ตอนที่ 233 ไม่แค้นฝังใจ ตอนที่ 234 วัตถุ

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 233 ไม่แค้นฝังใจ

เผยผีซื่อเคียดแค้นในใจ ย่อมฉวยโอกาสนี้เอาคืนเป็นธรรมดา

สองตระกูลอยู่ห่างไกลกัน ปกตินางก็ไม่สะดวกถ่อมาไกลถึงหมู่บ้านนี้เพื่อมาหาเรื่องซ่งอิง

ซ่งเหล่าเกินชักสีหน้าขมึงทึงเล็กน้อย

“ตระกูลเผย หากเจ้าไม่รู้จักการพูดการจาก็กลับไปเสีย! วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดท่านพ่อข้า เจ้าเอ่ยปากถึงคนตายและดูแลในวาระสุดท้ายของชีวิตอะไรทำนองนี้ ตั้งใจอยากจะก่อความบาดหมางกับครอบครัวข้าใช่หรือไม่” ซ่งจินซานเพิ่งเดินเข้ามาก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงกล่าวขึ้นทันทีทันใด

ซ่งฝูซานมีสีหน้าอับอาย “แม่ยาย วันนี้พวกเราไม่มีส่วนใดที่ต้อนรับขับสู้ไม่ถูกต้องนี่ เหตุใดจึงพูดจาฉอดๆ เยี่ยงนี้ล่ะ”

แม่เฒ่าเผยยังคงไม่เอ่ยวาจาใด เผยผีซื่อทัพหน้าผู้นี้กลับยังคงไม่ยอมแสดงให้เห็นว่าตนด้อยกว่า

“ตระกูลดอง เจ้าก็น่าจะรู้เช่นกันว่าข้าไม่ได้มีเจตนาใด พวกเราตระกูลเผยรักและเอ็นดูลูกเสี่ยนบ้านเจ้าด้วยใจจริง โดยปกติก็ทำใจต่อว่าหรือทุบตีไม่ลงคอ ดีต่อเขายิ่งกว่าลูกในไส้ครอบครัวตัวเองเสียอีก แต่ผลสุดท้ายก็ถูกเด็กสาวผู้นี้จับส่งที่ว่าการอำเภอเสียได้ ในใจข้ารู้สึกแย่เหลือเกิน! นั่นเป็นลูกชายเจ้าแท้ๆ หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกเช่นนี้” เผยผีซื่อกล่าวทันควัน

ซ่งหม่านซานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาเองย่อมปวดใจดุจมีดกรีดเฉือนเช่นกันอยู่แล้ว แต่เรื่องนั้นตอนแรกพ่อเฒ่าเป็นผู้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว

อีกอย่าง ไอ้ลูกสารเลวนั่นก็ไม่เอาไหนเอง จะทำอย่างไรได้หรือ เขากระทำความผิดแล้ว และถึงอย่างไรก็ไม่อาจให้ซ่งอิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาได้กระมัง ถึงเวลาตระกูลซ่งจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้น ยังจะเอ่ยถึงมันทำไมอีก! ภายภาคหน้าลูกเสี่ยนกลับมาย่อมปรับปรุงตัวใหม่แน่นอน ล้วนเป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไม่เคืองแค้นฝังใจกับเรื่องเช่นนั้นหรอก!” ซ่งฝูซานกล่าว

ซ่งจินซานรู้สึกซาบซึ้งใจ พี่ใหญ่พูดถูก

ซ่งฝูซานทำไปก็เพื่อหน้าตาตัวเองเช่นกัน

“พวกเจ้าตระกูลซ่งช่างสมัครสมานสามัคคีกันจริงๆ แต่ดูแล้วคนที่หวังดีต่อลูกเสี่ยนจากใจจริงกลับไม่มีแม้แต่คนเดียว!” เผยผีซื่อกลอกตามองบน

ตระกูลซ่งนี่สมองมีปัญหากันหมดแล้วกระมัง

บุตรชายถูกเล่นงานแล้ว ยังช่วยพูดแทนนางเด็กสารเลวนั่นอีกหรือ

“ผีซื่อ” แม่เฒ่าเผยเอ่ยเรียก “วันนี้เป็นวันฉลองวันคล้ายวันเกิดพ่อเฒ่าตระกูลดอง จะพูดสิ่งเหล่านั้นทำไมกัน”

ผีซื่อถอยกลับไปยืนที่เดิมอย่างไม่เต็มใจ

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง แม่เฒ่าเผยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าว่าเอ้อร์ยาเด็กสาวผู้นี้ก็ดูลำบากไม่น้อยเช่นกันสินะ…”

“ก็ไม่เท่าไรหรอก เด็กสาวผู้นี้มากความสามารถ บ๊ะจ่างก่อนหน้านี้ก็พอทำเงินได้บ้าง หลังจากขายแล้วก็ซื้อที่ดินได้ยี่สิบหมู่ ตอนนี้ก็ขายยาสระผมชิงซืออีก เลี้ยงดูครอบครัวไปวันๆ ได้สบายมาก” ซ่งเหล่าเกินเอ่ยหน้าตาเฉย

แต่ในคำพูดกลับแฝงความภาคภูมิใจเอาไว้เล็กน้อย

ต่อให้เขาไม่เห็นความสำคัญหลานสาวผู้นี้สักเพียงใด แต่นางก็เป็นคนในครอบครัว ทว่าตระกูลเผยต่างออกไป พวกเขาเป็นคนชั่วร้ายที่ล่อลวงหลานชายของเขาให้เดินไปในทางที่ผิด

แม่เฒ่าเผยสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ลูกผู้หญิงของแต่ละครอบครัว ปกติแต่ละวันอยู่บ้านทำงานเย็บปักถักร้อยซักผ้าซักผ่อนก็ใช้ได้แล้ว เที่ยวออกไปเตร็ดเตร่ภายนอกเช่นนี้ไม่ดีต่อชื่อเสียงกระมัง”

“ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอก เด็กสาวผู้นี้ออกจากบ้านทีก็สวมใส่หมวก รู้จักระบบระเบียบอย่างยิ่ง” พ่อเฒ่ากล่าวขึ้นอีกครั้ง

แม่เฒ่าเผยยิ้มเล็กน้อย

“เอ้อร์ยา ตัวข้าก็เพิ่งเห็นเจ้าเป็นครั้งแรก รู้สึกถูกชะตาอย่างยิ่ง เรื่องราวก่อนหน้านี้…ลุงใหญ่เจ้าพูดถูก ล้วนผ่านไปแล้วทั้งนั้น ไม่ต้องเอาแต่เอ่ยถึงอยู่เรื่อยหรอก วันข้างหน้าเราสองตระกูลก็ไปมาหาสู่กันให้มากๆ…เจ้าก็ยังอายุน้อย ตั้งใจจะอยู่เป็นหม้ายเฝ้าสามีเยี่ยงนี้น่ะหรือ ไม่คิดจะกลับมาสู่ครอบครัวมารดาแล้วแต่งงานใหม่อีกครั้งบ้างหรือ” แม่เฒ่าเปลี่ยนน้ำเสียงกล่าวขึ้นอีกครั้ง

ซ่งอิงมองดูไร้พิษภัยอย่างยิ่ง

“ปกติแต่ละวันท่านปู่ตระกูลข้าจะสั่งสอนกฎระเบียบกับข้าไว้ไม่น้อย แม้ว่าข้าแต่งงานครั้งแรก แต่ก็รู้จักรักเดียวใจเดียว ไม่มีทางเลียนแบบแม่นางที่ไม่รู้ความเหล่านั้นที่ไม่เห็นหัวตระกูลสามีแน่นอนเจ้าค่ะ…” ซ่งอิงยิ้มกล่าว

“พูดถูก” คำพูดนี้พูดได้ตรงใจพ่อเฒ่าซ่งยิ่งนัก

สำหรับตระกูลเผย คนตระกูลซ่งพวกนี้ไม่ต่างจากควักหัวใจแล้วยังขูดเนื้อกันอีกด้วย!

ก่อนหน้านี้หลานชายแทบจะเท่ากับแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง แล้วตอนนี้ล่ะ หลานชายไปรับโทษแล้ว หลานสะใภ้ผู้นี้ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย วันๆ อยู่แต่บ้านมารดา นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน?!

ตอนที่ 234 วัตถุ

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ซ่งเหล่าเกินไม่มีความสุขเอาเสียเลย สาเหตุหลักคือเผยซื่อ

ตั้งแต่หลานสะใภ้ผู้นี้แต่งเข้ามาไม่เคยแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้อาวุโสแม้แต่วันเดียว งานในเรือนไม่เคยแตะ และผู้อาวุในครอบครัวก็ไม่เคยได้รับสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ จากนางเลยเช่นกัน มิหนำซ้ำยังต้องคอยค้ำจุนพวกเขาสองสามีภรรยาไปไม่น้อย

เมื่อก่อนเผยซื่ออยู่บ้านในตัวอำเภอซึ่งห่างไกลพอตัว ซ่งเหล่าเกินเองก็ไม่ใช่ผู้ชราประเภทที่ชอบยุ่งจุ้นจ้านไปเสียทุกเรื่อง จึงไม่คอยจับผิดภรรยาของหลานชายอยู่เรื่อยเป็นธรรมดา

ตอนนี้เอาบ้านที่ตัวอำเภอกลับคืนและมอบให้ซ่งอิงแล้ว แต่คนผู้นั้นล่ะ

อุ้มท้องเหลนของเขากลับไปบ้านตระกูลเผยหน้าตาเฉย?!

หากไม่รู้คงได้คิดว่าตระกูลซ่งทารุณนางแล้วหรืออย่างไร จึงได้ทำให้นางอยู่ในตระกูลนี้ต่อไปไม่ไหว!

ซ่งเหล่าเกินต้องการรักษาหน้าตาเกียรติยศ

เขารู้ว่าตระกูลเผยห่วงใยบุตรสาวจึงไม่รั้งไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีระบบระเบียบกันหน่อยกระมัง ตระกูลเขาใช้จ่ายไปห้าสิบตำลึงเงินเป็นสินสอด สู่ขอเผยซื่อแต่งเข้ามาเป็นภรรยาหลวงอย่างมีหน้ามีตา ยิ่งไปกว่านั้นเผยซื่อถูกระบุไว้ในวงศ์ตระกูลซ่งในฐานะหลานสะใภ้และป่าวประกาศให้รู้โดยทั่ว เผยซื่อผู้นี้ก็ควรให้ความสำคัญตระกูลแม่สามีมากกว่าตระกูลมารดาสิ!

อย่าว่าแต่หมู่บ้านซิ่งฮวาเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งอำเภอหลี่ เมืองยง ก็ไม่มีใครเขาทำกันเช่นนี้!

แม่เฒ่าเผยถูกซ่งอิงพูดจาใส่ถึงขั้นไม่รู้จะพูดอะไรต่อ รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง

“หลานสาวข้าผู้นั้นแพ้ท้องรุนแรง อยากจะกินอาหารที่มารดานางทำให้ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านมารดาไปสักพัก ไว้อาการตั้งครรภ์คงที่แล้ว ย่อมสมควรให้นางกลับมาเคารพดูแลพ่อแม่สามีเป็นแน่ ถึงเวลาต่อให้พ่อแม่สามีนางตั้งระเบียบอะไร ตระกูลเผยพวกเราก็จะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งนั้น ทว่าตอนนี้ล้วนต้องคำนึงถึงเด็กในท้องก่อน ตระกูลดอง ท่านว่าใช่หรือไม่” แม่เฒ่าเผยกล่าวขึ้นอีกครั้ง

พ่อเฒ่าซ่งสบถฮึเชิงดูถูกในใจ

พูดจาเสียดิบดีน่าฟัง ในความเป็นจริงมิใช่ว่ากำลังถากถางพวกเขาอยู่หรือ

“ตระกูลข้าไม่ขาดแคลนคน เรื่องตั้งตัวบทกฎเกณฑ์อะไรนั่นก็ไม่ลามไปถึงนางหรอก หากนางอยู่บ้านมารดาสุขสบายดีก็อยู่ให้เต็มที่ ต่อให้จะอยู่ทั้งชีวิตก็ไม่เป็นไร” ชายชราหงุดหงิดขึ้นมาแล้วเช่นกัน

แม่เฒ่าเผยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

นี่ตาเฒ่าผู้นี้ประสาทกลับไปแล้วกระมัง จะโกรธเคืองหลานสะใภ้ไม่เลิกราเลยหรือ

พวกเขาตระกูลเผยเป็นคนในตัวอำเภอ เหมือนตระกูลซ่งนี่เสียที่ไหนกัน ก็แค่ครอบครัวชาวไร่ชาวนาที่ต่ำต้อย ไม่เคยพบเห็นอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายหลากมาก่อน!

ช่างไม่มีเหตุมีผลเลยจริงๆ!

“ตระกูลดองพูดเป็นเล่นไป” แม่เฒ่าเผยไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องราวของหลานสาวให้มากความอีกแล้ว จึงมองไปยังซ่งอิงแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าเห็นหลานสาวของตระกูลเจ้าน่าสงสาร แม้ใบหน้าเสียโฉมแต่ยังเยาว์วัย ขืนอยู่เป็นหม้ายไปชั่วชีวิตเช่นนั้นไม่ใช่เป็นการทำบาปหรือ หรือไม่เอาเช่นนี้สิ ข้าจะเป็นแม่สื่อให้เด็กคนนี้ ข้างบ้านข้ามีพ่อหนุ่มคนหนึ่ง รูปลักษณ์ก็ถือว่าดูดีทีเดียว เพิ่งอายุยี่สิบปีเท่านั้น กำลังขาดภรรยาคอยกำกับดูแลครอบครัวอยู่พอดี ให้เอ้อร์ยาลองไปพบเจอดูหน่อยก็ย่อมได้…”

ซ่งอิงอดทนมานานมากแล้ว

ระเบียบปฏิบัติของที่นี่ ไม่เหมาะนักหากเด็กรุ่นหลังจะเอ่ยปากขณะผู้อาวุโสพูดคุยกัน ดังนั้นนางจึงไม่มีปากมีเสียงโต้แย้งขึ้นมา

แต่…

หญิงชราผู้นี้ดูท่าสมองมีปัญหา

“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” ซ่งอิงเอ่ยปากตรงไปตรงมา

แม่เฒ่าเผยตะลึงงัน มุ่นคิ้วเล็กน้อย “เด็กสาวผู้นี้ควรเรียนรู้ระเบียบปฏิบัติเสียบ้าง หากออกเรือนไปอยู่ทางด้านตัวอำเภอนั่นจริง พูดจาเช่นนี้จะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้”

“นั่นไม่ใช่อะไรที่ท่านต้องเดือดเนื้อร้อนใจแทนหรอกเจ้าค่ะ” ซ่งอิงแสยะยิ้มเยาะ “แม่เฒ่าตระกูลเผย หากท่านอยากทำตัวเอาดีเอาเด่น ก็กลับไปบ้านตัวเองเถิดเจ้าค่ะ วันนี้เป็นงานฉลองอายุครบหกสิบปีของท่านปู่ข้า ว่ากันตามหลักญาติพี่น้องใกล้ไกลล้วนพากันมาเยี่ยมเยียน ซึ่งท่านจัดอยู่ในลำดับท้ายๆ เสียด้วยซ้ำ ตระกูลพวกเรามีญาติเยอะขนาดนี้ คงให้ท่านพูดจาอยู่คนเดียวมิได้หรอกเจ้าค่ะ”

“ท่านคิดว่าข้าไร้มารยาท เช่นนั้นข้าก็ขอเสียมารยาทเลยแล้วกัน ท่านจำเอาไว้นะเจ้าคะ ข้ากับหลานสาวท่านผู้นั้นอยู่กันคนละครอบครัวด้วยซ้ำ แล้วท่านถือเป็นผู้อาวุโสส่วนไหนของข้าหรือ จึงได้มาชี้นิ้วเจ้ากี้เจ้าการพูดเรื่องการแต่งงาน ท่านคิดว่าข้าน่าสงสาร ข้าต่างหากที่คิดว่าชีวิตท่านดำเนินไปอย่างน่าสงสาร หรือว่าบุตรสาวตระกูลตัวเองไม่สนใจท่าน? จึงทำให้ท่านไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด เลยถ่อมาพูดจาฉอดๆ ตรงหน้าตระกูลซ่งพวกเรา?”

“แล้วก็ ตอนแรกที่พี่ใหญ่ข้าขโมยบ๊ะจ่างนั่นเป็นความโง่เขลาของลูกชายท่าน หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ปกป้องพ่อตา ท่านคิดว่าคนที่จะถูกจับขึ้นหยาเหมิน[1]จะไม่มีคนครอบครัวพวกท่านหรือ ข้าว่าตระกูลท่านเป็นขโมยจนติดอกติดใจแล้วกระมัง! ก่อนหน้านี้ขโมยบ๊ะจ่าง ตอนนี้ก็คิดจะขโมยหลานสาวตระกูลซ่งอีกหรือ แม้ท่านจะเห็นข้าเป็นวัตถุ แต่นั่นก็ต้องดูด้วยว่าวัตถุชิ้นนั้นเห็นท่านอยู่ในสายตาหรือไม่!”

————————————-

[1] หยาเหมิน (衙门) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในประเทศจีนโบราณ พวกเขาทำงานเป็นคนชั้นต่ำสุดในแผนกรัฐบาลซึ่งทำให้พวกเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสามัญชนกับรัฐบาล