บทที่ 127 หัวใจที่ถูกปลุกปั่น

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่127 หัวใจที่ถูกปลุกปั่น

“ไปดีๆนะน้องหก!”

เมื่อครู่หลานเยาเยาเรียกนางว่าพี่สามต่อหน้าเย่แจ๋หยิ่ง ตอนนี้นางจึงไม่สามารถเรียกหลานเยาเยาว่าพระชายาเย่ได้

หลานจิ่นเอ๋อมองตามนางไปพร้อมรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับทุ้มต่ำมือก็บีบผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น

ตอนเงยหน้ามองขึ้นมาอีกครั้ง!

นางก็เก็บรอยยิ้มก่อนหน้าของนางไปและยังคงมีความแดงที่แก้มอยู่ นางมองที่เขาแล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า

“อ๋องเย่ หมากรุกนี้……”

“ไม่เล่นแล้ว!”

เย่แจ๋หยิ่งมองด้านหลังที่ค่อยๆห่างไกลออกไปของหลานเยาเยา จิตใจเขาถูกผู้หญิงคนนั้นปลุกปั่นไปหมด ตอนนี้จะมีอารมณ์มาเล่นหมากรุกได้ยังไง

พอตกเย็น เย่แจ๋หยิ่งที่จิตใจไม่สงบสุขได้รออยู่บนรถม้านานแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารออะไร

โดยสรุป!

พอหลังจากเห็นว่าคนที่ออกมาจากประตูคือหลานจิ่นเอ๋อ สายตาของเขาก็กวาดมองผ่านนางไปและไปสนใจที่อื่น

“เจ้านาย ยังต้องรอไหม?”องครักษ์ลับที่ทำหน้าที่ขับรถม้าเอ่ยถาม

“ไปเถอะ!”

เย่แจ๋หยิ่งมองไปต้นไม้ใหญ่ในกำแพง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลดม่านลง

องครักษ์ลับมองไปยังหลานจิ่นเอ๋อที่ยืนอยู่ตรงประตูก็เกิดความงง

คนที่ปรากฏตัวตรงประตูเห็นชัดๆว่าเป็นคุณหนูสามของจวนแม่ทัพ หรือสิ่งที่เจ้านายรอจะไม่ใช่การมาส่งของพระชายา?

หลังจากรถม้าไป

บนต้นไม้ใหญ่ในกำแพง หลานเยาเยากำลังอุ้มผลไม้กองหนึ่งแทะๆ รถม้าค่อยๆห่างออกไปนางเพียงแค่เหลือบตาไปมองเท่านั้น

จากนั้นในสายตาของนางก็มีผู้หญิงท่าทางสง่างามปรากฏขึ้นนางเดินมาถึงตรงจุดที่รถม้าเพิ่งออกตัวไป สายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่รถม้าจากไป

ไม่รู้ว่ายืนอยู่นานเท่าไหร่

จนกระทั่งจ้าวซื่อรีบร้อนเดินออกมาไม่รู้ว่าพูดกับนางว่าอะไรจากนั้นทั้งสองคนก็กลับเข้าไปในตำหนัก

จิ๊……

ดูออกได้เลยว่าหลานจิ่นเอ๋อต้องมีความรู้สึกรักใคร่เย่แจ๋หยิ่ง สำหรับเย่แจ๋หยิ่งคิดทำอะไรนั้นนางก็ไม่อาจรู้ได้

ถ้าบอกว่าเย่แจ๋หยิ่งไม่ชอบนางหล่ะ!

ดูเหมือนจะยังอธิบายไม่ได้ ถึงอย่างไรเมื่อตอนเช้าเย่แจ๋หยิ่งบอกว่าเขาอยากมาดูคนคนหนึ่งที่จวนแม่ทัพแล้วก็ถือโอกาสส่งนางด้วย

พอมาถึงจวนแม่ทัพแล้วก็พบว่าเย่แจ๋หยิ่งปฏิบัติกับหลานจิ่นเอ๋อต่างกันมาก

ดูแล้วคนที่เย่แจ๋หยิ่งมาหาที่จวนแม่ทัพโดยเฉพาะก็คือหลานจิ่นเอ๋อ!

แต่พอตอนอยู่ในศาลานางก็กลับพบว่า เย่แจ๋หยิ่งก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจความรู้สึกของหลานจิ่นเอ๋อขนาดนั้น

สรุปแล้วมันยังไงกันแน่นะ?

หรือในนี้จะยังมีฉากน้ำเน่าอยู่อีก?

หรือจะให้พูดว่า เย่แจ๋หยิ่งตั้งใจแสดงความรักกับนางเพื่อทดสอบหลานจิ่นเอ๋อ?

ไอ้หย๊าแม่งเอ้ย น่าโมโหนัก!

กินผลไม้ไปไม่มากสมองนางก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ!

หลานเฉินมู๋ก็มาหานางที่ลาน ความหมายโดยรวมก็คือให้คำพูดที่เป็นห่วงนางเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ของจวนอ๋องเย่

ก็ถูกหลานเยาเยาพูดเลี้ยวไปเลี้ยวมาจึงลามไปยังท่านแม่ฉูซื่อ

“แม่ทัพหลาน ท่านแม่ข้ามีสหายคนสนิทหรือไม่?”

ตั้งแต่ตัดความสัมพันธ์พ่อลูก หลานเยาเยาก็ไม่เคยเรียกเขาว่าท่านพ่ออีกเลย แม้หลานเฉินมู๋จะไม่พอใจถึงยังไงนางก็เป็นพระชายาจึงไม่ได้พูดอะไร

ได้ยินดังนั้น!

หลานเฉินมู๋ก็เหมือนคิดอะไรได้ แววตาลึกลงไปราวกับมีบางอย่างที่ไม่ต้องการจะเอ่ยถึง ดังนั้นเขาจึงมองสีท้องฟ้าพร้อมยืนขึ้นคำนับนางกล่าวว่า

“พระชายา ฟ้ามืดแล้วพระชายาพักผ่อนเถิด ถ้าต้องการอะไรโปรดบอกพ่อบ้าน”

“อื้ม!”

หลังจากได้ยินหลานเยายาตอบกลับเขาก็หมุนตัวจากไป แต่ตอนที่เพิ่งจะเดินถึงประตูเสียงเบาๆของหลานเยาเยาได้ดังขึ้น:

“ได้ยินมาว่าแม่ทัพหลานกับจวนสิงปู้ช่างชูมีความขัดแย้งกัน ข้าก็เพิ่งมีจุดอ่อนบางอยากของจวนสิงปู้ช่างชู ถ้าหากคิดอะไรออกโปรดบอกข้า”

เมื่อได้ยินว่าจวนสิงปู้ช่างชู

หมัดของหลานเฉินมู๋ก็กำแน่น

ความสัมพันธ์ของเขากับจวนสิงปู้ช่างชูแต่ก่อนแม้จะจุดที่เห็นต่างกันทางด้านการเมืองแต่ก็ไม่ได้วุ่นวายถึงจุดที่แก้ไขไม่ได้

แต่หลังจากตั้งแต่นิ่งซื่อถูกจับเข้าคุก เขาก็ไปเยี่ยมมาหลายครั้ง

ถึงอย่างไรเมื่อสร้างความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาแล้วความสัมพันธ์ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป!

นิ่งซื่อแต่งงานกับเขามาก็นานแล้ว แม้ช่วงแรกจะยังไม่มีความรู้สึกรักแต่ก็ยังมีความรู้สึกออกมา

เขาอยากจะยัดเงินให้จวนสิงปู้ช่างชูเพื่อให้นิ่งซื่อได้อยู่อย่างดีในห้องขัง แต่ทว่าเพราะกลัวทำให้อ๋องเย่ไม่พอใจ จวนสิงปู้ช่างชูจะไม่ยอมรับเงินเขาซ้ำจะยังชักสีหน้าใส่เขาอีก

เดิมที นี่ก็ไม่มีอะไร

แต่ครั้งสุดท้ายตอนที่เขาไปเยี่ยมนิ่งซื่อก็ต้องพบว่าเพื่อที่จะลดความเจ็บปวดของร่างกายนางจึงมั่วกับผู้คุมขังในห้องคุก

ตรงจุดนี้……

จวนสิงปู้ช่างชูก็รู้แต่ก็ยังจงใจปล่อยให้ผู้คุมขังทำอย่างงี้

นี่ไม่ใช่การตบหน้าเขาอย่างแรงเหรอ?

ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเปลี่ยนเป็นแย่

หลานเฉินมู๋ยืนนิ่งอยู่ครู่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่หมัดที่กำแน่นก็ค่อยๆคลายลง

สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินจากไป……

ฮ่าฮ่า!

ดูเหมือนจะหยิ่งใช้ได้เลย

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหยิ่งแบบนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่?

ตอนนี้ ฮัวหยู่อันเดินเข้ามาด้วยหน้างงงัน รีบเดินมานั่งที่โต๊ะเทน้ำชาอย่างสบาย

“พวกท่านเป็นพ่อลูกกันหรือ?”

นี่ก็คือรูปแบบการปฏิบัติของพ่อกับลูกสาว ฮัวหยู่อันจึงอดส่ายหัวไม่ได้

“ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกไปแล้ว พ่อลูกที่ปฏิบัติต่อกันเหมือนศัตรูเคยเห็นไหมหล่ะ?”

มองไปยังฮัวหยู่ซึ่งดูไม่เหมือนสาวใช้เลยสักนิดหลานเยาเยาก็รู้สึกงงๆ

เรื่องแปลก!

ก่อนหน้านี้นางปล่อยให้นางตามมาที่จวนแม่ทัพได้อย่างไรกัน?

“เคยเจอสิ ก็คือท่านกับหลานเฉินมู๋ไง!”

สำหรับนางที่เรียกหลานเฉินมู๋ไปตรงๆหลานเยาเยาก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอะไร แต่รีบหยิบองุ่นพวงสุดท้ายที่เหลืออยู่ขึ้นมา

ฮัวหยู่อันตกตะลึง

ก็คือนางเห็นว่ายังเหลือองุ่นอีกพวกหนึ่งนางจึงเข้ามา เดิมทีที่ดื่มชาพูดคุยก็เพื่อดึงดูดความสนใจของหลานเยาเยา

จะรู้ได้ที่ไหนกัน?

ตอนที่นางเพิ่งจะวางถ้วยชาลงเตรียมยื่นมือไปหยิบองุ่นนั้นตะกร้าก็ว่างเปล่าไปซะแล้ว

“ท่านจะไม่ช่วยเหลือไว้ให้ข้าสักสองลูกเหรอ?” ฮัวหยู่อันมองนางอย่างเหยียดๆ

ถึงความเร็วจะเร็วกว่านางก็ช่างปะไร แต่ก็กินมาทั้งวัน

กินกินกิน ไม่ช้าก็เร็วได้กินจนกลายเป็นหมูแน่

ช่วยเหลือไว้ให้นางสักหน่อยสิ!

นางก็อยากกินนะ……

“งั้นก็ได้เจ้าไปเอาเสื้อผ้าในตู้เก็บออกมา จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าใหม่ที่ข้าเอามาใส่เข้าไป”

เสื้อผ้าในตู้เป็นของเก่านางทั้งหมด

บางอันก็ซักจนขาวแล้ว ต่อมาหลังจากที่นางใส่แล้วก็ซื้อชุดมาใหม่อีกแล้วก็วางไว้ในนั้นเหมือนกัน

แต่พอมาถึงจวนอ๋องเย่ถึงพบว่า

แบบที่นางซื้อมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ดูดีขนาดนั้นอีกทั้งยังไม่ทันสมัยด้วย

เสื้อผ้าที่นางซื้อมาตอนนี้นั้นสวยงามโดดเด่น รูปแบบทันสมัย การใส่ก็ไม่ซับซ้อน

“เสื้อผ้าเยอะไหม?” นี่คือประเด็นหลักเลย

ถ้าเยอะนางก็จะได้ขอองุ่นเพิ่ม

“ไม่เยอะๆ สองสามตัวเท่านั้นเอง ไปเร็วเถอะไม่งั้นข้าจะกินหมดแล้ว”

“ได้!”

ฮัวหยู่อันมององุ่นที่ถูกเด็ดๆไปทีละลูกในมือนางก็รีบร้อนมุ่งไปยังตู้

จากนั้นก็ส่งเสียงมาว่า:

“จวนแม่ทัพนี่จริงๆเลย ขี้งกเกินไปรึเปล่า! เสื้อผ้าท่านซักจนเป็นแบบนี้แล้ว ท่านยังใส่อยู่เหรอ?”

หลานเยาเยาไม่ได้ตอบอะไร

“ว้าว ข้าชักสงสัยแล้วว่าแต่ก่อนท่านจะไม่ใช่คุณหนู แม้แต่สาวใช้ในตำหนักก็ยังไม่ใช่ ดูสิตรงสายหน้าท้องยังมีรอยปะเลย!”

หลานเยาเยาก็ยังคงไม่ตอบ ความเร็วในการกินองุ่นก็ยิ่งไวขึ้น