บทที่ 47 พระชายาบอกไว้แล้วว่าไม่ว่าใครก็ไม่พบ
องค์หญิงหลิงหยุนต้องการจะพบเย่จายซิง คนของตระกูลเย่ต่างรู้ดีว่าคงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอะไร
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะให้องค์หญิงสั่งสอนนางสักยก
แต่หลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ของตระกูลเย่ก็กลับมาด้วยความอัปยศ มีรอยฝ่ามือตบอยู่บนใบหน้า บวมเป็นหัวหมูเลย
“นี่เกิดอะไรขึ้น?”
เย่เจียหรงขมวดคิ้วถามขึ้นอย่างอ่อนโยน
คนใช้ประคองใบหน้าของตนและกล่าวว่า
“คุณหนูใหญ่เพคะ ข้าน้อยยังไม่ทันได้เข้าใกล้ลานบ้านของคุณหนูสี่เลยก็ถูกองครักษ์ลับผู้นั้นซัดฝ่ามือมาแต่ไกล องครักษ์ลับเตือนข้าน้อยว่าไม่ว่าใครก็ตามห้ามไปรบกวนคุณหนูสี่เด็ดขาด!”
“ข้าออกปากเชิญนางมาด้วยตัวเองยังเชิญไม่ได้ ช่างไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย!”
องค์หญิงหลิงหยุนหรี่ตาลงและกล่าวเสียงเย็นชาออกมา
“องค์หญิง น้องสี่นางมีอ๋องเซ่อเจิ้งคอยให้ท้ายอยู่จึงไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา ท่านก็ทราบดีว่าอ๋องเซ่อเจิ้งเขาน่ากลัวเพียงใด คนที่เขาปกป้องไม่มีใครกล้าล่วงเกิน……”
เย่เจียหยูจงใจพูดถึงเย่จายซิงอย่างเสียๆ หายๆ
เป็นไปตามที่คิดองค์หญิงหลิงหยุนโกรธมาก ฐานะของนางสูงส่ง อยู่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ยกเว้นคุณหนูตระกูลใหญ่ๆ พวกนั้นแล้ว ไม่มีใครไม่ให้เกียรตินาง ในจุดนี้หลังจากที่นางคารวะอาจารย์กลั่นยาขั้นหกท่านโจผิงไปไม่นานก่อนหน้านี้ก็บรรลุถึงจุดสูงสุดเหนือกว่าคนอื่นแล้ว
คิดไม่ถึงว่ากลับมาถึงแคว้นหงส์แดง คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนที่อัปลักษณ์ไร้ความสามารถคนหนึ่งทำให้เสียหน้าได้ นางหยิ่งผยองจนชินแล้วจะทนรับกับอารมณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
“นำทางข้า ข้าจะไปตัวตัวกับนางด้วยตัวเอง!”
องค์หญิงหลิงหยุนหยิบดาบยาวหนึ่งเล่มออกมาแล้วลุกขึ้นยืน
เย่เจียหรงมองไปทางเย่เจียหยูน้องสาวครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าหน้าไปทางนางอย่างพอใจ
มุมปากของเย่เจียหยูยกขึ้นเล็กน้อย สองปีมานี้นางเลียนแบบพี่สาว ภาพลักษณ์ความบริสุทธิ์และความเมตตาได้หยั่งรากลึกในใจของผู้คน การใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นแผนนี้ยิ่งถ่ายทอดมาได้ดีและยังทำได้ดีกว่าด้วย
ทุกคนต่างตามไปด้วย เย่จายซิงยั่วให้องค์หญิงหลิงหยุนโมโห อีกประเดี๋ยวจะต้องมีฉากเด็ดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ในใจพวกของฮูหยินเฒ่าบ้านรองนั้น สองพี่น้องเย่จายซิงไม่ได้แตกต่างจากคนนอกเลย
องค์หญิงหลิงหยุนยังอยู่ไกลๆ ก็เห็นองครักษ์ลับเหยียนเฟิงที่เฝ้าอยู่นอกลานบ้านแล้ว
เหยียนเฟิงสวมชุดสีดำทั้งตัว ใส่หน้ากากสีดำอยู่ บนร่างแฝงไว้ด้วยแรงกดอันทรงพลังของผู้แข็งแกร่งแห่งแดนมหาจักรพรรดิทิพย์
นางเดินเข้าไปห่างอีก 30ก้าวก็ไม่สามารถที่จะเดินต่อไปข้างหน้าได้อีกแล้ว หลังของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อไปหมด
ในหัวของนางตกใจเป็นอย่างยิ่ง หลายปีก่อนก่อนที่จวินหยวนจะหายตัวไปนั้น องครักษ์ลับของเขาดูเหมือนว่าจะยังไม่ได้มีผลการฝึกตนที่สูงเช่นนี้ได้
ต้องรู้ว่าผู้แข็งแกร่งแห่งแดนมหาจักรพรรดิทิพย์แม้ว่าในเมืองศักดิ์สิทธิ์จะมีจำนวนไม่มาก ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็จะได้รับการปฏิบัติเป็นแขกผู้ทรงเกียรติเสมอ
แต่ทว่าคิดไม่ถึงว่าจวินหยวนจะเอาองครักษ์ลับที่ทรงพลังเช่นนี้มาเป็นองครักษ์ให้กับคนอัปลักษณ์เช่นนั้นอย่างเย่จายซิง เขาคิดอะไรอยู่นะ?
ยังไงมาก็มาแล้ว จะถอยกลางทางก็ไม่ใช่นิสัยของนาง วันนี้นางจะต้องพบเย่จายซิงให้ได้
“เจ้าให้เย่จายซิงออกมาพบข้า ข้ามีเรื่องต้องถามนาง!”
นางเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าว
เหยียนเฟิงหล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า
“พระชายาสั่งเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าใครก็ไม่พบ”
“พระชายา?”
น้ำเสียงขององค์หญิงหลิงหยุนแหลมขึ้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
และคนที่ตกตะลึงในคราวเดียวกันก็ยังมีพวกของเย่เจียหรงด้วย
เย่เจียหรงมองมาทางเย่เจียหยูกระซิบถามด้วยเสียงเบาว่า “อ๋องเซ่อเจิ้งจะแต่งกับเย่จายซิงหรือ?”
เย่เจียหยูส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ยังไม่แน่หรอก ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เย่จายซิงไม่เคยพูดเลย อ๋องเซ่อเจิ้งก็ไม่เคยป่าวประกาศว่าต้องการจะแต่งกับเย่จายซิงด้วย”
“จวินหยวนจะแต่งกับคนอัปลักษณ์เช่นนั้นได้อย่างไรกัน เจ้าเป็นแค่บ่าวรับใช้อย่าพูดจาส่งเดช!”
องค์หญิงหลิงหยุนกล่าวด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เมื่อสองปีก่อนนางเคยเจอเย่จายซิง ดูท่าทางเซื่องๆ ขี้กลัวอย่างกับหนู มีปานแดงอยู่ครึ่งหน้า น่าเกลียดเป็นอย่างมาก ใครจะไปทนดูหน้าทั้งหน้าเช่นนั้นได้ทุกวันกัน ฝันร้ายกันทุกคืนพอดี”
“องค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย พระชายาไม่ใช่คนที่พวกท่านจะเอามาติฉินนินทาได้ หากมีครั้งหน้าอีกจะเป็นเหมือนต้นไม้นี้!”
เหยียนเฟิงกล่าวด้วยท่าทางเฉยชา มือค่อยๆ สะบัดไปชั่วครู่ ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักก็ระเบิดขึ้นในบัดดล แหลกจนเป็นผงธุลี
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนิ่งอึ้งไปชั่วขณะกับสิ่งที่เขากระทำ ทำให้นึกถึงความโหดเหี้ยมของอ๋องเซ่อเจิ้งเมื่อปีนั้นได้ นึกขึ้นมาได้ว่าเขาสังหารฮ่องเต้องค์ก่อนกับมือยังไง
องค์หญิงหลิงหยุนชาไปทั้งตัว แม้ว่าตอนที่เสด็จพ่อถูกสังหารนางจะไม่ได้อยู่ที่แคว้นหงส์แดง แต่นางเคยได้ยินเสด็จน้องเล่าถึงสถานการณ์ในตอนนั้น เขาเล่าว่าเพียงแค่ดาบเดียวของจวินหยวนก็ตัดเสด็จพ่อออกเป็นสองท่อน และยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น เลือดแม้แต่หยดเดียวก็ไม่มีกระเด็นถูกตัวของจวินหยวนเลย
ราวกับว่าคนที่เขาสังหารนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นเพียงหมูตัวหนึ่งเท่านั้น
จวินหยวนสามารถสังหารเสด็จพ่อได้ ก็สามารถสังหารตนที่เป็นองค์หญิงได้ในพริบตาเดียวเช่นกัน
กลิ่นอายแห่งแรงสังหารขององครักษ์ลับผู้นี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่แน่ว่าจะสังหารนางได้จริงๆ
นางแค่มีผลการฝึกตนแดนอาจารย์ทิพย์ หากเกิดการลงมือขึ้นจริงละก็แม้แต่ช่องว่างในการต้านทานก็คงไม่มีให้
นางกำหมัดแน่นวางความเย่อหยิ่งลง
“ข้าก็แค่อยากเจอเย่จายซิงสักหน่อย อยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องหอยาเสวียน”
“นายท่านเป็นคนสั่งให้ทำลายหอยาเสวียนเอง หากท่านอยากจะคิดบัญชีหาคนผิดแล้วล่ะ”
องค์หญิงหลิงหยุนกัดฟันอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าในใจลึกๆ ของนางจะเกลียดจวินหยวนอย่างสุดขีด แต่ในสถานการณ์ที่นางไม่มีกำลังเสริมนั้นจะกล้าเผชิญหน้ากับจวินหยวนได้อย่างไรกัน
นางโมโหมากจนตะโกนเสียงดังให้เข้าไปในลานบ้านว่า
“เย่จายซิง เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้ จะเป็นเต่าหดหัวอะไรกัน!”
เหยียนเฟิงขมวดคิ้ว ความอาหาตเพิ่มขึ้น
ทันใดนั้นเอง เสียงอี๊ดอ๊าดดังขึ้น ประตูถูกเปิดออกมาจากด้านในแล้ว
“เจ้าก็คือองค์หญิงหลิงหยุนงั้นหรือ? หาข้ามีธุระอะไร?”
เย่จายซิงเดินออกมาอย่างเชื่องช้า กวาดสายตามองไปยังสองพี่น้องเย่เจียหรงชั่วครู่ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าขององค์หญิงหลิงหยุนอย่างไม่ได้คิดอะไรแล้วก็หาวออกมา
นางพักผ่อนไม่พอ สีหน้าดูอิดโรย ไม่ใช่เพราะเรื่องของการกลืนกินเพลิงพิลึก นางก็กลืนกินเพลิงพิลึกขั้นสามและขั้นห้าเสร็จไปนานแล้ว ตอนนี้เพลิงเทวจิ่วโยของนางเพิ่มระดับสูงขึ้นกลายเป็นเพลิงพิลึกขั้นหกเท่ากับว่าเพลิงพิลึกขั้นสูงแล้ว
ต่อมานางปรุงยาเลี้ยงจิตขั้นหกมา 1เม็ด แล้วส่งมอบไปให้ชายรูปโฉมงดงามที่เหมือนราชสีห์ขนทองผู้นั้นที่อยู่โรงชาหยกหิมาลัย
นางหยิบเงินงวดสุดท้ายแล้วกำลังจะจากไป ราชสีห์ขนทองขวางทางนางไว้ หยิบยื่นคำสั่งซื้อที่มากยิ่งกว่าเดิม เขาต้องการยาเลี้ยงจิต 100เม็ด มูลค่า 1เม็ดยังคงเป็นราคาเดิมที่หินทิพย์ 500ตำลึง
ราคานี้อันที่จริงแล้วสามารถซื้อยาเลี้ยงจิตได้เกือบ 200เม็ดเลย แน่นอนว่าคุณภาพต้องเทียบไม่ได้ครึ่งกับที่นางปรุงเป็นแน่ และที่สำคัญก็คือไม่มีอาจารย์กลั่นยาคนไหนที่สามารถปรุงยาขั้นหกออกมาได้เยอะเช่นนี้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้
นางทำเพื่อคืนเงินให้จวินหยวนได้ในเร็ววันจึงรับเอาคำสั่งซื้อนี้มา หลายวันนี้ก็กลั่นยาต่อเนื่องมาตลอด
“เห็นข้าแล้วทำไมไม่คำนับ!”
องค์หญิงหลิงหยุนเห็นผู้หญิงที่อัปลักษณ์และต่ำต้อยอย่างเย่จายซิงก็คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเงยหน้ามองหน้านางอย่างตรงๆ โมโหจนไม่รู้จะทำอย่างไร
เย่จายซิงหัวเราะออกมา นางคิดว่าองค์หญิงหลิงหยุนตามที่เขาพูดๆ กันจะร้ายกาจสักแค่ไหนเชียว คิดไม่ถึงว่าจะยับยั้งอารมณ์ตัวเองไม่ได้ถึงเพียงนี้ ยังห่างไกลจากสองพี่น้องเย่เจียหรงเยอะเลย
“เจ้าหัวเราะอะไร! คิดไม่ถึงว่าเจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้า!”
องค์หญิงหลิงหยุนกล่าวด้วยท่าทางโมโห
“ใช่สิ ข้ากำลังหัวเราะเยาะท่าน จำทำไมเหรอ ต้องการให้ข้าคำนับท่าน ท่านฝันไปหรือเปล่า ไม่ได้ยินที่องครักษ์พูดเหรือ ข้าเป็นพระชายาในอนาคตของอ๋องเซ่อเจิ้ง อ๋องเซ่อเจิ้งอยู่เหนือคนนับหมื่น จำเป็นต้องมาคำนับคนอย่างท่านเหรอ?”
นางลากจวินหยวนเข้ามาเป็นโล่กำบัง ไม่ว่าเวลานี้หรือเวลาไหนก็ตามให้คนในโลกยุคปัจจุบันอย่างนางมาคุกเข่า สู้สับเข่าของนางโดยตรงเลยเสียจะดีกว่า
“เจ้า!” องค์หญิงหลิงหยุนโมโหจนตัวสั่น
“เจ้าอะไรเจ้า หากท่านอยากจะคุกเข่าต่อหน้าข้า ข้าไม่ห้ามท่านแน่นอน หากไม่มีธุระอะไรแล้วก็รีบไปให้พ้นซะ”
คนที่มีเจตนาไม่ดีต่อตนเอง เย่จายซิงไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว ตาต่อตาฟันต่อฟันเสมอมาอยู่แล้ว
บทที่ 48 พระราชโองการอภิเษกสมรสกับนาง
องค์หญิงหลิงหยุนออกไปจากจวนแม่ทัพ หน้าตาบูดบึ้งเป็นอย่างมาก
สองพี่น้องเย่เจียหรงมองจนเกี้ยวขององค์หญิงจากไป
“น้องหยู เหตุใดเย่จายซิงถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ได้ เมื่อก่อนนางไม่ได้มีปากที่ปราดเปรียวเช่นนี้ ทำเอาองค์หญิงพูดไม่ออกเลย”
เย่เจียหรงถามด้วยเสียงเรียบเฉย ท่าทางไม่แยแสต่อทุกสิ่งอย่างราวกับดอกเบญจมาศก็ไม่ปาน ก็เพียงแค่ถามไปเท่านั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร
“เมื่อก่อนนั้นนางแสร้งทำ ทำเป็นซ่อนกรงเล็บเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่านางไปรู้จักกับอ๋องเซ่อเจิ้งได้ยังไง ต่อมาก็นิสัยเปลี่ยนไป ท่านแม่บอกว่าหางจิ้งจอกของนางโผล่ออกมาซ่อนไม่อยู่แล้ว ก็เหมือนกับแม่ของนางแค่พูดก็ทำให้คนสำลักตายได้”
เย่เจียหยูกล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูก
คนแซ่หวังเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว เมื่อตอนนั้นแม่ของสองพี่สองเย่จายซิงเป็นนางจิ้งจอกที่พูดจาปราดเปรียว อีกทั้งยังสวยมากเป็นพิเศษ พอปรากฏตัวที่เมืองหลวงก็ถูกขนานนามว่าเป็นสตรีที่งดงามอันดับ 1
โชคดีที่ต่อมานางหายตัวไป ได้ยินว่าไปเสียชีวิตอยู่นอกเมือง มิเช่นนั้นมีนายหญิงเช่นนั้นอยู่ จวนแม่ทัพก็ไม่ตกถึงเงื้อมมือของพวกเขาหรอก
เย่เจียหรงพยักหน้าอย่างเฉยๆ ชายกระโปรงสีฟ้าพัดไหวตามลมราวกับเทพจุติก็ไม่ปาน
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว นางล่วงเกินองค์หญิง องค์หญิงไม่ปล่อยนางไปหรอก”
นางไม่ได้เอาเรื่องของเย่จาร่องรอยซิงที่เล็กเช่นนี้มาใส่ใจอยู่แล้ว นางมองแวบเดียวก็รู้ว่าผลการฝึกตนของเย่จายซิงแม้แต่นิดก็ไม่มี แม้ว่าผิวจะขาวขึ้นมาหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่าปานยังห้อยอยู่บนหน้าของนางอัปลักษณ์ ไม่ใช่คนที่ควรค่าแก่การใส่ใจอะไร
“ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วที่เจ้าบอกข้าในป้ายหยกส่งสารว่ามีสัตว์ดุร้ายขั้นห้าปรากฏตัวออกมาปกป้องสองพี่น้องเย่จายซิงนั้นเรื่องมันเป็นมายังไงกัน?”
เย่เจียหยูกล่าว
“ตอนแรกทุกคนต่างก็พากันคิดว่าเย่จายซิงเป็นคนอัญเชิญสัตว์ดุร้ายมา แต่นางไม่ได้มีผลการฝึกตนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นนักสะกดวิญญาณ ดังนั้นข้าคิดว่าน่าจะเป็นกิเลนอสูรทิพย์ของอ๋องเซ่อเจิ้งที่เรียกสัตว์ดุร้ายมา”
“งั้นก็ถูกแล้ว”
เย่เจียหรงไม่เชื่อว่าเย่จายซิงจะเป็นนักสะกดวิญญาณ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นนางแบบนี้ยังเป็นได้แค่นักสะกดวิญญาณขั้นสามเองในทุกวันนี้
อสูรวิหงค์เยือกที่นางขี่อยู่นั้นก็เป็นศิษย์พี่คนหนึ่งล่ามามอบให้นางตอนที่ไปยังสถานที่หนาวเหน็บ แต่สิ่งที่นางสามารถอัญเชิญนั้นก็มีเพียงสัตว์ดุร้ายขั้นต่ำและขั้นสามเท่านั้น
“ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านจะอยู่นานเท่าไร? พาข้าไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”
เย่เจียหยูถามนางอย่างมีความหวัง
เย่เจียหรงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า
“ครั้งนี้เนื่องจากข้าได้รับหน้าที่จากสำนักมา พอดีผ่านมาทางแคว้นหงส์แดง และก็เจอกับองค์หญิงกลางทางโดยบังเอิญจึงกลับมา อีกสองสามวันศิษย์พี่สองสามคนและอาจารย์อาจจะมาที่นี่ ถึงตอนนั้นข้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่นครอัศจรรย์ทมิฬด้วยกันกับพวกเขา รอตอนปลายปีเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์”
“อิจฉาท่านพี่จริงๆ เลย หากข้าสามารถเข้าร่วมสำนักใหญ่อย่างสำนักเมฆแดงก็คงดีไม่น้อยเลย” เย่เจียหยูทำปากเบะ ดูสิ้นหวังมาก
“ในภายหน้าเจ้าก็สามารถเข้าร่วมศูนย์สำนักอาจารย์กลั่นยาได้ ซึ่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักใหญ่หรอก เจ้าจำไว้นะว่าเป้าหมายของเจ้าคือองค์หญิงหลิงหยุน และต้องเหนือกว่านางด้วย ให้กลายเป็นอาจารย์กลั่นยาผู้มีพรสวรรค์ที่ดูน่าเกรงขาม เจ้าสำนักแห่งศูนย์สำนักคือเจ้าบ้านตระกูลลั่ว หากเจ้าสามารถได้รับคำชื่นชมจากเขาได้ละก็ไม่แน่ว่าก็จะมีโอกาสได้แต่งกับนายน้อยตระกูลลั่ว กลายเป็นนายหญิงในอานาคตของตระกูลลั่ว”
เย่เจียหรงมองตาของน้องสาวแล้วกำชับอย่างจริงจัง
สำนักเมฆแดงเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่การแข่งขับค่อนข้างสูง มีเพียงนางที่โดดเด่นผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว น้องหยูไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นหรอก
เพียงชั่วพริบตาเดียวดวงตาของเย่เจียหยูก็ปรากฏเป็นแสงแวววาวขึ้นมาทันที นายหญิงในอนาคตของตระกูลลั่วที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ สิ่งนี้มีแรงดึงดูดต่อนางมากจริงๆ
กิอนหน้านี้นางเคยพบกับลั่วกูหยุน เขามีความรู้สึกดีๆ กับนาง หากสามารถเอาพ่อเขาอยู่เรื่องอภิเษกสมรสก็เป็นอันสำเร็จเป็นแน่
“งั้นท่านพี่ล่ะ? ท่านอยากจะสมรสกับใคร?”
นางพูดอย่างเบาๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยลำแสงแห่งการอยากรู้อยากเห็น
“ข้าเหรอ?”
ในหัวของเย่เจียหรร่องรอยมีเงาร่างของชายหนุ่มที่สูงใหญ่คนหนึ่ง โหงวเฮ้งของเขางดงามราวกับเทพสวรรค์ รูปลักษณ์ท่าทางต้องแข็งแกร่งอย่างไม่เป็นสองลองใคร ฐานะก็ต้องสูงส่งอย่างเอื้อมได้ยากเช่นนั้น
เพียงแค่เหลือบไปเห็นผ่านฝูงคน นางก็ลืมไม่ลงอีกเลย
คนผู้นั้นคือเซ่าตี้แห่งแคว้นเทพมังกร เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้ส
“ข้าจะแต่งกับโม่เสิ่นยวน”
นางแอบกระซิบอยู่ข้างหูของเย่เจียหยู
เย่เจียหยูอ้าปากค้าง จากนั้นเอามือปิดปาก ใช้สายตาที่ตกตะลึงมองมายังพี่สาวของนาง
ท่านพี่ช่างกล้าคิดเกินไปแล้ว โม่เสิ่นยวนเป็นเซ่าตี้แห่งแคว้นเทพมังกร เป็นชายในฝันของหญิงสาวใต้หล้า ผลการฝึกตนเป็นไปตามบัญชาของสวรรค์ อนาคตมีความเป็นไปได้ว่าจะกลายไปเป็นเทพ ในใจของผู้คนเขาก็คือร่างเสมือนของเทพก็ไม่ปานที่อยู่ไกลเกินเอื้อมได้
“ต้องมีสักวันข้าจะต้องไปให้ถึงตำแหน่งสูงส่งที่เขาต้องมองเห็น เป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเขาให้ได้ ถึงตอนนั้นตระกูลเย่ของพวกเราก็จะก้าวขึ้นเป็นตระกูลที่เกิดขึ้นใหม่ในแผ่นดินเทียนเหย้า เป็นวงศ์ตระกูลที่รุ่งโรจน์
สายตาของเย่เจียหรงร่องรอยไปไกล แววตามีความมุ่งมั่นอย่างหาที่เปรียบมิได้
เกิดในตระกูลเย่เป็นความทุกข์ของนาง เพราะว่าในตระกูลไม่มีทางที่จะให้ทุกสิ่งอย่างแก่นางได้ ไม่มีทางให้นางมีสายเลือดที่สูงศักดิ์ได้ ทำให้นางดูต่ำต้อยกว่าคนอื่นขั้นหนึ่ง ดังนั้นนางจะต้องพยายามให้มาก
เป้าหมายของนางคือกลายเป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า นางมีความเชื่อมั่นที่เพียงพอที่จะทำมันให้สำเร็จให้จงได้
หน้าของเย่เจียหยูเต็มไปด้วยการนับถือ เรื่องที่จะสมรสกับเซ่าตี้นั้นแม้แต่คิดนางยังไม่กล้าเลย
“ที่ข้าพูดเมื่อครู่เจ้าเอาเก็บไว้ในใจเลยนะ องค์หญิงหลิงหยุนก็ดูสนใจเซ่าตี้เช่นกัน ข้าไม่ต้องการให้นางเห็นข้าเป็นศัตรูหัวใจ หาทางกำจัดข้าให้พ้นทาง”
“อืมๆ ข้ารู้แล้ว ท่านพี่ข้าสนับสนุนท่านแน่นอน รอท่านพ่อหาของล้ำค่าที่ท่านลุงสามขโมยไปให้เจอก่อน แล้วค่อยให้ท่านย่าและท่านพ่อมอบข้อมูลเพิ่มเติมให้กับท่านไปฝึกตนอีก”
อีกด้านหนึ่ง องค์หญิงหลิงหยุนเข้าไปในวัง พอถึงหน้าฮ่องเต้ก็ปะทุอารมณ์ออกมายกใหญ่
ฮ่องเต้ที่ทรงพระเยาว์ได้รู้ถึงสาเหตุกล่าวด้วยการไม่คิดอะไรว่า
“เสด็จพี่ ท่านควรแล้วหรือที่จะต้องโมโหมากเช่นนี้สำหรับผู้หญิงอัปลักษณ์คนหนึ่ง? ข้าวางแผนว่าจะให้เซี่ยซือห้าวสมรสกับเย่จายซิงอยู่พอดี เป็นเช่นนี้แล้วอ๋องเซ่อเจิ้งก็จะไม่คอยปกป้องหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นอีก ถึงตอนนั้นนางก็ขึ้นอยู่กับเจ้าจะฆ่าจะแกงยังไงไม่ใช่หรือ?”
“งั้นเจ้ายังรออะไรอยู่อีกล่ะ ออกราชโองการตอนนี้เลยสิ! นางคิดว่ามีจวินหยวนคอยให้ท้ายนางอยู่ถึงคิดจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่ข้าที่เป็นองค์หญิงก็ไม่อยู่ในสายตา ข้าจะทำให้นางไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้แน่!”
สีหน้าท่าทางขององค์หญิงหลิงหยุนบึ้งตึง ทั้งหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยถูกใครทำให้โมโหเช่นนี้มาก่อนเลย
“เพียงแต่ข้ากังวลว่าท่าทีของอ๋องเซ่อเจิ้งที่มีต่อหญิงอัปลักษณ์นั้นจะไม่ธรรมดา เมื่อครู่เจ้าบอกว่าองครักษ์ลับของอ๋องเซ่อเจิ้งเรียกหญิงอัปลักษณ์ว่าพระชายาไม่ใช่หรือ หากข้ามีพระราชโองการลงไปแล้วอ๋องเซ่อเจิ้งมาหาเรื่องข้า จำอย่างไร?”
ในใจลึกๆ ของฮ่องเต้ยังคงเกรงกลัวต่อจวินหยวนอยู่บ้าง หลายปีมานี้ก็ระแวงระวังมาตลอด กลัวว่าตนเองก็จะถูกเขาฟันในดาบเดียวเช่นกัน
องค์หญิงหลิงหยุนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นชาว่า
“ผู้ชายธรรมดาทั่วไปจะเป็นไปได้ยังไงที่จะชอบคนรูปลักษณ์อัปลักษณ์คนหนึ่งได้? ข้าเห็นเย่จายซิงก็อยากจะอ้วกแล้ว จวินหยวนต้องไม่ได้ชอบนางจริงๆ แน่นอน ไม่งั้นก็อาศัยการพระราชทานอภิเษกสมรสมาลองดูท่าทีของเขาสักหน่อย”
“งั้นก็ดี ตอนนี้ข้าก็จะมีราชโองการให้เย่จายซิงเข้าวัง พระราชทานพิธีสมรสตอนหน้านาง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนนางก็ชอบเซี่ยซือห้าว นางจะต้องรับราชโองการอย่างดีใจแน่นอน และตอนนั้นแม้แต่อ๋องเซ่อเจิ้งคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วในเมื่อชายก็รักหญิงก็ยอม”
ฮ่องเต้พูดอยู่และรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จากนั้นรีบถ่ายทอดราชโองการลงไปให้เซี่ยซือห้าวและเย่จายซิงเข้าวัง
พอคิดว่าต่อจากนี้จะสามารถกดขี่เย่จายซิงได้อย่างง่ายดาย ในใจขององค์หญิงหลิงหยุนก็เป็นสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
“ใช่แล้ว เสด็จน้อง ยาที่อยู่ด้านบนนี้เจ้าช่วยข้าเก็บรวบรวมหน่อย ข้าต้องปรุงยาที่สาบสูญไปชนิดหนึ่ง หากสามารถปรุงสำเร็จครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบจากศูนย์สำนัก ข้าก็จะสามารถหลุดพ้นจากฐานะของเด็กฝึก และประกาศตัวเป็นศิษย์ของศูนย์สำนักอย่างเป็นทางการ”
นางหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่นส่งให้ฮ่องเต้วัยเยาว์