ตอนที่ 128 ความช่วยเหลือจากเฉินเฟิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 128 ความช่วยเหลือจากเฉินเฟิง

หลินม่ายไม่ได้ตื่นตระหนก และยังพูดเสียงดังให้คนผ่านไปมาได้ยินด้วย “ถ้าทุกคนเห็นแบบนั้นก็ไปแจ้งตำรวจกันเลย”

เธอกล้าท้าแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ผิด อีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพ

พวกนี้คงจะมาเพื่อหลอกเอาเงินจากเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็น่าจะไม่ได้ท้องจริง ๆ

ถ้าท้องจริง ต่อให้เป็นมิจฉาชีพก็น่าจะค่อย ๆ ทำท่าล้มเพื่อไม่ให้เด็กทารกได้รับอันตราย

แต่ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจล้มลงอย่างแรง เห็นแล้วยังแอบเจ็บแทน

หล่อนมีพิรุธอยู่หลายอย่าง ทำให้หลินม่ายค่อนข้างแน่ใจว่าคงเป็นท้องลมมากกว่า

ถ้าไม่ได้ท้องจริง ๆ แบบนี้ก็จัดการไม่ยาก แค่เรียกตำรวจมาพิสูจน์ พาไปตรวจที่โรงพยาบาล ความจริงก็คงเปิดเผย

มีหน้าม้าบางคนลอบซุบซิบกัน โดยที่หลินม่ายไม่ทันได้สังเกต พวกนั้นเหมือนจะมีแผนอะไรเพิ่มมาอีกเพื่อรับมือกับเหยื่อแบบนี้

ในตอนนั้นเองก็มีชายอีกคนแหวกฝูงชนเข้ามาหญิงท้องปลอม ๆ คนนั้นแล้วตะโกนขึ้นมา “ภรรยา เกิดอะไรขึ้น ทำไมไปนั่งอยู่แบบนั้น”

หล่อนทำทีรีบชี้ไปทางหลินม่ายแล้วตอบว่า “หล่อนขับรถชนฉันค่ะ แล้วไม่อยากรับผิดชอบ แทนที่จะพาไปหาหมอแล้วจ่ายค่ารักษา ยังจะบอกให้อยู่รอตำรวจก่อนอีก”

ชายคนนั้นยืนขึ้นทันที เขาตรงเข้ามากระชากแขนหลินม่ายอย่างแรงด้วยดวงตาแดงฉาน “จ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้ มาทำร้ายภรรยาฉันแล้วจะไม่ยอมรับเหรอ ถ้าไม่จ่ายมาหนึ่งพันก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”

พวกหน้าม้าก็พากันออกเสียงสำทับ “ใช่ จ่ายมาเลย ๆ ”

หลินม่ายวาดขาเตะชายที่มากระชากเธอเต็มแรงจนร่างนั้นล้มลงกับพื้น “อยากให้จ่ายก็เรียกตำรวจมา ถ้าผิดจริงฉันจะจ่ายให้เลย”

เหล่าหน้าม้ารีบตะโกนเสียงดัง “เฮ้ย ทำไมทำร้ายคนอื่นแล้วไม่รับผิดชอบ”

“ชนคนไม่ยอมรับผิดไม่พอยังทำร้ายร่างกายคนอื่นเพิ่มอีก อย่าปล่อยให้หนีไปได้นะ”

หญิงสาวไม่สนใจเสียงพวกนั้น แล้วพูดเสียงกับคนอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาแล้วหยุดดูอยู่รอบ ๆ “ใครก็ได้เรียกตำรวจหน่อยค่ะ”

ชายคนหนุ่มคนหนึ่งตอบเธอ “เดี๋ยวผมโทรให้”

พวกหน้าม้าลืมตัวไปชั่วขณะแล้วหันไปส่งสายตาข่มขู่เขาอย่างกดดัน “อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่าน่า”

เห็นว่าพวกนี้ออกอาการมากเมื่อรู้ว่าจะเรียกตำรวจมา จะไม่ให้น่าสงสัยได้อย่างไร

เธอพอจะเข้าใจดีกว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนเท่าไร หลายคนเลี่ยง ๆ ที่จะเข้ามายุ่ง

ผู้ชายพลเมืองดีคนนั้นพอรู้ตัวว่ากำลังจะเดือดร้อนถ้าเข้ามายุ่งก็เลยถอยไป

เขาก็อยากจะช่วยเธอ แต่ก็ไม่อยากให้ตัวเองโดนร่างแหไปด้วย

พอเห็นว่าไม่มีใครกล้ามาช่วย พวกมิจฉาชีพเลยได้ใจ พากันปีนขึ้นมาบนรถของเธอแล้วล้อมรถไว้ด้วยท่าทางคุกคาม

หัวหน้าหน้าม้าพูดต่อ “จ่ายมาพันหยวน แล้วเราจะยอมปล่อยเธอไป”

หลินม่ายเริ่มคิดหาทางออกในหัวด้วยความร้อนรน ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเนือย ๆ ของชายหนุ่มที่ฟังดูทรงอำนาจดังขึ้นมา “ไอ้หัวถั่วงอก ไปกินดีหมีมาจากไหนถึงกล้ามาหาเรื่องในถิ่นฉัน”

มิจฉาชีพที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหันไปตามเสียงนั้น แล้วเห็นว่าเป็นเฉินเฟิงที่เดินเข้ามาอย่างสบาย ๆ พร้อมกับเหลียนเฉียวและลูกน้องอีกคนที่ชื่อเลี่ยเป้า ทั้งสามมองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นเยือก

ที่คนผู้นั้นโดนเรียกว่าหัวถั่วงอกเพราะเป็นคนหัวโตแซ่เหยียน* เขาจึงได้ฉายานี้มา

* ฉายา เหยียนต้าโถว แปลตรงตัวว่า คนหัวโตแซ่เหยียน

ไอ้หัวถั่วงอกและหญิงท้องลมพวกนี้ต่างอยู่ใต้อำนาจของเฉินเฟิง ได้ยินแบบนั้นก็พากันหน้าซีดเผือด

ไอ้หัวถั่วงอกรับโค้งคำนับเฉินเฟิงด้วยความหวาดกลัว “พวกเรา…ไปกันเถอะ…ลูกพี่เฟิง…อย่าถือสาพวกเราเลยนะ…”

ชั่วพริบตาเหล่ามิจฉาชีพก็วิ่งหนีหายไปไม่เห็นฝุ่น

โดยเฉพาะผู้หญิงท้องคนนั้นที่วิ่งเร็วกว่าใครเพื่อน ประหนึ่งว่าเคยเป็นนักกีฬาโอลิมปิก

หลินม่ายลงจากรถเพื่อขอบคุณเฉินเฟิง “ขอบคุณที่ช่วย”

ชายหนุ่มยกยิ้มก่อนจะถามติดตลกว่า “แค่ขอบคุณเหรอ”

หลินม่ายยิ้มค้าง ชะงักนิ่ง จากนั้นก็หยิบเอาธนบัตรสิบหยวนออกมาส่งให้เขาด้วยมือสองข้างพร้อมกันอย่างนอบน้อม “สินน้ำใจมอบให้ลูกพี่เฟิงที่เคารพ เผื่อจะเอาไปใช้สังสรรค์”

เฉินเฟิงเอามือปิดปากแล้วโต้ตอบกับเธอ “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไปด้วยกันไหมน้องสาว เลี้ยงข้าวกันซักมื้อ”

หลินม่ายปฏิเสธ “วันนี้ไม่ว่าง”

“งั้นก็นัดมาสิ”

หลินม่ายหมดอารมณ์จะล้อเล่นต่อ เธอจึงตอบเขาอย่างฉุน ๆ “นี่ ถึงวันนี้คุณจะช่วยฉัน แต่ก่อนหน้านี้ฉันก็ช่วยคุณแล้วไง ก็ถือว่าเสมอกันไป ทำไมต้องเลี้ยงข้าวด้วยหา”

พอเห็นเธออารมณ์เสียเขาจึงแก้อย่างยิ้ม ๆ “ล้อเล่นหรอกน่ะ ทำจริงจังไปได้” พูดจบเขาก็หันกายเดินจากไป

เหลียนเฉียวที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่มีสีหน้าขุ่นมัว มองการหยอกล้อกันระหว่างหลินม่ายและเฉินเฟิงด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะคลายลงเมื่อเขาเดินออกไปก่อน หล่อนจึงก้าวตามไปด้วย

หล่อนเข้าใจว่าเฉินเฟิงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักกับหลินม่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม

แต่ไม่คาดว่าเขาจะแค่แหย่อีกฝ่ายเล่นแล้วก็กลับ นั่นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

เหลียนเฉียวแกล้งถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ไปช่วยผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

เฉินเฟิงตอบกลับระหว่างที่ยังเดินนำอยู่ข้างหน้าโดยไม่ได้หันมามอง “หล่อนเคยช่วยฉันไว้ครั้งหนึ่งตอนที่บาดเจ็บ”

เหลียนเฉียวโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

เจ้านายของเธอถือเรื่องบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ

หญิงสาวคนนั้นเคยช่วยเขาเอาไว้ เขาก็เลยเข้าไปหาเธอที่กำลังเจอเรื่องยุ่งยาก เพื่อช่วยเธอเป็นการตอบแทน

เพราะวันนี้ได้ตอบแทนน้ำใจของหลินม่ายแล้ว เขาถึงได้กลับออกมาอย่างสบายใจสินะ

ตราบใดที่เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อเฉินเฟิงและพรรคพวกจากไป หลินม่ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบออกรถไปที่ตลาดสหกรณ์ของรัฐ

เธอสั่งเครื่องในหมูและปอดหมูเอาไว้อย่างละสองขีดครึ่งที่ร้านและยังไม่ได้ไปเอา

บ่ายสองหลินม่ายก็ได้ของทั้งหมดกลับไปที่ร้าน

วันนี้ช่วงเที่ยงร้านของเธอไม่ได้ขายเพียงแค่ หลูจู่ ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมู และข้าวผัดไข่ อย่างทุกวัน

ยังมีซาลาเปา เกี๊ยวต้ม ข้าวหมาก ที่ขายต่อเนื่องตั้งแต่ตอนเช้า แล้วก็เพิ่มเมนูใหม่เป็น ต้มเลือดหมูกับเกี๊ยวทางเหนือ

เพราะเป็นวันหยุด แถมที่ร้านยังมีอาหารให้เลือกสั่งหลายเมนูกว่าร้านอื่น ๆ บนถนนสายนี้ ทำให้ผู้คนมากินอาหารที่นี่จนคนแทบจะล้นออกมานอกร้าน

ถึงทุกคนจะอยู่ทำงานล่วงเวลากันหมด แต่ก็ยังทำงานกันแทบไม่ทัน

หลินม่ายรีบเอาเครื่องในที่ได้มาเข้าไปเก็บ ดื่มน้ำเย็น ๆ สองแก้วอย่างรีบ ๆ แล้วออกไปช่วยงานในร้าน

เสี่ยวลี่เดาว่าเจ้านายคงไม่ได้กินมื้อเที่ยงมา เลยส่งซาลาเปาให้เธอ

หลินม่ายกินซาลาเปาไปด้วยระหว่างที่ง่วนอยู่กับการทำข้าวผัดไข่ขาย

หลังจากที่หลูจู่ ซุปไชเท้า ต้มเลือดหมู ข้าวเปล่า และข้าวผัดไข่ ถูกขายจนหมด ความยุ่งเหยิงในร้านก็ค่อย ๆ เบาบางลง

แต่ซาลาเปายังถูกทำเติมมาเรื่อย ๆ แล้วขายต่อไป

เป็นช่วงน้ำขึ้นแล้วต้องรีบตักตวงเอาไว้ให้ได้มาก ๆ

และหลินม่ายยังมองว่าช่วงเทศกาลคนมากินเยอะขนาดนี้น่าจะช่วยสร้างชื่อเสียงแบบปากต่อปากให้กับซาลาเปาของร้านไปในตัว

หลินม่ายเอาเนื้อขาหมู 20 ชั่งที่ซื้อเมื่อเช้าออกมาล้าง หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วหมักเตรียมไว้

ตามด้วยการล้างเครื่องใน ปอดหมู คากิ ที่สั่งมาจากตลาดสหกรณ์ของรัฐ หมักทั้งหมดเอาไว้ แล้วถีบสามล้อไปหานายช่างจาง

เมื่อนายช่างเห็นว่าเธอมาแล้วจึงแอบบ่นด้วยรอยยิ้มว่า “ไหนว่าจะมาเอาตั้งแต่เที่ยง ทำไมเพิ่งมาล่ะ”

หลินม่ายกล่าวขอโทษ “ฉันยุ่งนิดหน่อย” เธอรีบจ่ายเงินส่วนที่เหลือ

นายช่างจางช่วยเธอยกเตาย่างขึ้นไปวางบนรถสามล้อ

เมื่อเรียบร้อยแล้วหลินม่ายก็ขนของทั้งหมดกลับไปที่ร้าน โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ เตรียมปอกมันฝรั่ง ล้างผักและทิ้งให้สะเด็ดน้ำรออยู่แล้ว

พนักงานสองคนสาละวนอยู่กับอุปกรณ์ย่างเซาเข่า โดยไม่รู้ว่าต้องใช้งานมันยังไง

หลินม่ายไม่มีเวลาจะมาอธิบายเลยเปลี่ยนงานให้พวกเธอไปช่วยกันเสียบไม้เนื้อสัตว์และผักที่เตรียมไว้แทน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เรือลูกพี่เฉินเพิ่งจะได้แล่นก็ตอนนี้ล่ะ หลังปล่อยให้เรือพี่หมอแล่นนำมาตั้งนาน

เสน่ห์แรงจริงม่ายจื่อเอ๊ย

ไหหม่า(海馬)