ตอนที่ 87

The simple life of the emperor

หลังจากที่เทียนหลางแยกกับผู้หญิงตรงทางเดินแล้วเขาก็มาถึงห้องเรียนก่อนจะเปิดประตูเข้าไปก็พบว่ามีนักเรียนอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น เทียนหลางเดินเข้าไปเลือกที่นั่งของตัวเองที่ด้านหลังสุดก่อนจะนั่งฟังบรรยายของอาจารย์อย่างใจเย็นพร้อมกับจดบันทึกเล็กน้อย

คาบเรียนหมดไปอย่างรวดเร็วเทียนหลางถอนหายใจออกมาพร้อมกับกำลังจะเตรียมตัวออกจากห้อง แต่ในขณะที่เขากำลังจะเก็บของอยู่นั้นก็ได้มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเขา

”หวัดดี”

เทียนหลางได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นนักศึกษาชายคนหนึ่งที่นั่งเรียนอยู่ในห้องเดียวกับเขาแต่นั่งอยู่ด้านหน้า เทียนหลางจ้องมองเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบกลับ

”หวัดดี”

ทั้งคู่เงียบไปเล็กน้อยก่อนที่ชายคนนั้นจะพูดขึ้น

”ฉันชื่อ ตู่เชิง อยู่คณะบริหารนายหล่ะ ?”

เทียนหลางเก็บหนังสือพร้อมกับตอบกลับ

”เทียนหลาง ประวัติศาสตร์”

เมื่อพูดจบเทียนหลางก็ลุกเดินไปที่ห้องของคาบเรียนต่อไปทันทีที่ตู่เชิงเห็นว่าเทียนหลางไม่ได้สนใจจะคุยกับเขา เขาก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมาก่อนจะเดินตามเทียนหลางมา เมื่อเทียนหลางเห็นว่าตู่เชิงเดินตามหลังเขามาติดๆเขาก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะรำคาญเขาจึงหันมาถามว่า

”นายจะตามฉันมาทำไม ?”

ตู่เชิงได้ยินก็หัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้น

”พอดีคาบต่อไปฉันต้องไปเรียนห้องเดียวกันนายหน่ะ”

เมื่อได้ยินเทียนหลางก็ตกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มมองดูตารางเรียนก็พบว่าเป็นวิชาประวัติศาสตร์ของคณะของเขาและไม่น่าจะเกี่ยวกับคณะบริหารเขาจึงหันไปถามกับตู่เชิงว่า

”มันไม่ใช่วิชาของสายบริหารนิ ?”

ตู่เชิงได้ยินคำถามก็หัเวราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น

”พอดีฉันสนใจประวัติศาสตร์นะ แล้วมันก็ยังมีประโยชน์กับการทำงานในอนาคตอีกด้วย”

”งั้นเหรอ”

ทั้งคู่เดินไปที่ห้องเรียนก่อนจะหาที่นั่งเพื่อรออาจารย์มาระหว่างนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยเพื่อทำความรู้จักกันอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นอาจารย์ก็เข้ามาและเริ่มสอน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนหมดคาบทั้งคู่จึงคิดจะออกไปกินข้าวกันที่โรงอาหารโดยที่ตู่เชิงจะเป็นคนเลี้ยงเองเพื่อเป็นการแสดงถึงมิตรภาพระหว่างทั้งคู่ซึ่งเทียนหลางก็ไม่ได้ปฏิเสธ ในระหว่างทางที่ทั้งคู่กำลังจะเดินไปที่โรงอาหารโทรศัพของเขาก็ดังขึ้น

เมื่อเขาเอามือถือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นซูหลินที่โทรมาหาเขา เมื่อเขารับโทรศัพก็ได้ยินเสียงที่แลดูหงุดหงิดเล็กน้อยของเธอเด็กออกมาจากปลายสาย

[ นายหายไปไหนมาหลายวัน ? ]

เทียนหลางยิ้มแห้งๆก่อนจะตอบกลับ

”พอดีช่วงนี้มีเรื่องยุ่งนิดหน่อยหน่ะ”

[ ยุ่งจนไม่มีเวลามาหาฉันเลยหรือไง ? น้องเสวียก็มักจะบ่นคิดถึงนายอยู่บ่อยๆ นายนี่ไม่สนใจผู้หญิงของนายเลยจริงๆ ]

เทียนหลางกุมขมับก่อนจะพูดขึ้น

”งั้นเอางี้เป็นไงตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงพัก เดียวจะเลี้ยงข้าวเอง”

[ โอ้ ~ จริงงั้นเหรอ ]

”ผมเคยโกหกงั้นเหรอ ?”

[ ก็ได้งั้นไปเจอกันที่ภัตตาคารสายหมอกนะ เดียวฉันจะไปรับน้องเสวียก่อน ]

”เข้าใจแล้ว”

หลังจากนั้นเทียนหลางก็หันไปหาตู่เชิงพร้อมกับพูดขึ้น

”โทษทีนะที่ไปกินอาหารที่โรงอาหารไม่ได้แล้ว พอดีฉันมีนัดที่ภัตตาคารสายหมอกนะ”

ตู่เชิงที่ได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย

”ไม่เป็นไร”

”ว่าแต่นายจะไปด้วยไหมหล่ะ ?”

”ฉันไปได้ด้วยงั้นเหรอ ?”

”แน่นอน”

”ฮ่าๆ งั้นฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน”

ทั้งคู่พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะเรียกแท๊กซี่ไปยังภัตตาคารสายหมอก เมื่อมาถึงเขาก็พบว่าไม่มีลูกค้ามากนักจากนั้นพนักงานสาวก็เข้ามาทักทายพวกเขาทันที

”สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าลูกค้ามากันกี่ท่านคะ ?”

”4 คนครับ”

”ถ้าเช่นนั้นลูกค้าสนใจห้องส่วน หรือไม่คะ ?”

”ห้องส่วนตัวงั้นเหรอ ? ได้สินำทางไปได้เลยครับ”

”งั้นเชิญทางนี้ได้เลยคะ”

ระหว่างทางพนักงานก็ได้ถามกับเทียนหลางว่า

”คุณลูกค้าสนใจห้องพิเศษ หรือห้องธรรมดาคะ ?”

”ห้องพิเศษมันดูจะใหญ่โตเกินไปเช่นนั้นขอห้องธรรมดาแล้วกันครับ”

”ทราบแล้วคะ”

พนักงานหญิงพาเทียนหลางและตู่เชิงมาที่ห้องส่วนตัวที่สองก่อนที่จะแนะนำอาหารของทางร้านให้กับทั้งคู่ ซึ่งเทียนหลางก็ยิ้มพร้อมกับบอกว่า

”อาหารเอาไว้ก่อนแล้วกันเพราะคนที่นัดเอาไว้ยังไม่ได้มา ฉะนั้นขอเป็นแค่เครื่องดื่มก่อนแล้วกันครับ”

”เช่นนั้นลูกค้าสนใจเครื่องดื่มแบบไหนคะ ?”

เทียนหลางที่ได้ยินก็ลูบคางเบาๆพร้อมกับเอ่ยสั่งไวน์ไปสองขวดเท่านั้น หลังจากที่เครื่องดื่มมาทั้งคู่ก็พูดคุยกันซึ่งตู่เชิงเป็นคนถามขึ้นมาก่อนว่า

”ทำไมนายถึงเข้า คณะประวัติศาสตร์หล่ะ ?”

”จากที่ฉันดูแล้วมันเป็นคณะที่สบายที่สุดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องเรียนที่สุดอะนะ”

ตู่เชิงไม่เข้าใจที่เทียนหลางพูดเขาจึงมองด้วยความสงสัย เทียนหลางยิ้มพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติม

”พอดีฉันไม่ได้สนใจเรื่องใบปริญญาสักเท่าไหร่นะ แต่เพราะแม่ของฉันอยากเห็นลูกชายเป็นผู้เป็นคนแบบคนอื่นเขาบ้างก็เลยอยากให้ฉันมีปริญญาติดตัวเอาไว้เพื่อจะได้ไม่โดยดูถูกนะ”

เมื่อตู่เชิงได้ยินคำอธิบายของเทียนหลางเขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง จากนั้นเทียนหลางก็ถามต่อว่า

”แล้วทำไมนายถึงมาเรียนบริหารหล่ะ ?”

”ครอบครัวของฉันเขาทำธุระกิจส่วนตัวนะและพ่อของฉันก็เป็นคนที่ดูแลทุกอย่างทั้งหมด แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าพ่อของฉันเริ่มที่จะทำงานหนักเกินไปฉันเลยคิดจะแบ่งเบาภาระของเขาโดยการเข้าเรียนบริหารและช่วยพ่อดูแลกิจการครอบครัวนะ”

เทียนหลางที่ได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับคิดว่าตู่เชิงก็แลดูจะเป็นคนดีคนหนึ่งเหมือนกันและด้วยที่เทียนหลางสามารถจับโกหกของคนอื่นได้ทำให้เขารู้ว่าตู่เชิงนั้นไม่ได้โกหก นั่นทำให้เขาสนใจในตัวของตู่เชิงเล็กน้อยเพราะในภายภาคหน้าเขาอาจจะมีธุระกิจเพิ่มขึ้นและการที่จะมีคนที่ไว้ใจได้คอยดูแลก็คงจะดีไม่น้อย

หลังจากที่คุยกันอยู่สักพักโทรศัพของเทียนหลางก็ดังขึ้นและเมื่อเห็นว่าเป็นซูหลินที่โทรเข้ามาเขาก็รับทันที

[ นายอยู่ห้องไหนงั้นเหรอ ? ]

”ห้องส่วนตัวที่สอง”

[ เอ๋ ?! ไม่ใช่ห้องพิเศษเหรอ ? ]

”ห้องพิเศษมันดูจะเกินไปหน่อยสำหรับสี่คน แค่ห้องธรรมดาก็พอแล้ว”

[ โอเค ยังไงนายก็เป็นคนเลี้ยงอยู่แล้ว เดียวฉันกับน้องเสวียจะไปหา ]

หลังจากวางโทรศัพไปแล้วตู่เชิงก็หันมาถามกับเทียนหลางว่า

”เพื่อนนายมาแล้วงั้นเหรอ ?”

”ใช่ น่าจะมาถึงแล้วละ”

เมื่อเทียนหลางพูดจบประตูของห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออกพร้อมกับผู้หญิงสองคนเดินเข้ามานั่นก็คือ หลินเสวีลและซูหลิน