกันมากนัก เวลานี้เสียงกรีดร้องระงมดังก้องไปทั่วสารทิศ ร่างของสวี่ชิงก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็เข้าประชิดเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ถูกเหล็กแหลมสีดำแทงทะลุไปคนนั้น

ขณะที่คนผู้นี้ยังมีสีหน้าพรั่นพรึง ยังไม่ทันทำอะไร สวี่ชิงก็ใช้มือขวากดลงไปบนกระหม่อมของเขา ตบลงไปอย่างแรง เปลวเพลิงสีดำมหาศาลระเบิดปกคลุมขึ้นฉับพลัน กลืนกินอย่างรวดเร็ว

ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคิดจะดิ้นรน แต่กลิ่นอายตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิงก็ก่อแรงกดดันที่น่าสะพรึงขึ้นจนทำให้เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ยังไม่มีไฟชีวิตถลึงตาโต ช่องเวทในร่างกายส่งเสียงครืนครัน พลังบำเพ็ญยุ่งเหยิงขึ้นในพริบตา ต่อต้านเปลวไฟพิฆาตสีดำของสวี่ชิงไม่ไหว หลั่งทะลักเข้าร่างกาย

เสียงกรีดร้องแหลมส่งออกมา

อันที่จริงเขาไม่ได้อ่อนแอเลย หากเปลี่ยนเป็นสวี่ชิงก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ก่อไฟชีวิต แม้ถ้าต่อสู้กับคนผู้นี้จะเอาชนะได้ แต่ก็ยังต้องทุ่มสุดกำลัง ทว่าตอนนี้ทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็ว

สำหรับสวี่ชิงแล้ว สร้างฐานที่ยังไม่ได้จุดไฟชีวิต ไม่ว่าจะเผ่าใดก็ล้วนเป็นได้แค่ไก่เดินดินเท่านั้น