บทที่ 94 ดีมากแล้ว
หลินเหราชะงักกึก คาดไม่ถึงว่าเหยาซูจะใส่ใจกับเรื่องแปลกประหลาดเหล่านี้
เขากล่าวต่อว่า “ข้าไปรายงานเรื่องนี้ต่อขุนนางสายตรวจชั้นผู้ใหญ่ พวกเขาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เขารู้จักคนแซ่เหยา… แค่ก พฤติกรรมของนายอำเภอเหยาเป็นอย่างดี จะออกคำสั่งให้คนไปจัดการเรื่องในร้านน้ำชาเอง”
“แล้วตอนที่ท่านเข้าไปในจวนตรวจการ ไม่เจอพี่รองงั้นหรือ?”
หลินเหราสงสัย “ข้าไม่พบพี่รองเลย เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้? ”
เหยาซูเดินตามเขาไปข้างหน้าพลางอธิบายว่า “วันนั้นพี่รองไปหาข้าที่ร้านขายผ้า…ถามข้าว่ามีปัญหาหรือไม่ หากเป็นเช่นนี้ ดูท่าพี่รองคงเป็นผู้จัดการแก้ไขปัญหาที่ตามมาทีหลังของพวกเรา”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดฝีเท้าลง ก่อนเอ่ยกับหลินเหราว่า “อาเหรา วันข้างหน้าท่านอย่าได้บุ่มบ่ามเช่นนั้นอีก…”
หลินเหราไม่ใส่ใจกลับตอบไปว่า “คนชั่วช้าเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าสายตาของทุกคน ข้าต้องฆ่าเขาเป็นแน่”
เพราะความเฉยชาเมื่อพูดถึงชีวิตมนุษย์ของผู้เป็นสามี เหยาซูจึงรู้สึกเย็นวูบไปครู่หนึ่ง
นางจึงโน้มน้าวว่า “หากท่านฆ่าเขา ท่านเองก็ต้องติดคุก จะหาเรื่องใส่ตัวไปไย?”
หลินเหรากลับขมวดคิ้วแน่น “ขอแค่ไม่ถูกคนพบเห็นเข้าก็พอ หรือต่อให้ถูกพบเห็นก็ถือเป็นการขจัดอันตรายเพื่อราษฎร นายอำเภอเหยาทำเรื่องชั่วช้าไว้มากมาย ก่อความผิดโทษสถานหนักอย่างต่อเนื่อง ฆ่าเขานั้นไม่ถือว่าเกินไปหรอก”
เขาพูดได้เป็นธรรมชาติราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทว่าเหยาซูกลับยอมรับทัศนคตินี้ไม่ได้
เมื่อคนสมัยโบราณต้องเผชิญหน้ากับชีวิตมนุษย์และศีลธรรม ก็มักจะเห็นศีลธรรมเหนือกว่าชีวิตมนุษย์เสมอ
เหยาซูผู้เติบโตมาในสังคมที่ถูกปกครองโดยกฎหมายจึงไม่อาจจินตนาการได้โดยแท้จริง ถ้าหากเรื่องราวในภาพยนตร์กำลังภายในของกิมย้งกลายเป็นความจริงขึ้นมาจะเป็นอย่างไร?…วีรบุรุษผู้กล้ากำจัดคนชั่วผดุงความยุติธรรม ปล้นคนรวยช่วยคนจน…แต่การต้องฆ่าคนชั่ว หรือช่วงชิงสมบัติของคนรวยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทำไม่ได้
ทว่าเรื่องเหล่านี้ในสายตาของหลินเหรากลับเป็นเรื่องธรรมดา สมเหตุสมผล ถูกกฎระเบียบ
เหยาซูจึงกล่าวอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าไม่ชอบฟังเรื่องตีรันฟันแทง วันข้างหน้าท่านอย่าได้เอ่ยมันต่อหน้าข้าอีก และอย่าให้ข้ารู้ว่าท่านทำเรื่องเหล่านี้เชียว”
หลินเหรานิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เริ่มคิดวิเคราะห์ถึงความหมายในคำพูดของเหยาซู
เขาเห็นสีหน้าของเหยาซู ก่อนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “อาซู…เจ้าต้องการบอกว่า วันข้างหน้าไม่ให้ข้าทำเรื่องตีรันฟันแทง หรืออย่าให้ถูกเจ้าจับได้กันแน่?”
เหยาซูพลันรู้สึกฉุนเฉียวเพราะหลินเหรา และเขายังพูดเสริมอีกว่า “แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ยังต้องไปปราบปรามโจรบนภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่อยู่ดี…”
นางทอดถอนใจอย่างยอมรับชะตาชีวิต สุดท้ายก็ยังพยายามพูดอย่างมีเหตุผลกับหลินเหราว่า “ข้าพูดเรื่องที่ท่านต้องต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิตในสนามรบ หรือไปปราบโจรงั้นหรือ? เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดี การปกป้องบ้านเมืองเป็นเรื่องที่วีรบุรุษต้องทำ”
ไม่ทันที่หลินเหราจะรู้สึกยินดีปรีดากับคำพูดที่ราวกับได้รับการเชยชม เหยาซูก็กล่าวต่อทันทีว่า “แต่ท่านทำร้ายนายอำเภอเหยา? คิดฆ่าเขา? นี่คือการกระทำแบบไหนกัน? ถึงจะเรียกอย่างสวยหรูว่าขจัดปัญหาเพื่อราษฎร … แต่ใครเล่าจะรับประกันได้ว่าท่านไม่ได้ฆ่าคนเพราะเรื่องส่วนตัว? ต่อให้นายอำเภอเหยาก่อกรรมทำชั่วเพียงใด แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป แคว้นต้าเหยียนยังมีกฎระเบียบ แล้วท่านกับข้ามีหน้าที่ไปเรียกร้องความยุติธรรมเพื่อราษฎรแทนกฎระเบียบตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เมื่อหลินเหราได้ยินเช่นนั้นก็เอื้อนเอ่ยคำใดไม่ออก…
ในเมื่อกฎหมายไม่อนุญาตให้ชำระแค้นส่วนตัว แต่ทุกคนต่างก็ทำเช่นนี้ เช่นนั้นเป็นเรื่องผิดหรือไม่?
เมื่อเหยาซูเห็นท่าทางครุ่นคิดของเขา จึงรีบพูดเสริมว่า “แน่นอน การทุบตีเขาเพื่อระบายอารมณ์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก… ขอแค่ไม่สร้างผลกระทบที่ใหญ่เกินไป ก็ไม่มีใครโทษท่านแล้ว แต่อาเหรา พฤติกรรมของมนุษย์ควรได้รับการควบคุม จะให้ความโหดร้ายในสงครามมาทำลายความเคารพที่มีต่อชีวิตมนุษย์ และปล่อยให้ท่านกลายเป็นผู้ที่ดูหมิ่นกฎระเบียบไม่ได้”
หลินเหราขมวดคิ้วมุ่น เขามิอาจยอมรับคำพูดของเหยาซูได้ “แต่ชีวิตมนุษย์นั้นเปราะบางนัก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะควบคุมกฎระเบียบ”
เหยาซูกลับยิ้ม หญิงสาวรู้ว่าเขาไม่อาจยอมรับทัศนคติของตนเองได้ในเวลานี้ และนางเองก็รับพฤติกรรมของเขาไม่ได้เช่นกัน
นางจึงกล่าวเสียงอบอุ่น “สิ่งที่ข้าพูดในวันนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการให้ท่านกลายเป็นคนแบบไหน อาเหรา ท่านเป็นคนที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง ข้าเชื่อว่าท่านสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง หากคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นสมเหตุสมผล ก็เพียงแค่ยอมรับ ถ้าหากคิดว่าไม่มีตรรกะสักนิด ก็เพียงฟังผ่านหูไปเท่านั้น”
หลินเหรากลับส่ายหน้า “อาซู คำพูดของเจ้าพอมีเหตุผล….”
เหยาซูพูดต่อก่อนที่เขาจะพูดจบ “เพียงแต่ไม่สามารถยอมรับได้ทั้งหมด ใช่หรือไม่?”
ชายหนุ่มเงียบไปทันใด ผ่านไปเนิ่นนานจึงตอบกลับว่า ‘อื้อ’ คำเดียว
เหยาซูรู้ดีว่าเดิมทีหลินเหราเป็นคนที่เย็นชาคนหนึ่ง นอกจากผู้ที่เขาใส่ใจแล้ว น้อยมากนักที่จะเห็นว่าความเสียใจและความดีใจของคนภายนอกจะสามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ ส่วนความโหดร้ายในสงครามนั้น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตายทุกวัน ยิ่งทำให้คนผู้หนึ่งเมินเฉยต่อคุณค่าในชีวิตมนุษย์ได้ง่ายดาย อีกทั้งสูญเสียความรู้สึกที่ควรค่าแก่การทะนุถนอมมากเกินไป
นางไม่อยากตำหนิว่าเขาช่างเย็นชา
เชื่อได้เลยว่าผู้ที่เหมือนกับหลินเหราทุกคนในใจจะต้องเย็นชาเฉยเมยไม่มากก็น้อย เขาแค่มองข้ามสิ่งเหล่านี้ บีบบังคับให้ตนเองต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วในเวลาที่สั้นที่สุด
นางมองไปยังดวงตาของเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “อาเหรา ข้าไม่อยากให้ท่านเปลี่ยนไปเป็นเครื่องจักร เป็นเพียงเครื่องจักรที่รู้แค่วิธีการเอาชนะศัตรู บางทีในสนามรบก็ต้องการคนเช่นนี้ หากแต่ข้าเชื่อว่าผู้นำที่แข็งแกร่ง จะต้องเข้าใจความหมายของชีวิตมนุษย์ จะต้องรักษาความอบอุ่นส่วนหนึ่งเอาไว้ในหัวใจอย่างแน่นอน”
คำพูดหลังจากนี้ หลินเหราตั้งใจฟังอย่างเห็นได้ชัด
เขานึกถึงท่านแม่ทัพ
แม่ทัพเป็นผู้นำที่ต้องเด็ดเดี่ยว เมื่อเผชิญหน้าคนต่างถิ่นจะต้องคว้าดาบอย่างคล่องแคล่ว จะอ่อนแอในสนามรบไม่ได้ ทว่าทุกครั้งที่เขากลับเข้ามาในค่ายทหาร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าทหาร กลับอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
ทว่าท่านแม่ทัพก็เคยเกือบถูกศัตรูแทงเข้าที่หัวใจเพราะอยากช่วยหลินเหราที่ถูกจับตัวอยู่ในวงล้อมศัตรู เหตุการณ์นั้นฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของหลินเหรามาโดยตลอด
ถ้าหากไม่มีความอบอุ่นในจิตใจ แล้วเหตุใดแม่ทัพถึงต้องเห็นอกเห็นใจเหล่าทหารด้วยเล่า? ถ้าหากดูหมิ่นชีวิตมนุษย์ แล้วทำไมแม่ทัพต้องช่วยเหลือเขาที่พยายามเอาตัวรอดอย่างยากลำบากท่ามกลางทหารนับหมื่นนายด้วย?
ดวงตาที่เปล่งประกายของเหยาซูมองไปยังหลินเหรา ราวกับกำลังรอคำตอบจากเขา
เขาพยักหน้า ใช้สายตาลึกล้ำมองนางเช่นเดียวกัน พลางกล่าวเสียงแหบแห้งว่า “อาซู เจ้าพูดถูก”
เพราะยังเช้าตรู่ คนในเมืองจึงไม่พลุกพล่านนัก หลินเหราจูงมือของเหยาซูเดินไปบนถนนที่ค่อนข้างโล่งแจ้ง
สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านต้นหลิวที่ค่อย ๆ เริ่มแตกหน่อผลิใบ ปลอบประโลมหัวใจของหลินเหราได้ดียิ่ง คำพูดของเหยาซูเองก็เหมือนสายลมที่พัดผ่าน ละเอียดอ่อนทว่าไร้สุ้มเสียง ทว่าหลังจากได้ยินแล้วก็รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย
เขามองไปยังนัยน์ตาของนาง พลางให้สัญญาอย่างจริงจัง “วันข้างหน้าข้าจะเปลี่ยนตัวเอง จะไม่ให้เจ้าเป็นห่วงอีก”
เหยาซูแย้มยิ้ม และกล่าวกับเขาว่า “ท่านดีมากแล้ว”
หากบอกว่าหลินเหราเป็นดาบที่ถูกชักออกมาจากฝัก ทั้งคมกริบและแหลมคม…
ในขณะที่กำลังเชือดเฉือนกับศัตรู คมมีดอีกด้านของดาบก็อาจจะทำร้ายตัวเขาเองได้
เหยาซูไม่หวังให้ดาบเล่มนี้อยู่นอกฝักตลอดไป นางอยากให้เขาหาฝักดาบให้เจอ
เมื่อหลินเหราได้ยินคำพูดของนาง เหยาซูก็วางใจไม่น้อย จากนั้นก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เขาจำได้ว่าเมื่อครู่เหยาซูบ่นกระหาย จึงพานางมาถึงร้านน้ำชาทันที
นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกเขาจูงมือในที่แจ้ง ทว่าโชคดีที่คนในร้านน้ำชาไม่มากมายนัก
“มาร้านน้ำชาจริง ๆ ด้วย….” เหยาซูพึมพำ
หลินเหราก้มหน้าตอบ ‘อื้อ’ หนึ่งครั้งและกล่าวต่อว่า “ลานกว้างแห่งนั้นอยู่ห่างจากร้านน้ำชาไม่ไกลนัก ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี เจ้าพักผ่อนให้เพียงพอเถอะ แล้วเราค่อยเดินทางต่อ”
ทั้งสองคนเดินขึ้นไปชั้นบน
บริเวณชั้นสองเงียบสนิท นอกจากพวกเขาสองคนแล้วก็มีเพียงแต่เด็กในร้านที่กำลังเช็ดทำความสะอาดอยู่
เด็กในร้านชำเลืองตามองมายังผู้มาเยือน จากนั้นก็วางผ้าลงและเดินมาต้อนรับอย่างเบิกบานใจ “สวัสดีขอรับ ท่านทั้งสอง เช้าขนาดนี้ท่านทั้งสองมาทำอันใดหรือ?”
หลินเหรากล่าวแค่ว่า “ขอน้ำชาหนึ่งกา แล้วก็ขนมหนึ่งจาน”
เด็กในร้านตอบรับ “ไอหยา! ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่!”
ในขณะที่พูดเขาก็รีบลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมชาให้ทั้งสองคน
เหยาซูเลือกตำแหน่งริมหน้าต่าง ก่อนจะดึงหลินเหราให้นั่งลง
……………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
อาเหราผ่านโลกมาเยอะมากเหลือเกินจนด้านชา หวังว่าความอบอุ่นจากอาซูจะช่วยปลอบประโลมจิตใจอันแห้งผากของผู้ชายคนนี้นะคะ
ไหหม่า(海馬)