ตอนที่ 412 – ยังมีอีกสองคน
โยนหรูอี้สรวงวิญญาณออกไป พลังวิญญาณระเบิดดังลั่น
โม่เทียนเกอเช็ดหน้า มองดูผู้ฝึกมารที่ล้มลงไปคนนั้น ถอนหายใจโล่งอก
ผู้ฝึกมารที่สูญเสียสติสัมปชัญญะเหล่านี้ทั้งจัดการได้ง่ายและไม่ง่าย ที่จัดการง่ายคือ ขอเพียงจำกัดพวกเขาได้ชั่วพริบตา นางกับเนี่ยอู๋ชางปฏิกิริยาไว จะสามารถทำลายพวกเขาได้ สิ่งที่จัดการไม่ง่ายคือ หากไม่สามารถจำกัดพวกเขา พวกเขาความแข็งแกร่งพุ่งสูง พลังของปราณมารกล้าแข็งสิบส่วน พวกนางมักจะได้แต่เลือกหลบเลี่ยง ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
“คนที่ห้า” เนี่ยอู๋ชางกระชับถุงมือแล้วกล่าว
จินสือและพวกเห็นกับตาตนเองว่าคนหนึ่งถูกตัวประหลาดนั้นกลืนกิน พวกเขาสามกลุ่มจนถึงตอนนี้สังหารไปห้าคนแล้ว รวมเป็นหกคน เช่นนั้น หากคนอื่น ๆ ยังไม่ถูกกินก็จะยังมีอีกสองคน
ห้าคนนี้สูญเสียจิตใจไปทั้งหมดไม่เว้นสักคน สองคนที่เหลือก็เกรงว่าจะร้ายเสียมากกว่าดี
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกออดถอนหายใจไม่ได้ คนสิบห้าคน ตายไปแล้วหกคน สองคนไม่รู้ร่องรอย พวกเขาเจ็ดคนนี้ พวกจินสือสามคนไม่มีการสนับสนุนของโอสถก็ทนได้ไม่นาน ยงหรูอวี้และฉิวเฉิงรั่วก็พูดยาก พวกเขาระดับการฝึกตนอ่อนอยู่สักหน่อย สถานการณ์ไม่ดีเลย!
“ไปเถอะ” โม่เทียนเกอหันหน้าไปเอ่ยหลังจากเก็บกวาดและโยนความคิดวุ่นวายออกจากสมอง
“อืม” เนี่ยอู๋ชางเดินตาม
เพิ่งจะเดินออกจากทางแยกหนึ่ง โม่เทียนเกอพอเงยหน้าขึ้นมองก็ตะลึงไป
เนี่ยอู๋ชางที่ตามอยู่ข้างหลังนางแทบจะชนนาง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรือ……” ยังถามไม่ทันจบก็ตะลึงไป
บนทางแยกด้านซ้ายของพวกนางมีคนเลี้ยวออกมาหนึ่งคน ชุดเขียวพกกระบี่ ก็คือผู้ฝึกเต๋าเพียงหนึ่งเดียวคนนั้นนอกจากพวกเขากับยงฉิวสองคน มือกระบี่ชุดเขียว
ทว่าสาเหตุที่พวกนางตกตะลึงคือ คนคนนี้ปรากฏตัว ถึงกับไม่มีพลังสภาวะสักครึ่งส่วน ดังนั้นจนถึงพริบตาที่พวกนางเห็นคนจึงได้ค้นพบการปรากฏตัวของเขา มิใช่จิตหยั่งรู้สัมผัสได้ก่อนเลย — คนคนนี้เก็บงำพลังสภาวะทั่วร่าง หรือว่าจะค้นพบอะไร?
คนคนนี้เดินมาข้างหน้าอีกช่วงหนึ่ง หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกนาง สายตาสำรวจพวกนางอย่างแหลมคมรอบหนึ่ง กุมมือเอ่ยว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่าน……”
“เขาไม่ได้กลายเป็นหุ่นเชิด!” เนี่ยอู๋ชางร้องเสียงต่ำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปีติ พวกเขาหาว่าครึ่งค่อนวันแล้ว รวมกับอีกสองกลุ่ม พบเจอผู้ฝึกตนทั้งสิ้นห้าคน ไม่มีสักคนที่ไม่ได้กลายเป็นหุ่นเชิด ได้แต่สังหารทิ้ง ตอนนี้จู่ ๆ มีคนปกติปรากฏขึ้นหนึ่งคนเป็นเรื่องที่น่าดีใจจริง ๆ
โม่เทียนเกอก็เป็นเช่นกัน กราดสายตาไป ไม่เห็นหุ่นไม้บนตัวผู้ฝึกตนคนนี้ดังคาด นางยกมือขึ้นคำนับกลับ ใบหน้าเจือแววยิ้ม “สหายเต๋าท่านนี้ จ้ายเซี่ยฉินเวย นี่คือสหายข้าเทียนฉาน ขอบังอาจถามว่าจะเรียกขานสหายเต๋าว่าอันใด”
“ฉินเวย เทียนฉาน?” ในดวงตามือกระบี่ชุดเขียวมีความกังขาเศษเสี้ยวหนึ่งแวบผ่าน แต่ตอบอย่างรวดเร็วว่า “จ้ายเซี่ยเจี้ยนซิน*”
“ที่แท้เป็นสหายเต๋าเจี้ยนซิน” โม่เทียนเกอพูดตามมารยาทหนึ่งประโยคแล้วกล่าวต่อทันทีโดยไม่ให้เวลาอีกฝ่ายว่า “ขอบังอาจถามสหายเต๋าเจี้ยนซินว่าเข้าสู่สถานที่ลับนี้แล้วได้ค้นพบเรื่องผิดปกติหรือไม่”
ผู้ฝึกตนที่เรียกขานตนเองว่าเจี้ยนซินคนนี้พอฟังวาจานี้แล้วก็มองนางอย่างตื่นตัวแวบหนึ่งจึงได้กล่าวว่า “วาจานี้ของสหายเต๋าหมายความเช่นใด”
“ความหมายก็คือ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าสถานที่ลับนี้ไม่ปกติ ไม่คล้ายกับสถานที่ลับโบราณกาลเลย” เนี่ยอู๋ชางไม่มีความอดทนจะหยั่งเชิงจึงถามออกมาทื่อ ๆ
“……” เจี้ยนซินมองดูพวกนางอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายเปิดปากว่า “มิผิด ดูท่า สหายเต๋าทั้งสองคิดจะจับมือกับข้าแล้ว?”
คุยกับคนฉลาดแสนง่ายดาย โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ในเมื่อสหายเต๋าก็ค้นพบว่าที่นี่ไม่ปกติก็ควรจะรู้ว่า สิ่งที่พวกเราเผชิญหน้าอยู่เป็นอันตรายประเภทใด เรื่องนี้ไม่เหมือนกับการทดสอบที่สามารถกระทำการตามลำพังอีกแล้ว อาศัยตัวคนเดียวหาทางรอดได้ยากมาก”
เจี้ยนซินผู้นี้ก่อนหน้านี้เคยปฏิเสธข้อเสนอของพวกยงหรูอวี้สองคน ดูท่าจะเป็นคนที่ชอบกระทำการตามลำพัง แต่พูดจากอีกมุมหนึ่ง คนอย่างนี้จะต้องทักษะสูงขวัญกล้า มีความคิดความเห็นเป็นของตนเองอย่างยิ่ง
เจี้ยนซินไม่ได้ตอบในทันที สายตาตกอยู่บนร่างพวกนางคล้ายกำลังใคร่ครวญ โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางก็ไม่ได้พูดมาก ตอนที่คนที่มีความคิดความเห็นของตนเองใคร่ครวญปัญหามักจะไม่ชอบให้คนอื่นพูดอยู่ด้านข้าง พวกนางเรื่องมากเกินไปกลับจะส่งผลตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจเอาไว้
“ได้”
โม่เทียนเกอได้ยินแล้วตะลึงไป กะพริบตาปริบ ๆ “สหายเต๋าเจี้ยนซินไม่ใคร่ครวญอีกสักหน่อยหรือ”
เจี้ยนซินส่ายหน้าเบา ๆ สายตาวนบนตัวพวกนางสองคนหนึ่งรอบ “การร่วมมือกันจำเป็นอย่างยิ่งยวด จะใคร่ครวญมากมายไปไยกัน สหายเต๋าทั้งสอง มาคุยกันเถอะ พวกท่านค้นพบว่าส่วนใดที่ผิดปกติ”
อีกฝ่ายตรงไปตรงมาอย่างนี้ โม่เทียนเกอยินดียิ่ง “ฟังจากความหมายของสหายเต๋า รู้ว่าเรื่องนี้มีความร้ายแรงมากแล้วหรือ”
เจี้ยนซินหันเหสายตา สายตาประดุจสายฟ้า หยุดอยู่บนร่างนาง กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าเคยพบลมปราณประหลาดก้อนนั้น”
ไม่ต้องอธิบายมากความแล้ว ในเมื่อเขาเคยพบตัวประหลาดตัวนั้น ถ้าฉลาดก็สามารถเดาออกคร่าว ๆ แล้วว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์อะไร
“หุ่นไม้ตัวนั้นของสหายเต๋าเล่า” โม่เทียนเกอถาม “ยังพกอยู่กับตัวหรือไม่”
เจี้ยนซินเอ่ยว่า “ทิ้งไปแต่แรกแล้ว วัตถุนี้จะต้องมีภูตผี”
“อ้อ?” น้ำเสียงราบเรียบเช่นนี้ของเจี้ยนซินทำให้พวกโม่เทียนเกอสองคนประหลาดใจอยู่บ้าง ถึงพวกนางจะเดาได้แต่แรกว่าสิ่งของนี้มีสิ่งผิดปกติ แต่ก่อนที่จะค้นพบความลับของหุ่นไม้กลับไม่ได้มั่นใจขนาดนี้
สายตาของเจี้ยนซินอ้อยอิ่งอยู่บนร่างพวกนางสองคนชั่วขณะ ยังใช้เสียงราบเรียบไร้คลื่นลมนั้นพูดว่า “สหายเต๋าทั้งสองดูอายุเยาว์นัก อาจจะยังมีประสบการณ์ไม่พอ รอพวกท่านมีชีวิตถึงสองร้อยปี พบเห็นสิ่งของมากกว่านี้ ก็จะเข้าใจว่า บางครั้งวิกฤติกาลเป็นสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง ด้วยสัญชาตญาณชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องมั่นใจเกินไปก็สามารถตัดสินใจได้แล้ว”
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางได้ยินวาจาประโยคนี้แล้วล้วนจิตใจสั่นสะท้าน เจี้ยนซินผู้นี้ไม่อาจดูเบาโดยแท้ แวบเดียวก็ดูออกว่าพวกนางอายุไม่มาก นี่ก็ช่างเถอะ ความตระหนักรู้ช่วงหลังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คนคนนี้จะต้องประสบกับคลื่นลมมาแล้ว ความแข็งแกร่งของสภาวะจิตใจยกระดับไปถึงขอบเขตหนึ่งแล้ว
เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ โม่เทียนเกอทั้งยินดีทั้งกังวล สิ่งที่ยินดีคือคนคนนี้ในเมื่อมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ การเป็นพวกพ้องจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้ไม่น้อย สิ่งที่กังวลคือ หวังแต่ว่าเขาจะสามารถร่วมแรงร่วมใจกับพวกเขา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้กลับเป็นพวกเราที่ประสบการณ์ไม่พอแล้ว”
เจี้ยนซินพยักหน้า ไม่ได้พูดจาไร้สาระต่อไปอีก พูดอย่างเรียบง่ายตรงประเด็นว่า “เอาล่ะ เวลาไม่มาก พวกท่านพูดมาเถอะว่าพวกท่านค้นพบอะไร หลังจากสื่อสารแลกเปลี่ยนกันแล้วอาจจะสามารถหาทางตอบโต้ออกมาได้”
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางย่อมไร้ความเห็น ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสิ่งที่ค้นพบของแต่ละฝ่ายอย่างเรียบง่ายตรงประเด็น พูดจบแล้ว ทั้งสามคนล้วนเงียบไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เรื่องที่เจี้ยนซินค้นพบเรียบง่ายมาก เขาเคยเข้าสถานที่ลับมากมาย พอเข้าโพรงถ้ำนี้ก็ค้นพบว่าไม่ถูกต้อง จากนั้นทำอย่างไรก็หาทางออกไม่เจอ จึงเข้าใจว่าตกหลุมพรางแล้ว
แต่การค้นพบอันเรียบง่ายนี้กลับสำคัญมาก หาทางออกไม่เจอ เจี้ยนซินผู้นี้ดูแล้วประสบการณ์เยอะกว่าพวกนางมาก แต่ถึงกับหาทางออกไม่เจอเหมือนกัน หรือว่าพวกนางได้แต่เป็นตะพาบในไห รั้งมือรอความตาย?
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอขบฟัน หากเป็นเช่นนี้จริง นางจะพาเนี่ยอู๋ชางหนีเข้าโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน อย่างมากก็อยู่ไปหลายสิบปี รอจนอีกฝ่ายละทิ้งที่นี่แล้วค่อยหาทางออกมา
แต่ว่า นี่เป็นแผนต่ำในแผนต่ำ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางไม่อยากพึ่งพาโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน การทำอย่างนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยสิ้นเชิงเลย ถึงอย่างไรที่นี่เป็นดินแดนของเจ้าเมืองเหมย เสียเวลาไปอย่างนี้ หากสภาวะจิตใจได้รับผลกระทบ พวกนางไม่อาจเลื่อนระดับ เจ้าเมืองเหมยนั้นกลับเลื่อนขึ้นเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายจริง ๆ……
“ได้ พวกเรามาพูดถึงเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้ากัน” หลังจากเงียบไป เจี้ยนซินอ้าปากกล่าวมาเป็นคนแรก “ที่อยู่กับพวกท่านยังมีอีกห้าคน ถ้ารวมข้าไปอีกก็จะเป็นทั้งสิ้นแปดคนที่ยังมีชีวิต พวกท่านบอกว่าฆ่าไปแล้วหกคน นั่นก็คือจะบอกว่ายังมีอีกหนึ่งคนที่หาร่องรอยไม่พบ”
“มิผิด” โม่เทียนเกอพยักหน้า “ไม่ทราบสหายเต๋าเจี้ยนซินมีข้อเสนอแนะอะไร”
เจี้ยนซินยังคงมีน้ำเสียงเรียบเฉยประดุจถกถึงเรื่องอันไร้ความสำคัญ “ข้าคิดว่า คนคนนั้นที่เหลืออยู่น่าจะยังมีชีวิต”
“อ้อ?” โม่เทียนเกอประหลาดใจ “เหตุใดสหายเต๋ามั่นใจปานนี้”
“เพราะว่าก่อนเข้าสถานที่ลับ ข้าจดจำสถานการณ์ของทุก ๆ คนเอาไว้หมดแล้ว”
พวกโม่เทียนเกอสองคนได้ยินแล้วตะลึงไป เจี้ยนซินผู้นี้ถึงกับมีจิตใจละเอียดอ่อนเพียงนี้เลย……
เจี้ยนซินกล่าวต่อว่า “ในพวกเราสิบห้าคน นอกจากพวกท่านกับข้า ยังมีคนหนึ่งคนที่ไม่ได้พกหุ่นไม้ คนคนนั้นเป็นผู้ฝึกมาร ก่อเกิดตานขั้นกลาง ดูแล้วคล้ายจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ข้าสังเกตเห็นว่าเขามีมือที่พิเศษเฉพาะคู่หนึ่ง”
“มืออย่างไรหรือ”
เจี้ยนซินยังคงใบหน้าไร้อารมณ์ “มือของเขาห่อหุ้มด้วยผ้าสีดำ จิตหยั่งรู้ก็ไม่อาจทะลุ แต่ข้าสังเกตว่าตอนที่เขายกมือจะเผยประกายสีเงินออกมาเล็กน้อย” เจี้ยนซินเหลือบมองพวกนางสองคนทีหนึ่งแล้วพูดว่า “หากข้าไม่ได้ดูผิด นั่นเป็นมือปลอมคู่หนึ่ง อีกทั้งยังถูกหลอมสร้างจนกลายเป็นอาวุธเวทแล้ว”
โม่เทียนเกอตะลึง เนี่ยอู๋ชางร้องออกมาแล้วว่า “เขาเอามือของตนเองหลอมเป็นอาวุธเวทหรือ?!”
“มิผิด อีกทั้งยังเป็นหนึ่งคู่” น้ำเสียงเจี้ยนซฺนยังคงเรียบเฉย “วิธีฝึกตนประเภทนี้คล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ หากข้าเดาไม่ผิด เขาน่าจะฝึกทักษะทางกายไปพร้อมกัน หรือพูดได้ว่า ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ มาก สาเหตุที่ผู้ฝึกตนมนุษย์แกร่งกว่าอสูรปีศาจเป็นเพราะพวกเราเข้าใจการปรุงยากินโอสถและใช้อาวุธเวท เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับร่างกายแข็งแรงแต่กำเนิด เปิดภูเขาผ่าศิลา หากมีคนผู้หนึ่งที่เป็นผู้ฝึกตนมนุษย์แต่กลับมีข้อดีของเผ่าปีศาจ เช่นนั้นเขาจะต้องมิใช่มือต่ำทราม”
“……” โม่เทียนเกอครุ่นคิดหนึ่งรอบ เอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราหาเขากันก่อน ในเมื่อเขาร้ายกาจเช่นนี้ หากร่วมมือกัน ความแข็งแกร่งของพวกเราก็จะแกร่งขึ้นไม่น้อย”
เจี้ยนซินพยักหน้า เขาพูดมากขนาดนี้ สิ่งที่อยากแสดงออกก็คือความคิดอันนี้
เนี่ยอู๋ชางเพียงพูดประโยคเดียว “ข้าไม่คัดค้าน”
ทั้งสามคนเห็นชอบร่วมกัน โม่เทียนเกอส่งเครื่องรางถ่ายทอดเสียงหนึ่งอันให้คนกลุ่มเล็กอีกสองกลุ่ม หลังจากอธิบายสถานการณ์แล้วก็แจ้งว่าครึ่งชั่วยามนี้พวกนางไม่อาจกลับไปร่วมตัว กำหนดทิศทางหลัก ๆ ทุกคนระมัดระวังตื่นตัวด้วย
“ทางนี้” หลังจากออกเดินทางใหม่ เจี้ยนซินแสดงความเห็นออกมาอีกครั้ง
โม่เทียนเกอมองดู เบื้องหน้าเป็นทางแยกสี่ห้าทาง ทางที่เขาเลือกเป็นทางที่สองจากด้านขวา จึงถามว่า “เพราะเหตุใด”
เจี้ยนซินกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ตอนที่ข้ามาสามารถยืนยันได้ว่าทางซ้ายสองทางล้วนไม่มีคน เดินไปทางนี้ พวกเราสามารถอาศัยจิตหยั่งรู้ตรวจสอบว่าสามทางนี้มีคนหรือไม่”
“……” ความแข็งแกร่งที่เจี้ยนซินแสดงออกมาเอาชนะพวกโม่เทียนเกอสองคนได้แล้ว ขณะนี้คิดดูแล้วจึงได้ฟังความเห็นของเขา ก้าวเข้าไปในเส้นทางที่สองด้านขวา
………………..
*เจี้ยนซินแปลว่าใจกระบี่
ตอนที่ 413 – หนทางโง่เขลา