ตอนที่ 137 แตกหัก

ใฝ่หอมบินไล่ตามกลิ่นออกจากเทือกเขา ทั้งกลุ่มเองก็ไล่ตามออกไปจากเทือกเขาด้วยเช่นกัน จนกระทั่งมาถึงลานม้า ใฝ่หอมพบเหยื่อหอมอีกเม็ดอยู่ด้านนอกรั้วไม้ของลานม้า

เมื่อตามมาถึงที่นี่ เพียงมองดูก็รู้ว่าพวกหนิวโหย่วเต้ามาเอาม้าที่นี่

ทั้งหกคนซื้อม้า ไล่ตามทิศทางที่ใฝ่หอมมุ่งหน้าไปอีกครั้ง

พอมาถึงพื้นที่โล่งกว้างแห่งนี้ พวกเขาก็พอจะมั่นใจแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน จึงปล่อยปีกทองออกไปอีกตัวหนึ่งในระหว่างที่อยู่บนหลังม้า แจ้งทิศทางที่หนิวโหย่วเต้ากำลังมุ่งหน้าไปให้เกาซู่ซงทราบ

ปีกทองที่ปล่อยออกไปเป็นของสำนักเมฆาล่อง แต่ละสำนักไม่สะดวกจะนำปีกทองมามากเกินไปนัก คนของสามสำนักล้วนพกพาปีกทองไว้ใช้ติดต่อกัน ขอเพียงเป็นคนที่อยู่กับเกาซู่ชง จะใช้ปีกทองส่งข่าวให้ใครก็ได้ทั้งนั้น

ทั้งหกคนกำลังเร่งม้าไล่ตามไป

อีกด้านหนึ่ง คณะเดินทางหกคนของหนิวโหย่วเต้าควบม้าออกจากทะเลทราย พื้นที่กว้างใหญ่ด้านหน้าเริ่มปรากฏสีเขียวขึ้นมารางๆ มีความเขียวชอุ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคณะค่อยๆ เข้าสู่เขตทุ่งหญ้า

หลังจากนั้นก็เป็นเขาเขียวขจี

ระหว่างทางนับว่าค่อนข้างราบรื่น เพียงแค่เจอฝูงหมาในจำนวนหนึ่งเข้ามาก่อกวนเป็นครั้งคราวเท่านั้น พอเห็นเหยื่อก็จับกลุ่มไล่ล่า

ลำพังฝูงหมาใน พวกหนิวโหย่วเต้าย่อมไม่เกรงกลัว แต่หนิวโหย่วเต้าไม่อนุญาตให้ฆ่าพวกมัน มิใช่เพราะแนวคิดคุ้มครองสัตว์ที่ติดมาจากชาติก่อนแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะไม่อยากทิ้งเบาะแสร่องรอยใดๆ เอาไว้ แค่ขู่ให้พวกมันหวาดกลัวจนหนีไปก็พอ

เขตพื้นที่ทะเลทรายแห่งนี้มีหมาในอยู่เยอะแยะมากมาย ทั้งยังมีนกแร้งที่คอยแย่งชิงอาหารกับพวกหมาในด้วย บนฟ้ามีนกแร้งบินวนอยู่เป็นระยะ

เฮยหมู่ตานเก็บแผนที่ในมือ สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า เร่งความเร็วขึ้นไป วิ่งขึ้นไปตีคู่อยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ชี้ไปทางด้านหน้า “เต้าเหยี่ย ด้านหน้าคือหมู่เขาที่กว้างใหญ่ ไม่มีเส้นทางสัญจร ตอนนี้หากเปลี่ยนเส้นทางไปทางทิศตะวันออก น่าจะไปถึงทางหลวงได้ในอีกสองชั่วยามเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ามองนางแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว”

“…..” เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก ไม่เข้าใจเขาจริงๆ

ม้าควบทะยานผ่านทุ่งหญ้าจนมาถึงเชิงเขา หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังบริเวณเนินเขาที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง เร่งม้านำไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งคณะทยอยควบม้าขึ้นสู่เนินเขา ก่อนจะพุ่งตามหนิวโหย่วเต้าลงไปด้านล่างอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้ารั้งบังเหียนหยุดม้าอยู่ข้างลำธารสายน้อยที่ไหลผ่านภูเขาทางด้านหลัง กระโดดลงจากม้า ปล่อยให้ม้าที่หอบหายใจไปพักผ่อนกินน้ำ

เมื่อเห็นเขาทำเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่เหลือก็ปฏิบัติตาม

พวกเขามองดูหนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่ริมลำธาร จากนั้นมองดูป่าเขาที่อยู่รอบข้างอีกครั้ง ไม่ทราบว่าหนิวโหย่วเต้ามาหยุดอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร

“เต้าเหยี่ย จะพักแรมที่นี่หรือเจ้าคะ? พวกเราเพิ่งเดินทางมาไม่ไกล ม้าน่าจะมีแรงพอให้ไปต่อได้อีกสักระยะ…” เฮยหมู่ตานกึ่งถามกึ่งเตือน วาจาแฝงความระมัดระวัง

ตลอดการเดินทางนี้มีความรู้สึกพิกล ไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า นางรู้สึกว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้มีท่าทีสบายๆ เหมือนตอนที่พบตนเป็นครั้งแรกแล้ว คล้ายดูลุ่มลึกขึ้นไม่น้อย

ครั้งแรกที่ได้พบหนิวโหย่วเต้า แม้นจะถูกหนิวโหย่วเต้ากลั่นแกล้งจนมีสภาพน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง แต่นางก็เกิดความรู้สึกใกล้ชิดขึ้นมา ทว่าตลอดการเดินทางครั้งนี้ นางค่อยๆ รู้สึกได้ถึงระยะห่าง

หนิวโหย่วเต้าจ้องมองลำธารที่ไหลซัดสาดตรงเบื้องหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ที่นี้เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน เงียบสงบซ่อนเร้น ทำอันใดล้วนไม่มีใครรู้เห็น เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับฆ่าคนแล้วทิ้งศพไว้ ยามนี้พวกเจ้าไม่ลงมือ จะรอไปถึงเมื่อไร?”

ทว่าความคิดตรงข้ามกับวาจา อันที่จริงเขากังวลว่าร่องรอยการเดินทางจะถูกเปิดเผย จึงคิดหาสถานที่เงียบสงบปลอดภัยสักที่ก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนท่าที

หยวนฟางที่กำลังหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ อยู่ด้านข้างพลันตกใจขึ้นมา หันขวับจ้องมองไปทางพวกเฮยหมู่ตาน มือกุมด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว ตั้งท่าระแวดระวังขึ้นมาในทันที

พวกเฮยหมู่ตานมึนงง มองหน้ากันไปมา เหลยจงคังใจเต้นระรัว

เฮยหมู่ตานเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เต้าเหยี่ย เหตุใดถึงพูดเช่นนี้เจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไปเล็กน้อย ระหว่างที่พาทุกคนมาที่นี่ ในใจเขาพอจะคาดเดาเรื่องราวบางเรื่องได้แล้ว

เหตุผลนั้นไม่ยาก หากว่าคนเหล่านี้ล้วนมีปัญหากันทั้งหมดจริงๆ หากว่าคนเหล่านี้ล้วนคิดไม่ซื่อกันทุกคนจริงๆ อย่างนั้นการที่เขาปรับเปลี่ยนแผนการไปๆ มาๆ เช่นนี้ มันก็น่าจะทำให้คนเหล่านี้เกิดความหวาดระแวงขึ้นมาตั้งนานแล้ว ไม่มีทางที่จะติดตามเขาไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าด้านหน้าจะมีกับดักรออยู่หรือไม่

หากว่าทุกคนล้วนมีปัญหากันทั้งหมดจริงๆ เมื่อสังเกตได้ถึงความผิดปกติ คนทั้งกลุ่มจะต้องลองหยั่งเชิงอย่างแน่นอน หากหยั่งเชิงไม่สำเร็จก็คงเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงไปแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนมากกว่า จึงไม่จำเป็นต้องกลัวเขาเลย แล้วก็ไม่มีทางยอมติดตามเขาไปยังหลุมพลางที่อาจจะปรากฏขึ้นมาอย่างว่านอนสอนง่ายแบบนี้ได้

หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากคนเหล่านี้ล้วนมีปัญหากันหมด ทันทีที่ตนไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์แล้ว มันก็มีโอกาสที่พวกเขาจะช่วยสำนักเซียนสถิตรั้งตัวตนเองเอาไว้!

แต่แน่นอน เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องยืนยันให้แน่ชัดเสียก่อน

พอเห็นเขาเงียบไป เฮยหมู่ตานจึงถามอีกครั้งว่า “เต้าเหยี่ย เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทั้งๆ ที่หันหลังอยู่ “เข้าใจผิดอย่างนั้นเรอะ? หวงเอินผิง ชุยหย่วน รู้จักหรือไม่?”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา หัวใจเหลยจงคังก็ยิ่งเต้นระรัว

เฮยหมู่ตานแปลกใจเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเอ่ยถึงสองคนนี้ขึ้นมา “รู้จักเจ้าค่ะ พวกเขาคือศิษย์ของสำนักเซียนสถิตที่ประจำอยู่ในเมืองไจซิง พวกเราอยู่ในเมืองไจซิงตลอด ย่อมรู้จักคนของร้านค้าบางส่วนเป็นธรรมดา”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เผชิญหน้ากับพวกเขา ปึก! กระบี่ในมือถูกยกขึ้นแล้วค้ำไว้ด้านหน้าอีกครั้ง กระแทกหินกรวดใต้เท้าจนดีดกระเด็น เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เหตุใดต้องแอบวางแผนกับสำนักเซียนสถิตเพื่อทำร้ายข้า?”

หยวนฟางทราบว่าเต้าเหยี่ยไม่มีทางพูดจาไม่มีมูล ค่อยๆ ชักดาบที่ห้อยอยู่ตรงเอวออกมา เป็นดาบชั้นดีราคาแพงที่ซื้อมาจากร้านค้าของสำนักเลิศเมฆา

พวกเฮยหมู่ตานมองหน้ากัน ต้วนหู่เอ่ยเสียงขรึม “เต้าเหยี่ย เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ พวกเราไปวางแผนสมคบกับสำนักเซียนสถิตตั้งแต่เมื่อไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะให้ลงรายละเอียดหรือ ที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์! ช่วงกลางวันของเมื่อวาน มีคนลอบพบปะกับหวงเอินผิงและชุยหย่วนในห้องอย่างลับๆ ตอนกินอาหารเย็นเมื่อวานข้าแจ้งกำหนดการเดินทางของวันถัดไป ต่อมามีคนคาบข่าวไปรายงานชุยหย่วนถึงห้อง เมื่อคืนข้าจึงเปลี่ยนแผนการเดินทางอีกครั้ง ก็มีคนคาบข่าวไปรายงานชุยหย่วนถึงห้องอีก”

แม้แต่ช่วงเวลา สถานที่ แล้วก็ไปพบปะกับผู้ใดล้วนแต่ระบุได้ทั้งสิ้น เกรงว่าจะมิใช่ความเท็จแล้ว เกรงว่าคงมิอาจบอกปัดด้วยคำว่า ‘เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่’ ได้!

พวกเฮยหมู่ตานทั้งตกใจระคนสงสัย เรียกได้ว่าจิตใจหนาวสะท้าน สันหลังรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา แต่ละคนต่างมองพวกตนเอง หรือว่าในหมู่พวกตนจะมีคนทรยศอยู่จริงๆ? เป็นพี่น้องกันมาหลายปีขนาดนี้ มิตรภาพลึกซึ้งถึงขั้นฝากฝังชีวิตไว้ได้! หากถูกพวกเดียวกันแทงข้างหลังเช่นนี้ เกรงว่ากระทั่งตายก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตายได้อย่างไร!

หยวนฟางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งมึนงงเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน? เหตุใดตนถึงไม่ทราบเรื่องที่เต้าเหยี่ยพูดถึงสักนิดเลย? ส่วนใหญ่ตนอยู่กับเต้าเหยี่ยแทบจะตลอดเวลา แล้วเต้าเหยี่ยทราบเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ซ้ำยังรู้ละเอียดชัดเจนเช่นนี้อีก

สุดท้าย สายตาของเฮยหมู่ตาน ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงล้วนมองไปที่ตัวเหลยจงคัง เพราะสีหน้ากระอักกระอ่วนคร่ำเคร่งของเหลยจงคังมันเห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าเอง!” เหลยจงคังพลันตะคอกออกมา จ้องหนิวโหย่วเต้าเขม็ง “เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?”

“…….” แม้จะคาดเดาได้บ้างแล้ว แต่หลังจากเขาตะโกนยอมรับออกมาเอง ทั้งสามยังคงรู้สึกยากจะเชื่อได้ ไม่อยากเชื่อว่าเหลยจงคังจะหักหลังพวกเขาได้ ทว่าเหลยจงคังก็ได้ยอมรับออกมาแล้ว

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เฮยหมู่ตาน เมื่อวานนี้ข้าสามารถทำให้เขาแยกตัวไปอยู่เพียงลำพังแล้วกำจัดเขาทิ้งได้ทุกเมื่อ แต่เพราะข้าเห็นแก่หน้าเจ้า จึงมิได้แตะต้องเขา! เฮยหมู่ตาน ยังจำที่ข้าเคยบอกเจ้าได้หรือไม่ คนที่ไว้ใจไม่ได้ให้เตะโด่งออกไป เจ้าบอกว่าล้วนเป็นพวกพ้องที่ฝากชีวิตเอาไว้ได้ของเจ้า ทุกคนไว้ใจได้ ตกลง! ข้าเชื่อเจ้า! แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร? เจ้าควรมอบคำอธิบายให้ข้าหรือเปล่า?”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงจ้องมองเหลยจงคังด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยปนโกรธเกรี้ยว ต้วนหู่เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

เฮยหมู่ตานเองก็ขบกรามจนฟันแทบแตกแล้วเช่นกัน จ้องมองเหลยจงคังพลางตวาดใส่ “อยู่ด้วยกันมานานหลายปี พวกเราทำอะไรผิดต่อเจ้า เหตุใดถึงหักหลังพวกเรา?”

“ข้าไม่ได้หักหลังพวกเจ้า ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับทุกคน!” เหลยจงคังทุบทรวงอกของตนอย่างแรง ท่าทางคล้ายจะสื่อว่าเรื่องนี้ฟ้าดินเป็นพยานได้ อารมณ์พลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก จากนั้นชี้ไปทางหนิวโหย่วเต้าแล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “เป็นเพราะเขานั่นแหละ! พวกเจ้าถามเขาดูสิว่ากล้าเปิดเผยฐานะตัวตนของตัวเองหรือไม่? กระทั่งตัวเขาเองยังยากจะเอาตัวรอดได้ เขากำลังหลอกให้พวกเราทำงานรับใช้เขา หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ทุกคนต้องตายกันหมด สำนักเซียนสถิตไม่มีทางปล่อยพวกเราไป ราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไป นั่นมิใช่สิ่งที่พวกเราจะรับมือได้ หากพวกเราติดตามเขาก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น!”

ทำไมถึงเกี่ยวพันไปถึงราชสำนักแคว้นเยี่ยนแล้วเล่า? ทั้งสามคนจ้องมองไปทางหนิวโหย่วเต้าด้วยความฉงนและตื่นตะลึง

เฮยหมู่ตานกัดฟัน ลองเอ่ยถามดูว่า “เต้าเหยี่ย ท่านเป็นใครกันแน่?”

แม้จะถูกเหลยจงคังชี้หน้าซักถาม ทว่าหนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้คิดจะโต้เถียงกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ต้องการ แล้วก็ไม่จำเป็น เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ เป็นพวกเจ้าที่เลือกติดตามข้าเอง ข้ามิได้บังคับฝืนใจผู้ใด และไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใดเช่นกัน ผู้ใดกลัวว่าจะเกิดเรื่องสามารถถอนตัวได้ ข้าไม่ฝืนยื้อไว้แน่ มีเรื่องอะไรพวกเจ้าก็ค่อยๆ ปรึกษาหารือกันเอาเอง ได้ข้อสรุปอย่างไรข้าไม่สน แต่คำอธิบายที่ควรมอบให้ข้าไม่อาจขาดไปได้!” ความหมายในวาจานี้คือไม่มีทางยอมปล่อยเหลยจงคัง

เหลยจงคังชี้หน้าเขา ตะโกนว่า “เขาคือหนิวโหย่วเต้า! เป็นศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ติดตามยงผิงจวิ้นอ๋องซางเฉาจงแห่งแคว้นเยี่ยนที่อยู่ในข่าวลือก่อนหน้านี้คนนั้น เขาก็คือหนิวโหย่วเต้าที่ช่วงก่อนหน้านี้ก่อเรื่องสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ตอนนี้เขาถูกซางเฉาจงขับไล่ออกมาแล้ว กระทั่งตัวเองก็ยังยากจะเอาตัวรอดได้!”

ขับไล่ออกมาอย่างนั้นเหรอ? หยวนฟางเบะปากด้วยความดูแคลน รู้สึกว่าคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวช่างน่าสงสารโดยแท้!

ไม่ว่าจะถูกขับไล่ออกมาจริงหรือไม่ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำที่คล้อยตามคำพูดคนอื่นเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดใดๆ ในเรื่องราวให้พวกเขาฟังเลย แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ทำให้เขาอดเอ่ยแทรกขึ้นมาไม่ได้ “ขอแก้ข่าวเล็กน้อย ข้ามิใช่ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อันใดนั่น ข้าถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนักแล้ว!”

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่เอ่ยถึงสถานะนี้ เขาล้วนต้องชี้แจงให้กระจ่าง

คำพูดนี้ถือเป็นการยอมรับสถานะของตัวเองไปโดยปริยาย แล้วก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์ความหมายอีกชั้นหนึ่งที่เหลยจงคังอยากจะสื่อออกมา ว่าตัวเขาไม่ได้มีภูมิหลังและอำนาจอันใด

เขาคือหนิวโหย่วเต้าอย่างนั้นหรือ? พวกเฮยหมู่ตานตกตะลึง กวาดตามองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางเหมือนยากจะเชื่อได้

เรื่องสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยน ทำให้ชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต้าแพร่กระจายไปทั่วหล้า!

เหลยจงคังกล่าวว่า “เขายอมรับหมดแล้ว พวกเจ้ายังคิดว่าข้าหักหลังพวกเจ้าอยู่หรือไม่เล่า? ข้าหวังดีต่อพวกเจ้าต่างหากล่ะ!”

เฮยหมู่ตานกล่าวตะคอก “เช่นนั้นเหตุใดถึงปิดบังพวกเรา เหตุใดถึงไม่นำเรื่องนี้มาบอกเล่าให้พวกเรารู้ก่อน?”

เหลยจงคังเหวี่ยงแขน กล่าวว่า “ขนาดนี้แล้วยังจะมาถามเรื่องนี้อีกหรือ มาถึงตอนนี้ยังไม่รู้อีกหรือว่าควรจะยืนอยู่ฝั่งไหน มาถึงขนาดนี้แล้วยังจะมาซักถามข้าอีก เพราะเหตุใดข้าถึงไม่พูด ข้ากังวลอะไรอยู่ พวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ที่เขาพูดมาก็ถูก ในเมื่อเรื่องมันถูกเปิดเผยออกมาแล้ว จะอยู่ฝ่ายไหนติดตามฝ่ายไหน ตอนนี้จำเป็นต้องคิดให้กระจ่าง”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงขมวดคิ้ว เช่นนี้แล้วเหลยจงคังก็ไม่นับว่าหักหลังพวกเขาเช่นกัน แต่จะเลือกยืนอยู่ฝั่งไหน นี่คือเรื่องที่ทำให้พวกเขาลำบากใจยิ่ง

ทว่าเฮยหมู่ตานพลันหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับคนทั้งสาม เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หนนี้ทุกคนเชื่อข้า พวกเราจะติดตามเต้าเหยี่ย! เหล่าเหลย เจ้าเองก็เชื่อข้าเถอะ ขอเพียงตอบตกลงว่าจะไปกับพวกเราด้วยความจริงใจ พวกเราจะช่วยขอความเมตตาจากเต้าเหยี่ยให้เจ้า ข้าเชื่อว่าเต้าเหยี่ยจะไม่ถือสาเรื่องเหล่านี้!”

เหตุผลที่นางตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เป็นเพราะนางพอจะมองเห็นประกายบางอย่างจากตัวหนิวโหย่วเต้าได้รางๆ มองเห็นโอกาสที่จะเสี่ยงเดิมพันอนาคต หากช่วยเหลือสำนักเซียนสถิตไป บางทีอาจจะหลบเลี่ยงอันตรายในครั้งนี้ไปได้ ทว่าสำนักเซียนสถิตจะมอบสิ่งใดให้พวกเขาหรือ? นางพึ่งติดตามหนิวโหย่วเต้าได้ไม่นาน หนิวโหย่วเต้าก็ให้เงินนางห้าหมื่นเหรียญทองแล้ว อีกทั้งตั๋วแลกทองก็ยังอยู่ที่ตัวนางด้วย!

แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือถึงแม้จะช่วยสำนักเซียนสถิตไป แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจะหลบเลี่ยงอันตรายได้ ความมั่นใจในตัวเองอย่างล้นเหลือของหนิวโหย่วเต้าทำให้นางรับรู้ได้ถึงความกดดัน เห็นๆ อยู่ว่าหนิวโหย่วเต้าโดดเดี่ยวไร้กำลัง แต่กลับกล้าพาพวกนางมาในสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้แล้วค่อยเปลี่ยนท่าที เมื่อคิดดูดีๆ ก็รู้สึกว่าน่ากลัวเป็นอย่างมาก!

…………………………………………………………………….