“เขาเป็นคนแรกเลยนะที่กล้าแหกกฎของพวกแก๊งเสือขาวที่มีมาตลอดหลายปีได้ แต่ยังไงก็เถอะ ฉันว่าหมอนั่นคงอยู่รอดในซ่างเฉิงไม่ถึงวันพรุ่งนี้หรอก”

ทันใดนั้น ผู้จัดการคาสิโนรีบวิ่งเข้าไปช่วยท่านฉินทันที หลังจากนั้น เขาก็มองไปยังแผ่นหลังของเสี่ยวเฉิงและกล่าวคำพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มออกมา “ไอ้เด็กบัดซบ! แกจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำไปในวันนี้แน่!”

ทว่า เสี่ยวเฉิงพลันหยุดเดิน ทันทีที่เห็นเช่นนั้น ผู้จัดการเองก็กลัวว่าเขาจะหันกลับมาทำอะไรอีก ผู้จัดการจึงรีบโบกมือเรียกผู้คุมที่เหลือให้มายืนคุ้มกันท่านฉินเอาไว้

จากนั้น เสี่ยวเฉิงก็หันไปถามหยางกงเซีย “แล้วคุณยืมเงินพวกนั้นมาเท่าไหร่กันล่ะ?”

หยางกงเซียก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด “หนึ่งแสนหยวน…”

จากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงก็หยิบบัตรเครดิตใบหนึ่งออกมาแล้วโยนให้ผู้จัดการ “ในนั้นมีเงินอยู่ห้าแสน ไปกดเอาเอง แล้วเดี๋ยวฉันจะกลับมาเอาเงินทอนทีหลัง”

ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็พาตัวหยางกงเซียออกไป

ทว่า เหล่านักพนันที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ตกใจและเริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้งหลังจากที่เสี่ยวเฉิงออกไปแล้ว ถึงกระนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาที่คาสิโนของพวกแก๊งเสือขาวเพื่อก่อเหตุแล้วเดินออกไปโดยที่ไม่เจ็บตัว ทั้งนี้ ต้องขอบอกเลยว่าพวกเจ้าของธุรกิจระดับกลางหลายคนเองก็คงจะได้รู้จักกับเสี่ยวเฉิงแล้วในคืนนี้ แต่พวกเขาก็ตระหนักอีกด้วยว่าเสี่ยวเฉิงคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแน่

“คุณไม่น่าไปทำแบบนั้นกับท่านฉินเลยนะ” หยางกงเซียกล่าว “แถมเขายังเป็นถึงผู้ที่มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของเมืองซ่างเฉิงเลยด้วย ไหนจะเรื่องประวัติความเป็นมาของเขาอีก… คุณจะต้องคาดไม่ถึงเลยล่ะ”

ทว่า ระหว่างที่คนขับแท็กซี่ได้ยินเสี่ยวเฉิงและหยางกงเซียพูดถึง “ท่านฉิน” เขาก็พลันเหลือบมองทั้งสองจากกระจกมองหลัง

“แล้วไงล่ะ? ยังไงตอนนี้ฉันก็ล้มคนพวกนั้นได้แล้ว อีกอย่าง ฉันเองก็เคยเป็นทหารมาก่อน แล้วถ้าฉันไม่กระทืบพวกมันก่อน พวกมันก็จะมากระทืบฉันแทนน่ะสิ”

คนขับแท็กซี่พลันเผยเสียงหัวเราะ “คุณเนี่ยนะเพิ่งจะไปกระทืบพวกท่านฉินมา? นี่กำลังพูดถึงท่านฉินแห่งแก๊งเสือขาวกันอยู่ใช่ไหม?”

ทั้งหยางกงเซียและเสี่ยวเฉิงต่างมองไปที่คนขับรถ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

หลังจากทั้งคู่ลงจากรถและรีบเข้าไปในโรงพยาบาล คนขับแท็กซี่ก็พลันนับเงินและบ่นพึมพำกับตัวเอง “พวกคนหนุ่มสาวสมัยนี้ขี้อวดกันจังเลยนะ… กล้าเอาชื่อของท่านฉินมาล้อเลียนแบบนั้นได้ยังไงกัน? ไม่กลัวว่าตัวเองจะเข้าไปพัวพันกับพวกแก๊งเสือขาวหรือยังไง? ถ้าพวกเขารู้จักท่านฉินจริง ก็คงจะไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรือล้อเลียนท่านฉินแบบนั้นหรอก… ปากดีขนาดนั้น ไม่โดนกระทืบตายก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ในระหว่างนั้นเอง โทรศัพท์ของคนขับก็พลันดังขึ้น เพื่อนร่วมงานของเขาส่งรูปภาพมาให้ หลังจากนั้น คนขับส่งรีบข้อความกลับไป “รูปบ้าอะไรกัน?”

“หัวหน้าใหญ่ฝากแจ้งทุกคน! ใครก็ตามที่เห็นผู้ชายในรูปนี้ แจ้งตำแหน่งกลับมาทันที!”

“หือ?!”

ทันทีที่คนขับมองไปยังรูปในโทรศัพท์ เขาก็พลันอุทานออกมา “ให้ตายเถอะ! นี่มันไอ้หนุ่มน้อยคนเมื่อครู่ไม่ใช่หรือยังไงกัน?”

คนขับพลันกลืนน้ำลายลงคอ

ทันทีที่หยางกงเซียเข้ามาถึงห้องผู้ป่วย ภรรยาของเขาก็ได้รับการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่า เธอยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย แถมลูกสาวของหยางกงเซียเองก็พลันนอนหลับอยู่ที่โซฟาอีกด้วย

ในตอนนี้ เสี่ยวเฉิงเองก็กำลังยืนอยู่ข้างกำแพงทางเดินพร้อมกับหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ทันใดนั้น เซินเหยาก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งและถามขึ้น “ฉันคุยกับสาวน้อยคนนั้นมาแล้วนะ นายไม่รู้จักครอบครัวของเธอสักหน่อย แล้วเงินที่เสียไปมันจะคุ้มไหมเนี่ย?”

เสี่ยวเฉิงพลันมองไปที่ฉากอันอบอุ่นของครอบครัวสามคนในห้องคนไข้และเผยยิ้มออกมา “มันคุ้มสิ ฉันรู้ว่าการมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมันสวยงามขนาดไหน ถ้าเรามีทั้งพ่อและแม่คอยอยู่เคียงข้าง…ทุกคนในครอบครัวก็จะพาเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ในที่สุด”

ไม่นานนัก หยางกงเซียก็พลันเดินออกมาพร้อมกับรับรู้เรื่องการผ่าตัดและค่าใช้จ่ายแล้ว เขาเผยดวงตาแดงก่ำและรีบคุกเข่าต่อหน้าเสี่ยวเฉิงทันที “คุณเสี่ยวเฉิง! ผมต้องขอบคุณมากเลยนะ!”

เสี่ยวเฉิงพลันตบไหล่หยางกงเซีย “ไปเฝ้าภรรยาของคุณก่อนเถอะ ผมไม่ใช่คนแรกที่คุณควรจะคุกเข่าให้หรอกนะ เข้าไปอยู่กับครอบครัวเถอะ”

หยางกงเซียรีบพยักหน้า เดิมที เขาคิดว่าชีวิตตัวเองนั้นได้พังทลายลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ท้ายที่สุด เสี่ยวเฉิงก็แสดงให้เขาเห็นถึงความหวังอันริบหรี่

ทันทีที่หยางกงเซียเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เสี่ยวเฉิงก็เผยยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “ถ้าพูดถึงอดีต… ฉันเองก็ค่อนข้างหมดหวังกับเรื่องที่สักวันหนึ่งจะได้อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา”

เซินเหยาพลันหันมองไปยังเสี่ยวเฉิงและถามขึ้นอย่างสงสัย “แล้วตอนนี้พ่อแม่ของนายอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”

“เสียแล้วทั้งคู่…”

เซินเหยาพลันถอนหายใจ “เสียใจด้วยนะ…”